เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 65 66 [67] 68 69 ... 77
  พิมพ์  
อ่าน: 84212 ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 990  เมื่อ 10 ก.พ. 22, 08:55


จิม แคร์รี่เล่นเรื่องนี้ได้ดีกว่าเวลาทำท่าบ้าๆบอๆ อย่างในเรื่องอื่น

อ่านแล้วทำให้นึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เคยดูหนังของ Jim Carrey เรื่องหนึ่งที่มี plot แปลกประหลาด  คือเรื่อง The Mask (1994) ตอนนั้นเธอยังสนุกกับบทที่ตัวเองถนัดคือบทตลกโปกฮา
  
The Mask เป็นหนังแนวแฟนตาซี เรื่องเล่าถึง Stanley Ipkiss พนักงานธนาคารที่มีบุคลิกที่ฝรั่งเขาตราว่า ‘a loser’  ไม่รู้ตรงกับแสลงภาษาไทยว่าอะไร ‘โหลยโท่ย’ รึเปล่า

เธอใช้ชีวิตไปวัน ๆ แบบซังกะตาย วันหนึ่งก็ดันไปพบหน้ากากแปลกประหลาด  เมื่อลองครอบหน้ากากดูก็พบว่ามันเป็นหน้ากากวิเศษ  มันทำให้เธอกลายเป็น The Mask ที่มีอุปนิสัยตรงข้ามกับบุคลิกจริง  คือเป็นตัวสร้างปัญหา  และก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน


ตอนนั้น อตน. ยังตั้งไข่  ไม่สามารถหาข้อมูลอะไรได้  ผมเลยไม่สามารถค้นหาได้ว่า JC เธอพูดว่าอะไรในฉากเปิดตัว The Mask  แบบว่าจับคำไม่ได้  จนกระทั่งในเวลาต่อมาเมื่อมีเพื่อนต่างด้าวแล้วถึงรู้ ... (คือคำว่า Smokin’ ซึ่งรู้คำแล้วก็ไม่รู้ความหมายอยู่ดีเพราะมันเป็นแสลง  เพื่อนฯ ต้องแปลให้ฟังอีกทอดหนึ่ง)


ฉากกวน ๆ ของ The Mask ที่มีบุคลิกเหมือนการ์ตูน











SI มีซี้คือหมาชื่อ Milo  





ฉากจบ



ตัวอย่างหนัง



หนังสนุกมากน่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ  ไม่ได้ดังแค่ที่บ้านเรา  ที่บ้านเขาก็ทำเงินมโหฬาร  ตัว JC คล่องกับบทจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำเป็นครั้งแรกแต่พลาด  เธอได้จับในครั้งที่ 2 จากเรื่อง The Truman Show  และได้จับอีกครั้งจากการเสนอชื่อในครั้งที่ 3 เรื่อง Man on the Moon ในปีถัดมา  เรื่องนี้ผมไม่ได้ดู  เลยเล่าไม่ได้

ผมว่าเธอบ้า ๆ บอ ๆ กับบทแบบนี้เหมาะกว่า  บทใน The Cable Guy หรือ Ace Ventura นักสืบงี่เง่า ฯลฯ
  
นักแสดงอีกคนที่แจ้งเกิดจากเรื่องนี้คือ ดาราสาว Cameron Diaz  นี่เป็นหนังเรื่องแรกของเธอ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 991  เมื่อ 10 ก.พ. 22, 09:42

ไม่เคยชอบลีลาตลกบ้าบอคอแตกของจิม แคร์รี่ค่ะ   รู้สึกว่ามันเสแสร้งแกล้งเล่นทุกฉาก    แต่ก็มีอีกเรื่องของเขาที่ค่อยยังขั่วหน่อย คือ Liar Liar  เป็นทนายความเหลี่ยมพราวที่ถูกคำอธิษฐานของลูกชายตัวน้อย ให้ไม่สามารถพูดเท็จได้
พอต้องพูดความจริงทุกคำในชีวิต   ความโกลาหลก็ตามมา

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 992  เมื่อ 11 ก.พ. 22, 09:07

คุยถึง Jim Carrey แล้วนึกถึงนักแสดงตลกอีกคนที่เป็นรุ่นพี่ของเธอคือ Steve Martin  นี่ก็เป็นนักแสดงที่ติดกับกับบทตลกอีกคน  แต่ผมว่าเธอแย่กว่า JC ตรงที่แม้จะพยายามพลิกแพลงไปเล่นบทอื่นก็ไม่สำเร็จเพราะคนดูเห็นหน้าปั๊บก็เตรียมหัวเราะไว้ก่อน

เท่าที่นึกออกผมเคยดูหนังของเธอในยุคแรก ๆ คือ Roxanne (1987) หนังที่ดัดแปลงมาจากบทละครชื่อ Cyrano de Bergerac ของกวีชาวฝรั่งเศสชื่อ Edmond Rostand เกี่ยวกับชายหน้าตาตลก (ตรงจมูก) เจ้าคารมที่ไปหลงรักผู้หญิงสาวสวยแต่อายภาพพจน์ของตัวเองเลยต้องไปหลบอยู่หลังฉากแล้วใช้ทักษะของตัวเองช่วยเพื่อนหนุ่มหล่อแต่ทึ่มจีบสาวที่ตัวเองหลงรัก






