เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 64 65 [66] 67 68 ... 77
  พิมพ์  
อ่าน: 83893 ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 975  เมื่อ 27 ม.ค. 22, 09:44

เจ๊ Olivia Newton John ยังสนุกสนานกับการเล่นหนัง  ในปี 1980 ก็มีหนังที่เธอเล่นเข้ามาฉาย  ชื่อ Xanadu  เป็นหนังแนวแฟนตาซีเรื่องย่อ ๆ ก็ มีศิลปินหนุ่มไส้แห้งมาเจอนางฟ้าที่สามารถทำให้ชีวิตของเขาสมหวังได้

ผมดูแล้วก็งั้น ๆ ส่วนที่เด่นเป็นฉากเพลงประกอบเรื่องที่มีมากมายและดังในอันดับเพลงทั้งนั้น  วิทยุบ้านเราก็เอามาเปิดกันเกร่อ  singles เยอะแยะจนตอนแรกนึกว่าแผ่น soundtrack จะเป็นแผ่นคู่  แต่ไม่ใช่  แค่แผ่นเดียว

Magic (ONJ)


I’m alive (ELO)


All around the world (ELO)


Suddenly (Cliff Richard & ONJ)... เพลงนี้สถานีวิทยุบังคับให้ฟังจนเลี่ยนมาถึงปัจจุบัน


แล้วก็เพลง Xanadu (ELO & ONJ)



ตัวอย่างหนัง



พระเอก Michael Beck หน้าตาเหมือน Andy Gibb อย่างกับแกะ ตอนนั้นแหล่งข้อมูลให้ค้นมีน้อย  เคยเห็นแต่หน้า AG จากปกแผ่นเสียง, SP แล้ว ก็ I.S. Songฯ เท่านั้น ส่วน MB ไม่เคยเห็นมาก่อน  ตอนนั้น AG กับ ONJ ก็สนิทกันจะตายคือนอกจากมาจาก Australia ทั้งคู่  ทั้ง 2 ยังเคยร้องเพลงคู่กันด้วย  ผมจึงคิดว่าเป็น AG มาเล่นหนังแล้วตั้งชื่อใหม่สำหรับใช้ในการเป็นนักแสดง 



...นี่เป็นเรื่องสุดท้ายก่อน Gene Kelly จะตาย...


หนังเรื่องนี้เจ๊งหูรูด  บรรดานักวิจารณ์ให้กันคนละดาวไม่ก็ดาวครึ่ง  บางคนแนะนำให้ไปซื้อแผ่นเสียง soundtrack มาฟังจะคุ้มเงินกว่า

ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็มีหนังเพลงอีกเรื่อง Can’t stop the music (เคยเล่าแล้ว) ออกฉายแล้วเจ๊งหูรูดไม่น้อยหน้ากัน (บ้านเราเข้าฉายที่ โรง อีเอ็มไอ)  ก็เป็นแรงบันดาลใจให้คณะบุคคลกลุ่มหนึ่งก่อตั้งสถาบันการแจกรางวัลสำหรับหนังแย่ ดารา และ ฯลฯ ห่วย  โดยตั้งชื่อว่า Golden Raspberry Awards หรือย่อ ๆว่า Razzies ซึ่งจะประกาศก่อนหน้าการแจกรางวัล Oscar เล็กน้อย 

ในปีแรกของการแจกรางวัลนี้หนัง Xanadu มาเป็นที่ 2 (ที่ 1 ไม่ต้องบอกว่าเรื่องไหน)  ได้เข้าชิง 6 สาขายอดแย่รวมทั้งหนังยอดแย่และดารานำชายหญิงยอดแย่  แต่ที่ได้คว้ารางวัลคือ ผู้กำกับยอดแย่

สถาบันนี้ยืนยงและยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มาจนถึงปัจจุบัน  นักแสดง/ศิลปินคนไหนมีชื่อเข้าเข้าชิงรางวัลในสถาบันนี้  ต่างทำหน้าเซ็งกันเป็นแถว (ยกเว้นบ้างเช่น Sandra Bullock)





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 976  เมื่อ 28 ม.ค. 22, 10:21

ชะรอยผมคงเป็นคนไม่ค่อยจำอะไรง่าย ๆ  พอปี 1983 ผมก็ไปซื้อตั๋วหนังดูเจ๊ Olivia Newton John เล่นอีก  คราวนี้เธอกลับมาควงคู่เก่า John Travolta  ชื่อเรื่องว่า Two of a Kind

หนังแนวแฟนตาซีเช่นเดิม  ว่าด้วยพระเจ้าทรงอิดหนาระอาใจในมวลมนุษย์ก็เลยคิดจะ ‘ล้มกระดาน’ แล้วเริ่มต้นใหม่  แต่มีนางฟ้า/เทวดากลุ่มหนึ่งขอโอกาสแก้ตัว  อ้างว่าคนเราสามารถกลับใจกันได้  แล้วก็ยกตัวอย่างหนุ่มปล้นธนาคารกับสาวหน้าเคานเตอร์ธนาคาร

ผมว่าเรื่องนี้สนุกน้อยกว่าเรื่อง Xanadu ที่ก็ไม่สนุกเท่าไร  แถมเพลงประกอบก็ไม่ถูกใจ

