จำได้ว่าในยุค 70s เกิดวิกฤติที่ทำให้นักดูหนังต่างประเทศชาวไทยขาดแคลนหนังดี ๆ ดู ผมค้นดูพบว่าอยู่ในยุครัฐบาลธานินทร์ ข่าว (ไม่ได้เช็คละเอียด) อธิบายว่ารัฐบาลกำหนดมาตรการขึ้นภาษีการนำเข้าฟิล์มภาพยนตร์ต่างประเทศ จากเมตรละ 2.20 บาท เป็นเมตรละ 30 บาท เหตุผลก็เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมหนังไทย Major Studios ของฮอลลีวู้ดก็เลยประท้วงด้วยการไม่ขายหนังให้เมืองไทย
รัฐบาลชุดนี้เริ่มงานเมื่อ 2519 หรือ 1976 ตัวรัฐบาลมีอายุประมาณ 1 ปี แต่วิกฤติยืนยาวต่อไปอีกนานเท่าไรจำไม่ได้ น่าจะประมาณ 3 ปี ช่วงนั้นนักดูหนังฝรั่งอดอยากปากแห้งกันไปตาม ๆ กัน อย่างไรก็ตาม หนังฝรั่งก็ยังมีเข้ามาฉายเป็นปกติเพียงแต่เป็นหนังจากค่ายอิสระต่าง ๆ ซึ่งพูดตามเนื้อผ้าก็คือหนังคุณภาพรอง คนก็ยังไปเข้าโรงฯ ดูกันอยู่ ยกเว้นนักดูหนัง ‘hard core’ แบบพวกผมที่ไม่ดู ผมก็ดูหนังแห้งจาก Starpics ไปเรื่อย ๆ พลางคอยว่าเมื่อไร พายุจะผ่านไปเสียที
หลังจากตกลงกันได้ ตัวแทนจำหน่ายหนังของ Major Studios ที่ฮอลลีวู้ดก็ส่งหนังนำร่องมา (ถ้าจำไม่ผิด) 3 เรื่องคือ Star Wars (1977), James Bond ตอน Spy who loved me (1977) และหนังเรียกน้ำตาที่เอามาสร้างใหม่ชื่อ The Champ (1979 – ตรงนี้คือสิ่งบอกว่าวิกฤติน่าจะเกิดขึ้นประมาณ 3 ปี)
ข่าวนี้ดังมาก ลงหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทุกหัว โดยเฉพาะกำหนดวันลงโรงฯ ซึ่งอยู่ในเครือสยามทั้งหมด วันแรกที่หนังเข้าฉายเป็นวันเสาร์ ผมเหินไปที่โรงฯ ตั้งแต่เช้าตรู่ ดู Star Wars เป็นเรื่องแรกเพราะเป็นหนังดังไปทั่วโลก ซึ่งเจ้ากรรมตอนหนังออกฉาย (1977) เราอยู่ในช่วงวิกฤติ หนังเลยไม่มาที่เมืองไทย
รอบเช้าของหนังคือ 10 โมง จำได้ว่าไปถึงหน้าโรงฯ ประมาณ 9 โมงเช้า ซึ่งในเหตุการณ์ปกติ เช้าวันหยุดงานแบบนี้คนโหรงเหรงเพราะยังนอนกันก้นโด่งอยู่บนเตียง แต่วันนั้นดูเหมือนจะนัดกัน เพราะคนแน่นเหมือนงานเทกระจาด แย่งกันซื้อตั๋ว แย่งกันเข้าไปในโรงฯ ฮู้ย... สารพัดจะแย่งกัน แต่ทุกคนก็ได้ดูหนังที่รอคอยอยากดูมานานในที่สุด
สรุปผมดู Star Wars 3 รอบเอาให้สมกับการรอคอย (ไม่ใช่ในวันนั้นรวด หมายถึงก่อนถอดหนังออกจากโรงฯ ) เกิดมาเพิ่งเคยดูหนังที่มีภาพเทคนิคพิเศษตระการตาเหมือนจริงเหมือนจังพร้อมเสียงเทคนิคพิเศษกระหึ่มรูหูขนาดนี้ก็เรื่องนี้แหละ ... ปิ้ว ๆ ๆ ๆ ... เสียงแสงเลเซอร์ฟาดฟันกัน
ส่วนเพลงประกอบก็สะใจขนาดต้องไปหาซื้อแผ่นเสียงมาฟัง มันไม่ใช่ soundtrack ของหนังแต่เป็นแผ่นทำพิเศษโดยเอาเพลงในหนังมายำแล้วแปลงทำนองเป็น disco แผ่นนี้ออกวางตลาดในปี 1977 อันเป็นยุค disco ตอนนั้นตัวหนังยังไม่มา ผมก็เลยไม่ได้สนใจมาก แม้แผ่น album จะดังขนาดติดอันดับ 1 รวมถึงแผ่น single ชื่อ "Star Wars Theme/Cantina Band" ก็ขึ้นถึงอันดับ 1 เช่นกัน
หนัง Star Wars นี้ก่อกำเนิดบริษัทรับจ้างทำ special effects ที่เป็นตำนานของวงการบันเทิง คือ ILM (Industrial Light & Magic) ที่กวาด Oscar เป็นว่าเล่นในแต่ละปี