มาในปี 1989 ผมก็ได้ดูหนังที่เธอเล่นอีกเรื่องชื่อ Parenthood  เป็นเรื่องราววุ่นวายภายในครอบครัวใหญ่โดยมี SM รับบทชายผู้มีความรับผิดชอบที่ต้องรับภาระของบรรดาพี่น้องและลูกหลาน ที่ล้วนมีปัญหาชวนให้โลกแตกทั้งสิ้น

ผมว่าหนังสนุกถูกใจ  ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยสอดรู้สอดเห็นชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้าน  ต่อมาอีกนานจนกระทั่งผมรู้จัก Leonard Maltin นักวิจารณ์หนังชื่อดัง (ผ่านทางหนังสือของเค้าน่ะ)  ถึงได้รู้ว่าเป็นหนังดีจริง ๆ  LM ให้ตั้ง 3 ดาวครึ่ง (จาก 4)  พอรู้แล้วก็รู้สึกภูมิใจว่ารสนิยมของข้าก็ไม่ใช่เล่น  แม้จะตรงกันน้อยเรื่องมากก็ตาม

อย่างไรก็ตามในหนังมีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ  มันเกี่ยวพันกับตัวพี่ชายคนโต (SM - ผมชอบที่เธอเล่นบทเบา ๆ แบบนี้มากกว่าตลกโปกฮา)  คือความที่มีแต่เรื่องยุ่งเหยิงประดังเข้าตลอดเวลาทำให้เธอเกิดความเครียด  เมียก็เป็นห่วงสุขภาพของผัว  ก็ไปบ่นให้สมาชิกของครอบครัว (ใครก็ไม่รู้  จำไม่ได้แล้ว) ฟัง  สมาชิกคนนั้นซึ่งเป็นคน ‘ทันสมัย’ ก็แนะนำวิธีช่วยผ่อนคลายให้ผัวด้วยการใช้ sex แบบพิสดารบำบัด  แล้วก็แนะวิธี oral sex ให้  ซึ่งเมียหัวโบราณฟังแล้วก็อ้าปากค้างไป  

วันหนึ่งขณะขับรถกลับบ้าน  ผัวแก้วก็บ่นความเครียดให้เมียฟัง  ฝ่ายเมียนึกถึงคำแนะนำนั่นได้ก็เลยถือเป็นโอกาสอันดีที่จะลองช่วยบำบัดความเครียดให้ผัวรักเสียเลย



ฉากนี้น่ารักและตลกมาก (อย่าลืมว่าเวลาผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว)  ผมว่าผมหัวเราะดังที่สุดในโรงก็ว่าได้  ฉากที่ว่าติดอยู่ในใจมาตลอดกว่า 10 ปี  นึกถึงทีไรก็อยากดูฉากนั้นอีก (หมายถึงดูความตลกไม่ใช่ว่าผมคิดลามกจกเปรต) แต่หาดูไม่ได้  จนกระทั่ง youtube ถือกำเนิดผมจึงมีโอกาสได้ค้นหาฉากที่ว่านี้


ตัวอย่างหนัง





บทเมียหัวโบราณเล่นโดยนักแสดงระดับ Oscar ชื่อ Mary Steenburgen (ในหนังยังมีดารา Oscar อยู่อีก 2-3 คน)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 993  เมื่อ 13 ก.พ. 22, 16:49

ชอบ Steve Martin อยู่ 2  เรื่องซึ่งเป็นภาคต่อกัน คือ Father of the Bride   ทำขึ้นใหม่จากของเดิมที่สเปนเซอร์ เทรซี่เล่นเป็นพ่อ และคุณย่าลิซ เทเลอร์ในวัยสาวเล่นเป็นลูกสาว
รู้สึกว่าลุงสตีฟเล่นเป็นพ่อจอมหวงลูกสาว    เว่อไม่มากค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 994  เมื่อ 13 ก.พ. 22, 16:50

กับภาค 2  ที่คุณพ่อมีลูกคนเล็กเกิดวันเดียวกับหลานตา

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 995  เมื่อ 14 ก.พ. 22, 09:26

Foul Play (1978) เป็นหนังเบา ๆ มีครบทุกรส โรแมนติก ลึกลับ แอคชั่น  ผมดูด้วยความสนุกสนาน  ตอนนั้นดาราตลกรุ่นเดอะ Chevy Chase กำลังหนุ่มแน่น  ผมจำจากในหนังได้ว่าเธอหล่อไม่น้อยแล้วก็ยิ้มสวยมาก

เรื่องเกี่ยวกับสาวบรรณรักษ์ (Goldie Hawn น่ารักเชียวละ) ที่พบสิ่งลึกลับในซองบุหรี่ของเธอมันคือ ม้วนฟิล์มปริศนา  เธอมาเจอกับพระเอก CC ในงานเลี้ยง  เป็นการเจอกันครั้งแรกที่ไม่ประทับใจแต่แล้วมันก็ทำให้ทั้งสองสนิทกันและช่วยกันแกะปริศนาจากม้วนฟิล์มลึกลับนั้น

นี่ประมวลมาจาก Wikiฯ  เพราะผมจำอะไรในหนังไม่ได้เลย แหม... ตั้ง 40 กว่าปีมาแล้ว  ใครจะไปจดจำรายละเอียดอะไรได้ทุกอย่าง  ถ้าไม่มี Wikiฯ ช่วยให้ผมรื้อฟื้น  ผมคงเสริมรายละเอียดอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้
 