เพลงดังที่สุดของหนัง Twist of fate


Take a chance



ผมว่าสไตล์ของนักแสดง 2 คนดูเห่ยมาก (ฝรั่งเรียกสไตล์ 80s) ดูแล้วขนลุก  ไม่รู้ตอนนั่งดูในโรงรู้สึกแบบนี้รึเปล่า  เห็นหน้า JT ตอนนั้นกับตอนนี้แล้ว  ต้องบอกว่า  กาลเวลาไม่ปรานีใคร  เจ๊ ONJ ยังดูดีกว่าเลย  อีกไม่นานก็คงมีข่าวใหญ่ของเธอ

ตัวอย่างหนัง



กาลเวลาผ่านไปจนกระทั่งถึงยุคจรวดผมถึงได้มีโอกาสอ่านวิจารณ์หนังเรื่องนี้ (และ Xanadu รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ได้ดูมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล) พบว่าประสบชะตากรรมเดียวกันกับเรื่อง Xanadu ทุกประการตั้งแต่คำวิจารณ์รวมถึงรายได้กระจิ๊ดริด  แล้วก็เช่นเดิม ‘ซื้อแผ่น soundtrack ฟังดีกว่า’

คนเขียนบทความใน wikiฯ บอกว่าน่าแปลกใจมากเพราะหนังเจ๊งควรจะดึงแผ่น soundtrack ให้เจ๊งด้วยเพราะคนไม่ไปดูหนัง  กลับปรากฏว่าแผ่นขายดีจริง ๆ  แต่คราวนี้ผมไม่ควักตังค์ด้วยเพราะเพลงไม่เข้าหู

หนังได้เข้าชิง Razzies ถึง 5 สาขาซึ่งก็มีหนัง บทหนัง ผู้กำกับ ดารานำชายหญิง

จากเรื่องนี้ผมก็เจ๊ ONJ ก็แยกทางกัน

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 977  เมื่อ 31 ม.ค. 22, 09:18

ชุดหนังเพลงจบไม่ทันในอาทิตย์ที่แล้ว  มีค้างอีกเรื่องหนึ่ง...

หนังเพลงปีต่อมาหลังจาก Two of a kind นี่ซิ  สุด ๆ ... ‘Footloose’ 

มันก็ต้องมี plot นิดหน่อย  เล่าเรื่องที่อิงจากความจริงเกี่ยวกับครอบครัวแม่หม้ายกับลูกชายวัยรุ่นย้ายมาอยู่ยังเมืองเล็ก ๆ ที่เคร่งครัดต่อศาสนา  เคร่งขนาดออกกฎห้ามกระจายเสียงเพลง Rock หรือการเต้นรำใด ๆ ที่ส่งเสริมเพลงประเภทนี้  เผอิ้ญเผอิญพ่อหนุ่มเป็นขา rock จากเมืองใหญ่มาก่อน  การปฏิวัติจึงก่อตัวขึ้น

บ้านเราเพลงนำร่องมาก่อนตัวหนังเช่นเดิม

ประเดิมความมันด้วย เพลงชื่อเรื่องคือ Footloose โดย Kenny Loggins ซึ่งอยู่ในฉากท้ายเรื่อง  แต่ปล่อยออกมาขย่มวงการเพลงก่อนเป็นเพลงแรก 


เพลงนี้ดังสลบทั้งบ้านเราบ้านเขา  ผมถลาร่อนออกไปหาซื้อแผ่นเสียงก่อนที่หนังจะเข้ามาฉายด้วยซ้ำ

เพลงที่สองที่ปล่อยออกมาคือ Let’s hear it for the boys โดยนักร้องผิวดำ Deniece Williams


เพลงนี้ดังกว่าเพลงแรกอีก  ตอนนั่งดูในโรง  ขามันกระตุกไปตามจังหวะโดยอัตโนมัติ  หนังออกฉายในช่วงที่ผมทำงานแล้ว  เวลาพรรคพวกไปเที่ยวคลับกันหลังงานเลิก  จะมีเพลงนี้เปิดเป็นขาประจำ  ‘ดิ้น’ กันไฟลุกฟลอร์กระเจิง

เพลงที่สามเป็นเพลงช้าซึ่งเพราะมาก  ร้องคู่โดยนักร้องขา rock ชื่อ Ann Wilson (Hearts) กับ Mike Reno (Loverboy)



นำเสนอที่ดังสุด ๆ  ฟังเพลงพวกนี้ในโรงฯ ที่มีระบบเสียงล้ำเลิศ  สะใจจริง ๆ

ฉากต่อไปนี้ไม่ได้ดังที่เพลง  แต่ดังที่พ่อหนุ่ม Keven Bacon ออกมาปล่อยผีในโรงนา


ตัวอย่างหนัง



หนังเรื่องนี้ส่งดาราวัยรุ่น Kevin Bacon เข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัว  อย่างไรก็ตามตอนแรกเธอเกือบไม่ได้รับเลือกเพราะว่า ‘ไม่หล่อไม่เซ็กซี่พอ’ (ผมเห็นด้วยนะ  เธอไม่หล่อเอาเลย  ดูกะโปโล) 