ตัวอย่างหนัง
วันต่อมาเป็นวันอาทิตย์ ผมแหกตาแล้วเหินไปที่โรงหนังอีกครั้ง คราวนี้ไปที่อินทรา ดู The Spy who loved me
ผมไม่ใช่สาวกหนัง James Bond เลยไม่ได้ดูติดต่อกันทุกตอน เท่าที่จำได้เคยดูตอน Thunderball ไปกับผู้ปกครอง หลังจากนั้นผมก็ได้ของเล่นเป็นรถเหล็กจาก บ. Corgi คือรถ Aston Martin ที่โผล่โฉมอยู่ในหนัง (แต่ตัวถังคนละสี)
มา James Bond ตอนนี้จำเป็นต้องดู ข้อแรกคืออดอยากหนังฮอลลีวู้ดมานาน แต่ที่สำคัญกว่ามาก เพราะ Carly Simon เจ้าสาวของผมร้องเพลงเปิดเรื่องชื่อ Nobody does it better (นี่เป็นธรรมเนียมของหนัง JB ทุกตอน ต้องจ้างนักร้องดังมาร้องเพลงเปิดเรื่อง แล้วทั้งผู้สร้าง + นักร้องก็คอยลุ้นว่าเพลงจะดังหรือแป้กในอันดับ Billboard)
เรื่อง CS จะร้องเพลงให้กับหนังตอนนี้ได้ยินมาตั้งแต่หนังเริ่มสร้างโน่น รู้เรื่องครั้งแรกตอนไปยืนอ่านหนังสือฝรั่งเกี่ยวกับหนัง/ดาราที่ห้างเซ็นทรัลสีลม รู้แล้วก็ตื่นเต้น อยากฟังเพลงมากกว่าอยากดูหนัง
พอหนังเริ่มออกฉาย (ที่เมืองนอก) แม้จะฝ่าวิกฤติเข้ามาฉายในเมืองไทยไม่ได้ซึ่งผมก็ไม่แคร์ ผมก็เริ่มได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุอยู่บ้าง เพลงเพราะมากแล้วก็ดังสุดขีด (ท่ามกลางความโล่งอกของ ผู้สร้าง + นักร้อง) ที่เมืองเค้า
แต่ที่เมืองไทยนี่หาฟังได้ไม่บ่อย ดีเจไทยคงไม่ชอบละมัง ไอ้ครั้นจะหาซื้อแผ่นเสียงมาฟังก็เป็นไปไม่ได้เพราะเธอไม่ได้เอาเพลงนี้มารวมในแผ่นของตัวเอง คงติดลิขสิทธิ์ เพลงจะอยู่ในแผ่น Soundtrack ของหนังเท่านั้นซึ่งไม่มาขายในเมืองไทย (เพราะหนังไม่มา Soundtrack จะมาทำไม)
สรุปแล้วการดูหนัง Spy who loved me นี้ จุดประสงค์หลักคือต้องการฟัง Carly Simon ร้องเพลง และเพลงเปิดในโรงหนังซึ่งเครื่องเสียงชั้นยอดเป็นทุนอยู่แล้ว คิดดูว่าจะกระหึ่มขนาดไหน เพลงนี้ไปดังในอันดับเพลง Billboard โดยขึ้นถึงอันดับ 2 และได้รับแผ่นเสียงทองคำ ส่วนบนเวที Oscar เพลงนี้รับการเสนอชื่อ แต่ไปไม่ถึงตัวรางวัล
สรุปว่าผมดูหนังเรื่องนี้ 2 รอบ ก็สนุกดี ฉากรถลงน้ำตื่นตาตื่นใจ
ตัวอย่างหนัง
อย่างที่บอกว่าในช่วงวิกฤติแม้หนังจะไม่มาแต่เพลงและของเล่นรวมถึงสินค้าล่อตังค์อื่น ๆ ยังมาเป็นปกติ ซึ่งผมก็ซื้อ (ออกเงินซื้อเองเพราะตอนนั้นโตแล้ว) รถ Lotus Esprit ของ บ. Corgi จาก James Bond ตอนนี้มานอนเล่นนอนดูอยู่นานแล้ว แต่เพิ่งได้เห็นมัน ‘in action’ ในวันนั้น

(คันสีขาวอยู่ในตอน You only live twice)
สำหรับเรื่องที่ 3 คือ The Champ ผมก็ไปดูเช่นกัน แต่ดูรอบเดียวเพราะไม่ใช่แนวโปรด ดูเพราะรู้ข่าวมาจาก starpics ว่า ในเรื่องนี้ Faye Dunaway กำลังท้องทั้ง ๆ ที่บทของเธอในหนังไม่เกี่ยวกับการท้อง เลยอยากเห็นว่าเป็นยังไง (สอดรู้สอดเห็นไม่เข้าเรื่อง)
ในเรื่องนี้ คนที่ดังที่สุดคือเด็กน้อย (ในตอนนั้น) Ricky Schroder การแสดงของพ่อหนูได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ
ตัวอย่างหนัง
พรุ่งนี้ลา 1 วัน