ย้อนกลับไปที่หนัง  ผมจำอะไรในหนังไม่ได้นอกจากเพลงประกอบ  มีอยู่ 2 เพลง  ทั้ง 2 เพลงร้องโดยนักร้องเพลง Ballad ของยุค 70s คือ Barry Manilow
 
เพลงแรกที่จะเอ่ยถึงคือ Copacabana เพลงที่ฉีกแนว ballad ของ BM ออกไปเป็นแนว disco ที่ทั้งเพราะและดังมากในบ้านเรา  นักฟังเพลงฝรั่งรุ่นเรารู้จักเพลงนี้กันดี  ใน youtube ไม่มีใครเอาเพลงนี้ในฉากของหนังมาปล่อย

เพลงที่ 2 เป็นเพลงช้าแนวถนัดของ BM คือ Ready to take a chance again  เพลงนี้เพราะจับใจผมมาก  ยิ่งแทรกมาในฉากที่เผยให้เห็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของชายฝั่งทะเลแล้ว  อื้อฮือ... เพราะ...


เพลงนี้ได้เข้าชิง Oscar แต่พลาด


ตัวอย่างหนัง (แบบมัว ๆ)



เล่าเรื่อง Barry Manilow นิ้ดนึง  เธอประเดิมผลงานประดับไว้ใน Billboard เพลงแรกก็ติดอันดับ 1 เลยคือเพลง Mandy (1974) ในบ้านเราเพลงนี้กระหึ่มไม่น้อยเพราะทำนองตลาดจับหูคนง่าย  ผมฟังแล้วก็ว่าเพราะแต่ไม่จับใจขนาดออกไปหาซื้อแผ่นเสียงของเธอ

ช่วงเวลานั้นผีเพลงผีหนังเข้าสิงผมแบบไม่มีทางกระดิกกระเดี้ย  ก่อนการมาถึงของ I/UBC  ผมร่อนออกไปดูหนังโรงทุกอาทิตย์  อาทิตย์ละ 1 เรื่องเป็นอย่างน้อย  ดูเสร็จก็ไปห้างเซ็นทรัลสีลม/ชิดลม  ไปสำรวจตลาดแผ่นเสียง
 
แผนกแผ่นเสียงของที่ห้างทั้ง 2 สาขานี้ใหญ่มาก  แต่แผ่นก็งั้น ๆ   หนักไปทางแนวคลาสสิกและแจ๊ส ฯลฯ  แนวแบบอมตะไม่ตามกระแส  วางขายได้ตลอดกาล

อย่างไรก็ตามที่แผนกแผ่นเสียง ฯ นี้ก็มีแผ่นตามกระแสอยู่ไม่น้อย  แต่มันแค่ ‘ตาม’ กระแส  ไม่ใช่ ‘ทันต่อ’ กระแส  การไปเดินของผมจึงไปเดินเล่นเอาแอร์เย็น ๆ

ผมนิยมเพลงทันต่อกระแสจึงหาอะไรที่ต้องการจากที่นี่ไม่ค่อยได้  ถ้าเวลานั้นมาถึงผมจะไปที่ร้านแผ่นเสียงรามาย่านบางรัก  ร้านเน่า ๆ มีห้องเดียว  แต่แผ่นเด็ดดวงทั้งนั้น  ส่วนใหญ่เป็นแผ่น ‘ร้อน’ คือ  เป็นแผ่นที่ลูกค้าสั่งไว้
  
ยุคนั้นงานอดิเรกหารำไพ่พิเศษของเหล่าพนักงานสายการบินชาวไทยก็คือไปหาซื้อแผ่นเสียงจากต่างประเทศเอามาขายต่อหรือตามร้านที่ตัวเองมี ‘connection’ สั่งมา  นักสะสมแผ่นเสียงจึงนิยมร้านแผ่นเสียงเล็ก ๆ แบบนี้มากกว่าตามห้าง  ได้แผ่นที่ต้องการและรวดเร็วกว่า  สั่งไป 3-4 วันก็มาแล้ว  ราคาก็ไม่ต่างกันมาก

วันหนึ่งขณะเดินเล่นในห้าง ฯ  ผมเห็นแผ่นเสียงซึ่งเป็นแผ่นแรกของ BM  ผมดูหน้าปกที่เป็นภาพถ่ายของเธอ (เห็นหน้าเป็นครั้งแรกเช่นกัน) แล้วคิดในใจว่า  ไม่หล่อเล้ย  ความคิดแว่บนึงโผล่ขึ้นมาทันทีว่า  นึกถึงหน้าหมาพันธุ์นึงแฮะ




กาลเวลาผ่านไป  ระหว่างนั้น BM ก็ออกเพลงใหม่แล้ววิทยุเมืองไทยก็เอามาเปิดให้พวกเราฟังเป็นประจำ Could it be magic, I write the songs (อันดับ 1 เป็นเพลงที่ 2) แล้วก็  Trying to get the feeling again (เพราะหูผมสุดขีด)
 