ผู้กำกับซึ่งมองเห็นของดีของ KB ต้องล้อบบี้พร้อมทั้งถ่ายทำฉากทดสอบที่เสริมให้เหล่า producers เห็นว่าไม่ใช่แค่ด้านหล่อเซ็กซี่เท่านั้น  ต้องมีบุคลิกขบถออกมาให้เห็นด้วย  ถึงจะคุมเนื้อเรื่องของหนังได้  จนพวก producers ต้องยอมรับ  ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกเพราะเธอมีส่วนทำให้หนังดังถล่มทลาย 

ตัว KB เองก็ตัดสินใจถูกที่มาทดสอบบทในเรื่องนี้  แต่แรกเหล่า producers เกี้ยว Tom Cruise ไว้เพราะประทับใจฉากเธอเต้นรำในเรื่อง Risky Business แต่คิวไม่ว่าง (เรื่องนี้ก็สนุก)




ส่วนเบอร์รองคือ Rob Lowe แต่ภาพพจน์เธอไม่เด่นพอ 

บุคลิกเถื่อนของ KB ไปได้ดีกับฉากเต้นแร้งเต้นกาด้วยท่วงท่าหลุดโลก  ความจริง KB สารภาพว่าเธอไม่ได้เฮ้วขนาดนั้น  ทั้งหมดเป็นฝีมือของตัวแสดงแทน

แต่คนก็ไม่ถือสา และเธอกลายเป็นดาวค้างฟ้ามาจนถึงปัจจุบัน

ไม่ใช่แค่หนังที่ดัง  แผ่นเสียงก็ดังและขายดีเป็นเทกระจาด  จากการสำรวจพบว่ามีคนจำนวนมากที่ซื้อแต่แผ่นเสียงแต่ไม่เคยดูหนัง

หลังจากนั้น  ในปี 1987 ก็มีหนังเพลงดังอีก 1 เรื่องเข้ามาฉายคือ Dirty Dancing  แต่ผมว่าเพลงไม่มันเท่า Footloose  ผมสรุปกับตัวเองว่ายุคหนังเพลง rock จบลงที่ Footloose นี่แหละ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 978  เมื่อ 01 ก.พ. 22, 09:20

ขอลุยควันหลงด้วยเรื่องนักร้อง Kenny Loggins คนทำเพลงในหนังเรื่อง Footloose นิดนึง 

เธอเป็นนักร้องนักแต่งเพลง  จุดสูงสุดของเธออยู่ในยุค 70s  ตอนนั้นเธออยู่ในวงการเพลงในฐานะศิลปินคู่ คู่กับ Jim Messina  โดยใช้ชื่อว่า Loggins & Messina ในยุคนั้นหานักฟังเพลงคนไทย (ไม่ใช่นักจัดรายการเพลง) รวมถึงผมด้วยรู้จักผลงานของศิลปินคู่นี้แทบจะไม่มีเลย วิทยุเมืองไทยไม่เปิดกัน  ผมก็รู้จักแค่ชื่อ




KL มาแยกตัวมาเป็นศิลปินเดี่ยวในปี 1977  ผมรู้จักเธอจากรูปถ่าย  แผ่นเสียงก็ไม่เคยซื้อ  ผมรู้มากกว่านักฟังเพลงคนอื่นตรงที่รู้ว่าเธอเคยได้รับรางวัล Grammy ที่เปรียบเสมือนรางวัล Oscar ของวงการเพลง  จากเพลง This is it (1981)  เคยฟังเพลงด้วยแต่มันไม่เข้าหู

อย่างไรก็ตาม  ฝีมือการแต่งเพลงของเธอไม่เบา  มีนักร้องหลายรายซื้อลิขสิทธิ์เพลงของเธอไปร้อง  คนที่ทำให้นักฟังเพลงบ้านเรารู้จักเธอ (โดยไม่รู้ตัว) ก็คือ Anne Murray  เพลงของ KL ที่เธอร้องออกแผ่นขายและกระจายเสียงทางวิทยุจนโด่งดังไปทั่วโลกคือ Danny's Song กับ A Love song

นี่ถ้า KL ไม่ทำ Footloose ออกมานักฟังเพลงคนไทยก็คงยังไม่รู้จักเธอต่อไป  อย่างไรก็ตามถึงรู้  อย่างมากก็แค่เพลงกับชื่อนักร้อง  หน้าตาคงนึกไม่ออกอยู่ดี




ในปี 1993 KL จัด concert กลางแจ้งในป่า Redwoods เมือง Santa Cruz รัฐ California โดยใช้ชื่อ concert ว่า Outside: From the Redwoods  งานนี้มีการจัดทำเป็นแผ่นเสียงและวิดีโอออกขายและประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งทั้งคำชมและรายได้

ผมนำตัวอย่างมาให้ชม  บรรยากาศของงานสวยมาก  เห็นแล้วอยากมีส่วนร่วม  แสนจะเป็นธรรมชาติปนแฟนตาซี  คนเอาเสื่อเอาของกินมานั่งชมเหมือนเล่นดนตรีกันในครอบครัว  เป็นความคิดที่เยี่ยมจริง ๆ



เพลง Watching the river run นี้  Anne Murray ก็นำมาร้องเช่นกันแต่บรรจุอยู่ในแผ่นใหญ่ไม่ได้ออกเป็น single  ตอนแรกผมว่าฉบับของ AM  เพร้าะเพราะ  พอมาฟังต้นฉบับของ KL  โอ้โฮ... เหนือกว่า (ตอนท้ายเป็นเพลง Danny’s song ที่เธอแต่งให้กับพี่ชายในโอกาสที่พี่ชายมีลูกซึ่งก็คือหลานของเธอ)