อีกวันหนึ่งในเวลาต่อมา ผมเดินสำรวจแผ่นเสียงที่ห้าง ฯ ตามปกติก็เห็นแผ่นเสียงออกใหม่ของ BM วางอยู่ในช่องเก็บ (เป็นแผ่นที่ 3 ของเธอ)  มันชื่อแผ่น  Trying to get the feeling  คราวนี้หน้าปกไม่ได้เป็นรูปของเธอ  มันเป็นรูปวาด  (ตามปกติหน้าปกแผ่นเสียง (ในที่นี้เน้นที่ศิลปินเดี่ยว) จะเป็นรูปของตัวนักร้องเองเสมอ)

ผมก็หยิบแผ่นขึ้นมาพิจารณาจากนั้นก็พลิกดูปกหลังก็เห็นภาพนี้
 


เห็นแล้วอดขำไม่ได้  เธอหน้าเหมือนหมาพันธุ์นี้นี่เอง


หมายเหตุ – แก่จนถึงบัดนี้  รู้จักพันธุ์หมาต่าง ๆ มากขึ้น  ผมว่าหน้าเธอไม่เหมือนหมาพันธุ์นี้เท่าไรนะ ยังมีพันธุ์อื่นที่หน้าเหมือนกว่า

จบภาคแรก...

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 996  เมื่อ 15 ก.พ. 22, 08:29

ในเรื่อง Foul Play มีนักแสดงในบทตัวประกอบอยู่คนชื่อ Dudley Moore เธอเป็นนักแสดงจากฝั่งอังกฤษ  หลังจากสะสมชื่อเสียงได้เป็นกอบเป็นกำพอก็ย้ายข้ามมาฮอลลีวู้ด  นั่นเป็นหนังเรื่องแรกของเธอที่เล่นในฮอลลีวู้ด

ในปี 1981 โชคมาตกบนตักเมื่อเธอรับเล่นบทมหาเศรษฐีหนุ่มใหญ่ขี้เมาที่วันๆ ไม่ทำอะไรนอกจากผลาญเงินแม่กับกระดกเหล้าเข้าปาก  แม่ทนความสำมะเลเทเมาไม่ไหวก็เลยจะจับเธอคลุมถุงชนซะ  ให้ความรับผิดชอบทำหน้าที่กลับตัวลูกชายเสียที

ขณะกำลังกลุ้มใจกับสิ่งที่ต้องเผชิญ  เธอก็เผอิญไปพบสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง  ซึ่งความธรรมดาของสาวดันไปมัดใจเศรษฐีขี้เมาท่านนั้น

หนังเบา ๆ ดูสนุกปนขำ (เลยจำรายละเอียดไม่ได้!)  DM เล่นได้เด่นมาก  มากจนไปจับตาคณะกรรมการพิจารณารางวัล Oscar  แต่คนที่เด่นกว่าและได้ Oscar ไปครองในที่สุด (สาขาประกอบ) คือคนรับใช้ที่เล่นโดยนักแสดงผู้ดีชาวอังกฤษ Sir John Gielgud
 
เด่นในทุกฉาก





แต่ที่เด่นที่สุดสำหรับผมอยู่ที่เพลงประกอบหนัง Best that you can do (Arthur’s Theme) เพราะสุดใจขาดดิ้น  ปกติเพลงจากหนังจะนำร่องมาก่อนทางวิทยุ  ตอนผมฟังเพลงนี้ทางวิทยุก็เพราะ  แต่พอมาฟังในโรงที่มีเครื่องเสียงชั้นนำ  ขับเสียงจากเครื่องดนตรีละเอียดยิบ (ช่วง 'intro' เพราะมาก และเครื่องเป่าสะใจมาก) และกระหึ่มหู  มันประมาณว่าแทบจะเผ่นออกจากโรงกลางคันเพื่อไปสั่งแผ่นเสียงเลยละ  แม้มันจะเป็นแผ่น Soundtrack ก็ตาม




เพลงนี้ร้องโดยนักร้องที่ดังแบบ ‘พลุ’ ชื่อ Christopher Cross เจ้าของเพลงดังในบ้านเราคือ Sailing (คนละเพลงกับฉบับของ Rod Stewart)  เพลงได้รับเสนอชื่อเข้าชิง Oscar และได้รางวัล  ตัว CC ก็ได้จับด้วยเพราะเธอมีส่วนในการแต่งเนื้อ  ในอันดับเพลง  เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 แบบไม่ต้องออกแรง  แต่ในบ้านเราไม่ค่อยมีสถานีวิทยุไหนเปิดเท่าไรนะ

ความจริงในหนังมีเพลงเพราะ ๆ อีก  2 เพลงคือ Fool me again (Nicolette Larson) กับ It’s only love (Stephen Bishop) เพลงหลังนี้เคยได้ยินทางวิทยุเนือง ๆ แสดงว่า ดีเจ ลงทุนซื้อแผ่น (แบบผม)




ตัวอย่างหนัง



ยังไม่จบนะ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 997  เมื่อ 16 ก.พ. 22, 10:06

นักแสดงนำหญิงในเรื่อง Foul Play คือ Goldie Hawn นักดูหนังฝรั่งชาวไทยรู้จักเธอดี  GH เคยได้ Oscar ในปี 1969 จากเรื่อง Cactus flower  ผมไม่เคยดูหนังเรื่องนี้