เพลง Return to Pooh Corner เป็นเพลงแต่งให้เด็ก  เพราะมาก


เพลง I'm alright จังหวะมันมาก 


เพลงนี้เคยเป็น single ดังในปี 1980 มันอยู่ในหนังเรื่อง Caddyshack  หนังมาฉายในเมืองไทยด้วยและผมก็ได้ดู  SP บอกว่าเป็นหนังตลก  แต่ดูแล้วไม่เห็นตลกซักนิด  ออกจะเลอะเทอะ  จำได้แค่ฉาก ตัว gopher ซึ่งไม่ใช่ของจริงด้วยซ้ำ


(หมายเหตุ - ฉบับ single สั้นและกระชับกว่านี้  ประมาณ 4 นาที  ฟังแล้วขาขยับแบบห้ามไม่อยู่  และ (ผมว่า) เพราะกว่าการแสดงสดซึ่งใส่ลูกเล่นมากไป)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 979  เมื่อ 02 ก.พ. 22, 09:32

ขั้นรายการด้วยหนังเช่นกันแต่เป็นหนังสารคดีเรื่อง Fantastic Fungi (2019)  เป็นการเล่าเรื่องของ fungi โดยเน้นที่เห็ดว่ามีประโยชน์ไม่ใช่ต่อคนแต่ต่อโลกของเราเลย  เพราะพวกมันมีคุณสมบัติ (อย่างลึกลับ) ในการฟื้นฟูชีวิตบนโลกที่ (ในสารคดีแจ้งว่า) เริ่มขึ้นเมื่อ 3.5 พันล้านปีก่อน

เพิ่งรู้ว่านักพฤกษศาสตร์จัดให้ fungi ยิ่งใหญ่เป็น 1 อาณาจักรของโลกที่มีอาณาเขตอันกว้างขวางสุดประมาณอยู่ใต้ดินอันเร้นลับ  ต้องดูถึงจะรู้เหตุผลว่าทำไม

เป็นสารคดีที่สุดยอด (จนอดนำมาเล่าไม่ได้) แม้จะมีบางตอนเกี่ยวกับแขนงทางการแพทย์ที่ฟังแล้ว งง ๆ   นักวิจารณ์ล้วนเทคะแนนให้  ภาพตระการตามากโดยเฉพาะเทคนิคการถ่ายภาพให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นทำให้เห็นการเจริญเติบโตของเห็ดที่มีรูปร่างประหลาด ๆ ล้วนแปลกตาสวยงาม






ถ่ายจากที่บ้านผม
 
เห็ดพันธุ์เดียวกันแต่ถ่ายต่างเวลากัน


ถ่ายเวลาปกติกับช่วงแดด (อ่อน ๆ) ลงมาพอดี ดูแฟนตาซีดี





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 980  เมื่อ 03 ก.พ. 22, 09:33

ผมอ่านหนังสือ Angels and Demons (2000) และ The Da Vinci Code (2003) จบก่อนจะมีการสร้างหนังออกมาในปี 2006 และ 2009  (เรื่องหลังสร้างก่อนเรื่องแรก  น่าจะเพราะดังกว่า)

หนังสืออ่านสนุกมาก  ตอนที่อ่านนั้น อตน. เจริญพันธุ์เต็มที่แล้ว  สามารถหาข้อมูลประกอบการอ่านได้อย่างละเอียดลออ  สิ่งที่ทำให้สนุกมากขึ้นคือบางแห่งผมก็เคยไปเดินท่อม ๆ ชะโงกหน้าเข้าไปดูซอกโน้นซอกนี้มาแล้ว  ช่วยสร้างภาพขณะอ่านได้ชัดขึ้น

ผมได้ดูหนังทั้ง 2 เรื่องทางทีวี UBC  ความที่ในหนังสือมีรายละเอียดละเอียดยิบ  สิ่งที่ได้รับหลังจากอ่านจบคือ  จำอะไรไม่ได้เลย  ความที่จำรายละเอียดไม่ได้  เวลาดูหนังก็เลยสนุก  ไม่ต้องมาคอยจับผิดว่าในหนังกับในหนังสือต่างกันตรงไหน
 
ฉากที่ประทับใจก็คือทุกฉากที่เปิดเผยความลับของแต่ละปริศนา  นั่งอ้าปากค้างไปตลอดเรื่องดุจไม่เคยรู้เรื่องราวมาก่อน







ส่วนตอน Inferno ผมไม่ได้อ่านหนังสือ  ดูแต่หนัง (2016) ซึ่งก็สนุก  มันเป็นแนวโปรดของผมอยู่แล้ว


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 981  เมื่อ 04 ก.พ. 22, 09:28

วันนี้ขอคุยเรื่องความชอบส่วนตัวครับ

ช่วงเวลานั้นว่างเลยลองเปิดช่อง TCM ดูว่ามีอะไรนำเสนอบ้าง  หนังกำลังเริ่มต้นพอดี  เป็นหนังขาวดำเรื่อง The Trap (1946)  ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน  นั่งดูไปเรื่อย ๆ โดยไม่หวังอะไรเพราะส่วนตัวไม่ชอบดูหนังขาวดำ... ถ้าเรื่องนั้น ๆ ไม่มีอะไรพิเศษค้างอยู่ในความจำที่ได้รู้ได้อ่านมา

หนังเล่าเรื่องตัวละครเอกชื่อ Charlie Chan  กับเหตุการณ์สืบสวนของเขา  ดูได้เพลิน ๆ   สำหรับผม ฉากที่เด่นที่สุดอยู่ตอนต้นเรื่องเลย (แนบหนังมาให้ดูด้วย)




คือรถ Chrysler Town & Country ปี 1942  ในสายตาบางคนอาจเห็นเป็นรถงั้น ๆ   แต่ในสายตาผมมันเป็นรถที่เตะตาสุดขีด  ยิ่งในฉากที่ผู้โดยสารค่อย ๆ โผล่ออกมาจากรถเมื่อจอดแล้ว  นับดูได้ตั้งเยอะแยะ (ตอนแรกนับไม่ทัน  มันลานตามาก มานับใหม่ตอน Youtube ถือกำเนิดแล้ว  ผมว่าในรถมีผู้ชาย 2 คน  แต่เข้ามาในบ้านมี 3 คน  เลยไม่รู้ว่า 9 หรือ 10)  ไม่น่าเชื่อว่ามันจะจุคนได้ขนาดนั้น

ตั้งแต่นั้นผมก็ฝันหวานอยากได้รถคันนี้ที่สุด (หมายถึงรถจำลอง  ที่บ้านเราเรียกว่า รถเหล็ก)  แล้ววันหนึ่งผมก็เจอมันบอกขายอยู่ที่ ebay   และพบสาเหตุว่าทำไมมันถึงจุคนได้ตั้งมากมาย






ที่อเมริกาในยุคปลาย 30s  ถึงต้น 60s  วงการอุตสาหกรรมรถยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ ต่างเพิ่มสายพานการผลิตรถรุ่นใหม่ของตนออกมาแข่งขันกัน  รถรุ่นใหม่นี้ใช้ไม้เป็นส่วนประกอบของตัวถัง  พวกมันมีชื่อเล่นว่า Woodies

รถ Woodies เป็นที่นิยมขึ้นเรื่อย ๆ  ในช่วงสูงสุดของความฮิต (1940s) พวกมันกลายเป็นรุ่นมาตรฐานที่ทุกบริษัทต้องมีอยู่ใน brochures  เพื่อล่อลูกค้า  บริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่เช่น Ford Motors ถึงกับเช่าสัมปทานป่าและตั้งโรงงานผลิตไม้แผ่นมาประกอบตัวถังรถกันเป็นล่ำเป็นสัน

รถ Woodies นี้แรก ๆ มีเฉพาะประเภท station wagon และมีราคาแพงที่สุด




พอเข้าปลายยุค 50s  ความนิยมรถ Woodies เริ่มเสื่อมถอย  ลูกค้าที่ยังต้องการรถแบบนี้ต้องสั่งพิเศษ  แต่ความนิยมข้ามน้ำข้ามทะเลไประบาดที่ยุโรปแทน  โดยเฉพาะที่อังกฤษ 

(หมายเหตุ – รถจำลองของผมส่วนที่เป็นไม้ใช้ไม้จริง ๆ มาประดับ)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 982  เมื่อ 06 ก.พ. 22, 08:48

ก่อนมีหนังอภิมหาตำนาน  Titanic   ฮอลลีวู้ดเคยผลิตหนังตำนานเรือล่มมาก่อนกี่ครั้งไม่ทราบ แต่จำได้คือ The Poseidon Adventure ในปี  1972 
 เป็นหนังเรือสำราญขนาดใหญ่ชื่อโพซีดอนซึ่งกำลังเดินเรือเที่ยวสุดท้ายข้ามมหาสมุทร ก่อนถูกเก็บเข้าอู่ตลอดกาล เพราะนางอายุมากแล้ว   
 ในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  จู่ๆก็เจอคลื่นยักษ์ซึนามิเข้าโดยไม่มีใครประกาศล่วงหน้า   เรือจมลงกลางทะเลลึกในพริบตา  ปล่อยให้ผู้โดยสารและลูกเรือเผชิญชะตากรรมหนีเอาชีวิตรอดจากเรือกันเอง
หนังเรื่องนี้ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง  ทำเงินอันดับหนึ่งในปี 1973, ได้เกินกว่า $125 ล้านดอลล่าร์จากทั่วโลก  แถมยังได้  ออสคาร์ไป 2 ตัว  ลูกโลกทอง 1 ตัว  ได้  British Academy Film Award, และ a Motion Picture Sound Editors Award
ดาราในเรื่องก็ล้วนแต่ดาราดังๆหลายคนหลายวัย

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 983  เมื่อ 06 ก.พ. 22, 08:53

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 984  เมื่อ 07 ก.พ. 22, 09:11