ผมรู้จักหน้าเธอครั้งแรกจากเรื่อง Butterflies are free (1972)  ตัวอย่างหนังเรื่องนี้มาฉายทางจอทีวีบ้านเราเพื่อโหมโรงเป็นประจำ  ผมจำได้ถึงภาพหนุ่มตาบอดเล่นกีต้าร์โดยมีสาวสวยซึ่งก็คือ GH  กระแซะอยู่ข้าง ๆ  แต่ที่เตะตากว่าความสวยของเธอคือหนุ่มตาบอดนั้นหล่อขาดใจ


ภาพนี้เลยละที่ SP ลงให้ผมดู


นั่นมันปี 1972   ผมเพิ่งจะได้มาดูหนังเรื่องนี้ทาง I/UBC  พอเห็นชื่อหนังในหนังสือรายการก็วงไว้เลย

หนังเล่าเรื่อง หนุ่มตาบอดที่ย้ายจากอกแม่ผู้มีอันจะกินออกมาเช่า apartment อยู่เองตามลำพังโดยไม่สนใจคำทัดทานจากแม่ผู้ห่วงใย  ห้องข้าง ๆ เป็นที่พักของสาวสวยที่ใช้ชีวิตแบบ ‘เสรี’  เธอเพิ่งย้ายเข้ามาตอนเปิดเรื่อง ทั้ง 2 พบกันและหลงรักกันในที่สุดโดยมีแม่ของพ่อหนุ่มจอมหวงแหนขัดขวางไปตลอดทาง

ผมรู้มาก่อนนานแล้ว (จาก Leonard Maltin) ว่ามันเป็นหนังดีมาก  นักวิจารณ์ล้วนชื่นชมเลยเป็นใบบอกทางให้หนังทำเงิน  แล้วกรุยทางไปยังเวทีรางวัลต่าง ๆ  2 นักแสดงหนุ่มสาวได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ  แต่ไปไม่ถึงเวที Oscar  ทั้งคู่  ผู้ที่ไปถึงและได้จับด้วยคือ Eileen Heckart จากบทแม่ผู้รักและปกป้องลูกชาย

ใน youtube มีฉากน้อยมาก

เพลงใน clip นี้ไม่เกี่ยวกับหนัง  แต่ผมว่าเข้ากันดี





นอกจากหล่อแล้วยังร้องเพลงเพราะด้วย





ส่วนคุณแม่ผู้รักลูกไม่มีใครเอาฉากต่าง ๆ ของเธอมาลงนอกจาก 2 ฉากนี้





ตัวอย่างหนัง 



ลืมบอกไปว่าหนังดัดแปลงมาจากละครเวที  เลยเน้นที่บทสนทนาตามที่ควรจะเป็น เหตุการณ์ในเรื่องใช้เวลาแค่ 2 วัน  ถ่ายทำแต่ในห้องพักซอมซ่อเสียกว่า 90%  วิวทิวทัศน์มีจิ๊ดเดียว (San Francisco ในช่วงกลิ่นอายของฮิปปี้  น่าเดินทีเดียว  เสียดายว่าโตพอออกอาละวาดไม่ทัน)  แต่การแสดงของ 3 นักแสดงหลักรวมถึงความสดใสของ 2 หนุ่มสาว  ทำให้หนังไม่น่าเบื่อหรือเลี่ยนแม้แต่วินาทีเดียว

ผมดู 2 รอบ  รอบแรกมัวแต่ตะลึงกับหน้าหล่อ ๆ ผสมกับบุคลิกน่ารัก ๆ ของ EA  เลยไม่รู้ว่าคุยอะไรกันบ้าง 

รอบ 2 ค่อยมาจับรายละเอียด  ถึงรู้ว่าคุณแม่นี่ปกป้องลูกทุกวิถีทางจากคนที่เธอคิดว่า ไม่ดี  เธอไม่เคยปล่อยลูกเพราะรู้ว่าลูกอ่อนแอ  ลูกก็เลยไม่มีความมั่นใจในตัวเอง  การที่ลูกคิดย้ายออกมาอยู่ตามลำพังเพราะแฟนยุ  พอยุสำเร็จก็เผ่นไปหาผู้ชายคนใหม่

พอรู้ว่าลูกมีผู้หญิงมาเกาะแกะอีก  หนำซ้ำได้สัมผัสด้วยตัวเองด้วยว่าผู้หญิงเละเทะจริง ๆ   เธอจึงสรุปโดยไม่รีรอว่าลูกฉันโดนราหูเข้าอีกแล้ว  และสวมบท แม่เสือ ปกป้องลูกอีกครั้ง 
 
สีหน้าของเธอตอนเห็นว่าลูกชายเจ็บปวดเมื่อถูกผู้หญิง (ที่เพิ่งพบกันแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน) ทิ้งต่อหน้าต่อตา (เธอ) เพื่อจะไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่  เห็นหน้าลูกชายที่พยายามกลั้นกลืนความเจ็บปวดเพราะแม่เตือนแล้ว  แต่มันสุดจะทานไหวจึงร้องหาแม่เมื่อพบว่าตัวเองกำลังเคว้งคว้าง  เห็นแล้วอยากร่วมร้องไห้ไปด้วย  - อยากให้เห็นฉากนี้จัง  การแสดงของ 2 แม่ลูกทำเอาตะลึงไปเลย

‘Mom, where are you?’