ก่อนมีหนังอภิมหาตำนาน  Titanic   ฮอลลีวู้ดเคยผลิตหนังตำนานเรือล่มมาก่อนกี่ครั้งไม่ทราบ แต่จำได้คือ The Poseidon Adventure ในปี  1972 
 เป็นหนังเรือสำราญขนาดใหญ่ชื่อโพซีดอนซึ่งกำลังเดินเรือเที่ยวสุดท้ายข้ามมหาสมุทร ก่อนถูกเก็บเข้าอู่ตลอดกาล เพราะนางอายุมากแล้ว   
 ในคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่  จู่ๆก็เจอคลื่นยักษ์ซึนามิเข้าโดยไม่มีใครประกาศล่วงหน้า   เรือจมลงกลางทะเลลึกในพริบตา  ปล่อยให้ผู้โดยสารและลูกเรือเผชิญชะตากรรมหนีเอาชีวิตรอดจากเรือกันเอง
หนังเรื่องนี้ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง  ทำเงินอันดับหนึ่งในปี 1973, ได้เกินกว่า $125 ล้านดอลล่าร์จากทั่วโลก  แถมยังได้  ออสคาร์ไป 2 ตัว  ลูกโลกทอง 1 ตัว  ได้  British Academy Film Award, และ a Motion Picture Sound Editors Award
ดาราในเรื่องก็ล้วนแต่ดาราดังๆหลายคนหลายวัย


Oscar ตัวหนึ่งเป็นของ Best Visual Effects อีกตัวเป็นของ Best Original Song



ตัวที่สามหวุดหวิดเป็นของ นักแสดงคร่ำหวอด Shelley Winters ที่เคยอุ้มกลับไปเก็บไว้ที่บ้านแล้ว 2 ตัว
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 985  เมื่อ 07 ก.พ. 22, 09:19

ปัจจุบันค่อนข้างชำนาญเรื่องหนังฝรั่ง  พอนึกย้อนไปถึงตอนเด็ก ๆ ทำให้รู้ว่าหนังฝรั่งที่มาฉายในเมืองไทยไม่จำเป็นต้องเป็นหนังมาจากฮอลลีวู้ดเสียทั้งหมด  มาจากแหล่งต่าง ๆ ก็มีเยอะแยะ

ที่จำได้แม่นคือหนังชุดเคาบอยที่มีชื่อไทยว่า ริงโก้ บ้าง จังโก้ บ้าง  ชื่อพวกนี้ดังขนาดร้านตัดเสื้อผ้าผู้ชายเอามาตั้งเป็นชื่อร้าน  มีร้านชื่อพวกนี้กันทุกย่าน  เวลาจะเอ่ยถึงต้องตามด้วยชื่อย่าน  ไม่งั้นคนจะงงเพราะร้านชื่อนี้มีเยอะไปหมด  เช่น ร้านจังโก้วงเวียนใหญ่ ฯลฯ

สมัยนั้นผมนึกว่าหนังพวกนี้เป็นหนังอเมริกัน  เพราะรู้ว่าถ้าเคาบอยก็ต้องอเมริกาเท่านั้น จนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิดถึงรู้ว่าเป็นหนังจากฝั่งยุโรปที่สร้างเลียนแบบหนังเคาบอยอเมริกัน เหล่านักวิจารณ์อเมริกันเรียกหนังพวกนี้ว่า ‘Spaghetti Western’ เพราะอิตาลีเป็นผู้สร้างหนังพวกนี้เสียส่วนใหญ่

ตอนเด็ก ๆ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  ต่อมาถึงจับคู่ได้ว่า  ถ้าหนังมีคำว่า จังโก้ ละก็พระเอกคือ Franco Nero






ถ้าชื่อหนังมีคำว่า ริงโก้  แสดงว่านำแสดงโดยพระเอกชื่อ Montgomery Wood


สำหรับชื่อ Montgomery Wood นั้นเป็นชื่อทางการแสดง (นัยว่าคนจะได้อ่านได้ง่าย) ส่วนชื่อจริง ๆ ของเธอคือ Giuliano Gemma




หนังฝรั่งสมัยเด็กอีกเรื่องหนึ่งที่จำชื่อไทยได้แม่นคือ สัตว์สาวจากโลงศพ มารู้ชื่อต้นฉบับทีหลังว่า Blood from the mummy's tomb (1971) มาจากเกาะอังกฤษ  จำจาก ไทยรัฐ ได้ว่าเป็นหนังมีอาถรรพ์อะไรสักอย่าง




แต่เรื่องนี้ดังที่สุดในยุคนั้นผมว่า  ไม่ใช่ดังเฉพาะหนัง  เพลงประกอบก็ดังด้วย  คือ Ding dong  ทุกสถานีวิทยุเปิดกันสนั่น  ผมว่าดังกว่าหนังเสียอีก  จำไม่ได้ว่าหนังใช้ชื่อไทยว่าอะไร  ชื่อภาษาอังกฤษมาหาเจอในยุค อตน. คือ When Men Carried Clubs and Women played Ding-Dong (1971)  เลยสามารถหาหนังดูได้และพบว่ามันเป็นหนังโป๊  โป๊กว่า Barbarella เสียอีก  อยากรู้จังว่าตอนที่ฉายในโรงนั้นคนดูได้เห็นภาพอะไรกันบ้าง
 


มีเซ็นเซอร์แฮะ... เอาใหม่


โดนอีก!!  เปิด youtube ดูเองละกัน


ฉบับเพลงที่ได้ฟังจากสถานีวิทยุ  ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือเด็กต่างก็ร้องท่อน ‘ding ding dong da da ding ding dong …’ กันได้ทุกคน


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 986  เมื่อ 08 ก.พ. 22, 08:29