‘I’m here…’


อย่างไรก็ตาม หนังจบตามสูตรของหนังยุคโบราณ  คนดูคงมีความสุข  ถ้าผมได้มีโอกาสสร้างหนังเรื่องนี้ใหม่  ผมจะให้จบอีกแบบ  แบบที่ตรงตามความเป็นจริง  ทุกคนแฮปปี้กันหมด... เท่าที่จะแฮปปี้ได้  แม่ได้ลูกกลับมาดังเดิมแม้จะต้องปรับปรุงวิธี ‘มอง’ ลูกให้อยู่ในมุมมองของลูกก็ตาม  ลูกแข็งแกร่งขึ้นจากประสบการณ์ซึ่งต่อไปถ้าเจอเรื่องแบบนี้อีกก็สามารถสู้ชีวิตได้ ส่วนผู้หญิงก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาตามสะดวกของตนต่อไป  ไม่ต้องมารู้สึกผิดที่ไปทำร้ายจิตใจชาวบ้านเพราะนิสัยฉันป็นแบบนี้อ้ะ

ในเรื่องมีดาราประกอบอยู่คนที่พวกเราเห็นต้องคุ้นตาคือ Paul Michael Glaser ตอนนั้นเธอยังไม่ดัง  มาดังในอีก 2-3 ปีต่อมากับบทครึ่งหนึ่งของคู่หูนักสืบในหนังทีวีชุด Starsky & Hutch  หนังทีวีชุดนี้มาดังในบ้านเราด้วย  แต่ PMG ไม่ดังเท่าอีกครึ่งคือ David Soul  รายนี้สาว ๆ คลั่งไคล้กันมาก (วัดจากสาว ๆ ที่บ้านผม) แต่ผมว่าพอมาเห็นพร้อมกับ PMG แล้วหน้าเธอจืดสนิทเหมือนน้ำเปล่า (หมายเหตุ – DS เคยร้องเพลงดังสุดขีด 1 เพลงคือ Don’t give up on us (1976)  โอ้... เพราะมาก ๆ)

กลับมาที่สุดหล่อ EA  แม้จะไม่ได้รางวัล (ลูกโลกทองคำ) แต่เธอก็ยังได้จับ 1 ตัวจากสาขานักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม  เธอเป็นดาราดังในช่วงข้ามคืนจากหนังเรื่องนี้  แต่ดวงทางการแสดงของเธอแย่  เพราะหลังจากเรื่องนี้เธอได้รับบทเด่นอีกเพียงเรื่องเดียวคือ 40 Carats (1973 – ฉายที่เครือสยาม – มิได้ดู  ถ้าดูก็แก่แดดเกินไป)  จากนั้นก็ไม่มีบทดี ๆ มาให้เล่นอีกเลย 
 
หนำซ้ำในเวลาต่อมาพ่อของเธอซึ่งเป็นดาราใหญ่คนหนึ่งในยุคทองของฮอลลีวู้ดชื่อ Eddie Albert (ได้ชิง Oscar ถึง 2 ครั้ง) ก็ล้มป่วยด้วยโรคความจำเสื่อม  EA จึงต้องสวมบทลูกกตัญญูดูแลซึ่งใช้เวลากว่า 10 ปีกว่าพ่อจะตายก็เลยไปถึงปี 2005 (อายุ 99)



เคราะห์กระหน่ำซ้ำเติม  เพียงหนึ่งเดือนก่อนที่พ่อจะตายเธอก็พบว่าเป็นมะเร็งที่ปอดและตายในปีต่อมาด้วยวัยเพียง 55

เฮ้อ... พ่อคุณ


(EA มี Background ที่เยี่ยมมาก  เคยเรียนที่ Oxford U. แต่ไปจบที่ UCLA (ในวัย 21 ปี) สมัยนั้นหาลูกดาราใหญ่จบระดับมหาวิทยาลัยได้น้อยมาก  ส่วนใหญ่เละเทะเพราะพ่อแม่ดัง)

ผมจำได้ราง ๆ ว่าช่วงที่หนังลงโรงฉาย  SP ลงรูปทั้งสีและขาวดำของเธออยู่ 2-3 ฉบับ  แต่ไม่เห็นสาว ๆ ที่บ้านจะสนใจเท่าไร  พวกเธอมัวแต่คลั่งไคล้ David Cassidy ในหนังทีวีชุด คุณแม่เรือพ่วง (The Partridge Family)


ผมมีควันหลงจากเรื่องนี้...

หลังจากดูจบ ผมก็โทร. ไปเล่าให้เพื่อนสาวฟังและให้เธอช่วยดูหนังเพื่อยืนยันว่า EA หล่อตามที่ผมคิดรึเปล่า

อีกไม่กี่วันแม่เพื่อนสาวก็โทร. กลับมารายงาน  เธอเสริมว่า
‘... ถ้ามีชั้นอยู่ในเรื่อง นังโกลดี้ ฮอว์นไม่มีทางได้แอ้มไอ้หนุ่มนี่หรอก’

ผมหัวเราะก๊ากแล้วพูดความจริงว่า ‘ฝันแกหวานจัง  โกลดี้ ฮอว์นเค้าสวยกว่าแก 40 เท่า’

เพื่อนสาวแย้งว่า ‘แต่ นม ชั้นโตกว่า’

ผมฟังแล้วก็เกิดความงง ‘เกี่ยว ‘ไร ด้วยวะ’