วันหนึ่งในปี 1998 ผมเดินอย่างองอาจเข้าโรงฯ ไปดูหนังเรื่อง The Truman Show เรื่องเล่าเกี่ยวกับชีวิตของเซลล์ขายประกันหนุ่มที่มีชีวิตสุขสบายอาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เหมือนฝัน  แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็พบว่า  ชีวิตของตัวเองนั้นที่แท้คือ รายการ reality show ที่ทุกคนทั่วโลกต่างเฝ้าติดตามกันงอมแงม

ตอนหนังเรื่องนี้ออกฉาย ไม่มีใครกั๊ก plot เพราะทุกคนรู้เรื่องราวของนาย Truman Burbank  แต่ที่อยากรู้คือเมื่อไรเขาจะตระหนักได้และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรู้ความจริงแล้ว

ตอนต้นเรื่องเป็นเรื่องราวชีวิตที่เหมือนฝันของนาย TB  แล้วจู่ ๆ ก็เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น



TB เริ่มระแคะระคายถึงสิ่งผิดปกติ





และเริ่มทดสอบ







และพยายามหนี



เพราะว่าเป็นรายการทีวี  เลยต้องแทรกโฆษณาเข้ามาเป็นระยะ ๆ





ระหว่างการถ่ายทำ  บางครั้งต้องเรียก rating  ในเรื่องนี้คือการปรากฏตัวของพ่อที่หายไปนาน



ผู้สร้างพยายามทุกอย่างเพื่อไม่ให้ TB ค้นพบความจริง



แต่ไม่มีใครหยุดยั้งเขาได้



หนังดีมั้ยล่ะ...

ตัวอย่างหนัง

(ในเรื่อง  หนังเล่ารายละเอียดทุกอย่างเป็นต้นว่า TB คือใคร  ทำไมถึงมาใช้ชีวิตอยู่ในรายการ reality show โดยที่ไม่รู้เรื่องราวมาก่อน ฯลฯ  เป็นงานสร้างที่ละเอียดยิบสมควรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar จากทั้งหมด 3 สาขา) 


ดูจบแล้วนึกในใจว่าโชคดีจังที่ชอบหนังฝรั่ง  ทำให้ได้มีโอกาสดูหนังไอเดียแปลก ๆ มากมายที่ไม่มีทางหาได้ในหนังไทย

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 987  เมื่อ 08 ก.พ. 22, 09:02

ดูเรื่องนี้ทาง UBC  คิดถึงอาจารย์สดใส พันธุมโกมลขึ้นมาทันทีค่ะ    ถ้ายังเรียนวิชาศิลปการละคร คงได้เอาเรื่องนี้มาตีความสัญลักษณ์ในเรื่องกันสนุก
อย่างหนึ่งที่รู้สึกคือ  ผู้กำกับในเรื่องที่ครอบทรูแมนไว้ในโลกสมมุตินั้น เป็นผู้พยายามสุดขีดที่จะไม่ให้ทรูแมนหนีออกสู่โลกความจริง    ถ้าตีความก็คือการเสียดสีพระเจ้า ผู้ดลบันดาลทุกสิ่งในชีวิตมนุษย์  แต่ทรูแมนคือมนุษย์ที่ดิ้นรนออกพ้นจากสภาพลวงตา ไปสู่ความเป็นจริง   
ถ้าเป็นชาวพุทธก็คงบอกว่าทรูแมนคือมนุษย์ที่ดิ้นรนให้หลุดพ้นวัฎจักรอันเป็นภาพมายา ไปสู่สัจธรรม

จิม แคร์รี่เล่นเรื่องนี้ได้ดีกว่าเวลาทำท่าบ้าๆบอๆ อย่างในเรื่องอื่น
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 988  เมื่อ 09 ก.พ. 22, 09:36

ดูเรื่องนี้ทาง UBC  คิดถึงอาจารย์สดใส พันธุมโกมลขึ้นมาทันทีค่ะ    ถ้ายังเรียนวิชาศิลปการละคร คงได้เอาเรื่องนี้มาตีความสัญลักษณ์ในเรื่องกันสนุก
อย่างหนึ่งที่รู้สึกคือ  ผู้กำกับในเรื่องที่ครอบทรูแมนไว้ในโลกสมมุตินั้น เป็นผู้พยายามสุดขีดที่จะไม่ให้ทรูแมนหนีออกสู่โลกความจริง    ถ้าตีความก็คือการเสียดสีพระเจ้า ผู้ดลบันดาลทุกสิ่งในชีวิตมนุษย์  แต่ทรูแมนคือมนุษย์ที่ดิ้นรนออกพ้นจากสภาพลวงตา ไปสู่ความเป็นจริง    
ถ้าเป็นชาวพุทธก็คงบอกว่าทรูแมนคือมนุษย์ที่ดิ้นรนให้หลุดพ้นวัฎจักรอันเป็นภาพมายา ไปสู่สัจธรรม

จิม แคร์รี่เล่นเรื่องนี้ได้ดีกว่าเวลาทำท่าบ้าๆบอๆ อย่างในเรื่องอื่น

บทในเรื่องนี้เป็นบทดราม่าเรื่องแรกของ Jim Carrey ก่อนหน้านี้เธอเล่นแต่บทตลกโปกฮา  เธอเล่นได้เด่นมากเป็นที่จับใจเหล่านักวิจารณ์
ตอนถึงฤดูแจกรางวัลเธอก็ได้รางวัลย่อย ๆ มาตามทาง  จนกระทั่งถึงรางวัลลูกโลกทองคำอันเปรียบเสมือนตัวตัดสิน (อย่างไม่เป็นทางการ) ว่าจะไปถึงเส้นชัยคือ Oscar หรือไม่  ซึ่งเธอก็คว้ามาได้
แต่แล้วเมื่อผลประกาศผู้เข้าชิง Oscar ออกมา  ปรากฏว่าไม่มีชื่อของเธอรวมอยู่ในนั้น
เป็นเหตุการณ์อกหักที่เธอยังทำใจไม่ได้มาถึงบัดนี้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 989  เมื่อ 09 ก.พ. 22, 09:43

พื้นที่ด้านหลังที่ทำงานผมเป็นตลาดนัด  ในนั้นจะมีร้านขายดีวีดี  หลังกินข้าวเสร็จผมจะไปย่อยอาหารที่นั่นด้วยการไปยืนดูว่าวันนี้มีหนังอะไรใหม่เข้ามาบ้าง

วันนั้นผมต้องเสียตังค์ไปกับหนังที่อยากดู 1 เรื่อง  กลับมาที่ห้องเพื่อนเห็นก็กระชากไปดูว่าเรื่องอะไร

‘เฮ้ย... หนังอวกาศ  ชั้นชอบ  แกดูจบแล้วขอชั้นดูต่อ’

หนัง The Hitchhiker's Guide to the Galaxy เรื่องนี้คนไทยคงไม่เคยได้ยิน  มันสร้างมาจากนิยายวิทยาศาสตร์ออกแนวตลกร้ายของประเทศอังกฤษ หนังสือมีหลายตอน  ในปี 2005 มีคนนำตอนหนึ่งมาสร้างเป็นหนัง

เรื่องเล่าถึง Ford Prefect มนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกแล้วได้เพื่อนเป็นมนุษย์โลกชื่อ Arthur Dent

FP เป็น researcher กำลังค้นคว้าหาข้อมูลมาประกอบการทำ ปูม ชื่อ The Hitchhiker's Guide to the Galaxy  อันเป็นคู่มือสำหรับการท่องเที่ยวไปในอวกาศ

AD เป็นชาวโลกสามัญธรรมดา  แต่วันนั้นไม่ธรรมดาเพราะบ้านของเขากำลังจะโดนรื้อเพื่อเปิดที่สำหรับสร้าง bypass

และในวันนั้นเช่นกัน โลกก็จะถูกเวรคืนเพราะไปตั้งขวางทางที่กำลังมีการพัฒนาสร้างทางด่วน hyperspace  ดังนั้น FP จึงรีบพาเพื่อนมนุษย์ของตัวเองหนีออกจากโลกโดยด่วน  แล้วดันหลงเข้าไปในยานอวกาศลำหนึ่งชื่อว่า Heart of Gold  จากนั้นการผจญภัยก็เริ่มขึ้น

วันที่บ้านของ AD โดนรื้อ  แล้วอีกแป๊บโลกก็โดน Vogons ตัวทำลายล้างจากนอกโลกที่ทางสหพันธ์ฯ จ้างมาทำลายเพื่อเริ่มต้นงานก่อสร้าง (เริ่มที่ 0.28)



ส่วนที่เป็นสีสันของเรื่องคือ Marvin หุ่นยนต์เป็นโรคซึมเศร้า ขี้บ่นแล้วก็ช่างกระแนะกระแหน

01.50 – Freeze!
   - Freeze? I’m a robot not a refrigerator!
ขำกลิ้ง...


ฉากแปลก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Improbability drive (แปลไม่ถูก) คนไทยไม่มีทางคิดมุขอย่างนี้ออก



ตัวร้ายกับฉากเด็ดที่ไม่มีทางคิดไปถึง



เผ่าพันธุ์ Vogons ตัวทำลายล้าง ที่ใน guide book อธิบายไว้ว่า


กับชั่วโมงพักกินกลางวัน



ประโยชน์ของ Babelfish



เรื่องย่อ



โดยส่วนตัวผมว่าหนังตลกดี  มีมุขแปลก ๆ ที่เราคิดไม่ถึง  แต่ผมว่าคงไม่มีใครคิดอยากดู 

พอดูจบคืนนั้น  วันรุ่งขึ้นผมก็เอาหนังมาให้เพื่อนดูต่อ

วันต่อมาเพื่อนเอาหนังมาคืน  พร้อมด่าว่า  หนังห่าอะไรของแกวะ บ้า ๆ บอ ๆ  ไม่เห็นได้เรื่อง
 
ผมบอกตลกดีออก  และก็รื้อฟื้นฉากตลกบางฉากมาอ้างอิง
 
เพื่อนบอกไม่เห็นขำเลย  อะไรวะยานอวกาศวิ่ง ๆ อยู่เดี๋ยวกลายเป็นเก้าอี้  เดี๋ยวกลายเป็นก้อนไหมพรม 
แล้วยังเหน็บตบท้ายว่า  แกดูหนังฝรั่งมากเสียจนมีความคิดความอ่านเป็นฝรั่งไปแล้ว

ไม่ได้ยัดเยียดให้ดูซักหน่อย  แล้วก็ดูฟรีด้วย  ยังมาด่าอีก

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 64 65 [66] 67 68 ... 77
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 20 คำสั่ง