‘อ้าว... ก็ไอ้หนุ่มมันตาบอดใช่มั้ย  แต่มือมันไม่ได้กุดนี่  ใครจะแน่กว่ากันล่ะฮึ’ เพื่อนสาวอธิบาย

ผมอึ้งไปชั่วขณะเพื่อนึกภาพฉากนั้นในหนัง  ก่อนจะตอบว่า  ‘เออแฮะ... จริงของแก’


ยังเหลืออีกนิ้ด

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 998  เมื่อ 17 ก.พ. 22, 09:53

ถึงแม้อนาคตของหนุ่ม Edward Albert จะดับไปแล้ว  แต่สาว Goldie Hawn ยังรุ่งต่อไป
 
ในปี 1980 เธอก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เป็นครั้งที่ 2 จากบททหารหญิงในหนังตลกชื่อ Private Benjamin

มีคนไทยทำ clip สรุปหนังเรื่องนี้ไว้  ใจดีจัง  จะได้ไม่ต้องเล่ามาก



ตอนนั่งดูอยู่ในโรง ฯ พบว่าหนังตลกสุด ๆ  มีหลายฉากตลกที่อยากเห็นอีก  พอได้ดูอีกในสมัย I/UBC กลับพบว่าฉากที่อยากเห็นอีกครั้งมานาน  มาเห็นตอนนี้กลับรู้สึกงั้น ๆ ไม่ตลกเท่าที่อยากเห็น  เพราะมุขเหล่านี้กลายเป็นของล้าสมัยไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม  เพื่อไม่เป็นการลำเอียง... ‘Private Benjamin ranked 82 on the American Film Institute's 100 Years...100 Laughs list, and 59 on Bravo's list of "100 Funniest Movies” จากความเห็นในปี 2006

GH เป็นดาวค้างฟ้าดวงใหญ่ดวงหนึ่ง  ผมได้ดูหนังของเธอครั้งสุดท้ายในเรื่อง Snatched (2017)  เธอเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกหลังจากหยุดไปนานตั้งแต่ปี 2002

มาในคราวนี้เธอเล่นเป็นแม่ (ตอนนั้นเธออายุ 72 แล้ว) ไปพักตากอากาศกับลูกสาวที่ Ecuador   แล้วก็โดนลักพาตัว  ความโกลาหลต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนจนกระทั่งหนังจบ

จุดเริ่มต้นของการท่องเที่ยว  แฟนทิ้งทุ่นเลยต้องไปกับแม่



(ใน clip นี้มีฉากตลก ๆ เยอะ  อย่าง แม่ให้นกหวีดลูกสาวไว้แล้วบอกว่า  เอาไว้กันข่มขืน  ลูกสาวดูกล่องแล้วพบว่ามันเป็นนกหวีดสำหรับเรียกหมา 'This is a dog whistle, ma. Are you afraid these dogs're gonna rape me?'   แล้วพอเป่าก็ปรากฏว่าหมามาจริง ๆ ... ‘It worked!’
ฉากที่ 1.20 เมื่อพนักงานต้อนรับเอาเครื่องดื่มมาให้ GH รับมาแล้วถามว่าอะไรก่อนจะดื่มทันที  ไม่รอคำตอบ  พนักงานต้อนรับซึ่งควรจะพูดว่า ‘Welcome’ ก่อนแล้วยื่นเครื่องดื่มให้  แต่ดันไปพูดตอน GH ถามว่ามันคืออะไรขณะกระดกแก้วเครื่องดื่ม  เธอเลยเข้าใจว่า ‘Welcome’ คือ ‘Whale cum (= น้ำอสุจิ)’ จึงเกิดภาพที่เห็นใน clip  ลูกสาวแก้ว่า ‘They’re not serving whale semen’ ฉากนี้ขำกลิ้ง
2 ป้าเฉิ่ม ๆ ใน clip  ตอนหลังมาช่วย 2 แม่ลูกที่โดนลักพาตัว  ฉากขำ ๆ ทั้งนั้น – ซึ่งไม่มีใครเอามาปล่อยเลย)

นี่ก็ขำ


ตัวอย่างหนัง



เป็นหนังตลกในยุคปัจจุบันที่ดูสนุก (สำหรับผม) ทีเดียว  มีฉากขำ ๆ ซึ่งผมก๊อปปี้เก็บไว้ดูมากมาย  หนังขาย Amy Schumer ดาราตลกในยุคปัจจุบัน  เธอเป็นนักแสดงยุคใหม่ที่มีความสามารถหลากหลาย  รวมถึงในความเป็น activist

มาถึงยุคแก่นี้  หนังโรงที่ผมดูแล้วสนุกมีน้อยลงเรื่อย ๆ  ก็เริ่มดูมาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงเลข 10   จำนวนหนัง (โรง) ที่ได้ดูเข้าใกล้หลักพันไปแล้วผมว่า  ได้เห็นมุกมาเยอะ  แนวที่ทิ้งไปเป็นแนวแรกคือ แนวรักหวานแหววไม่ว่าจะเป็นของวัยไหน  ต่อมาก็แนวฮีโร่  แก่นไม่มีอะไรใหม่  ฯลฯ ลดลงไปเรื่อย ๆ    แนวที่ยังคงพอดูได้เหลือเพียงไม่กี่แนว ซึ่งส่วนใหญ่นั่งดูไปได้ไม่นานก็เลิกการคัน

ผมว่าหนังโรงที่สร้างออกมาในปัจจุบัน  มีเนื้อหาน่าสนใจน้อยลงเรื่อย ๆ  หมดมุข/หมดวัตถุดิบกันหรืออย่างไรละหนอ  หนังออกฉายปีที่แล้วผมได้ดูอยู่ 2-3 เรื่องแล้วก็ไม่มีเรื่องไหนสนุกพอเอามาเล่าสู่กันฟัง

การประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัล Oscar ปีล่าสุดที่เพิ่งถ่ายทอดออกมา  ไม่มีหนังเรื่องไหนที่ผมเคยหรืออยากดูเลย  อ่านเรื่องย่อแล้ว... ผ่าน...  สมัยก่อนดูครบทุกเรื่อง  แต่ผมกลับไปพบว่าแนวต่าง ๆ ที่เลิกดูจากหนังโรงกลับไปสนุกอยู่ในหนังชุดทางทีวีที่ในปัจจุบันมีออกมาอย่างสม่ำเสมอ และเรื่องราวน่าสนใจกว่าเยอะ  มีทั้งชุดยาวหลายฤดูกาลและชุดสั้นแค่ 1 ฤดูกาลแต่แบ่งเป็นหลายตอน  ที่เค้าบัญญัติศัพท์ไว้ว่า mini-series

ชุด mini-series นี้จบสิ้นเร็ว  อย่างมากก็ 10 ตอน  สนุก ๆ ทั้งนั้น  ดาราใหญ่จากหนังโรงก็ลงมาเล่นตัวเลือกนี้กันเยอะเช่น Meryl Streep, Nicole Kidman ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง  ผมว่าพวกผู้ชายยังคงสนุกบวกกับขายได้กับหนังโรงอยู่

จบเกลี้ยง


ส่งใบลาสำหรับวันพรุ่งนี้กับ ‘จาร ครับ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 999  เมื่อ 21 ก.พ. 22, 09:29

แตกแขนงหนังทีวีชุด Downton Abbey ของ 'จาร มาลงที่นี่

หนังชุดนี้ได้รับความนิยมมาก จนกระทั่งผู้สร้างตัดสินใจนำมาสร้างเป็นหนังโรง  หนังออกฉายในปี 2019 ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน  เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในปี 1927 เป็นช่วงเวลาต่อเนื่องจากเรื่องราวในหนังทีวี  เมื่อครอบครัว Crawleys ได้รับข่าวจากในวังว่า King George V และ Queen Mary จะแวะมาพักผ่อน  ข้าราชบริพารจากวังถูกส่งมาจัดการความเรียบร้อยล่วงหน้า  ซึ่งก็เกิดความคัดง้างกับพิธีรีตองที่ครอบครัวดำเนินมาแต่ดั้งเดิม  นี่คือแก่นความสนุกของหนัง
 



เมื่อ King & Queen มาถึง



เมื่อ 2 best teams ปะทะกัน



ยังคงกลิ่นอายของความตลกเหมือนในทีวี



ชัยชนะของทีม Downton ฯ



ตัวอย่างหนัง



ตัวละครหลักทุกตัวในฉบับหนังทีวีมาเผยโฉมในฉบับหนังโรงครบทุกคน  Dowager Countess of Grantham ที่แสดงโดย Maggie Smith ยังเป็นสีสันของเรื่องเช่นเดิม

เป็นที่น่าเสียดายว่า Matthew Crawley ทายาทโดยชอบธรรมของ Downton Abbey อันเป็นตัวละครหลักอีกหนึ่งตัวดันตายไปตั้งแต่ปลายฤดูกาลที่ 3 ของหนังชุดทางทีวี

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับหนังชุดทางทีวีนี้คือ การได้รับฟังสำเนียงภาษาอังกฤษเพราะ ๆ  ของผู้ดี  และแปลกหูของเหล่า 'คนใช้'

แทรกฉากเด็ด ๆ บางฉากของ MS ที่คัดจากหนังชุดเรื่องนี้ฉบับทีวี  ที่ผมติดใจและก็อปปี้เก็บไว้ดู  เธอกวาดรางวัลทางทีวีไปหลายทีเดียวจากบทมีสีสันนี้



เมื่อเธอปะทะแสงสว่างของไฟฟ้า



เมื่อเธอเจอะเก้าอี้หมุน (swivel chair) เป็นครั้งแรกในชีวิต  ตอนว่าที่หลานเขยจะช่วย  เธอบอกว่า 'No, no, no. I'm a good sailor!' สำนวนเด็ดจริง ๆ



หนุ่มนั่นแหละคือ Matthew Crawley ทายาทโดยชอบธรรมของ Downton Abbey เสียดายที่ตายเร็ว (เป็นเรื่องที่มีเบื้องหลัง) บทนี้เล่นโดย Dan Stevens นักแสดงอังกฤษ  ตอนที่เห็นผมคิดในใจว่า  นี่ถ้าแกลดความจ้ำม่ำลงหน่อยจะหล่อมาก  ชะรอยเธอคงได้ยินเพราะอีกไม่นานเห็นเธอรักษาทรวดทรงขึ้น  หล่อระเบิดงานนี้  แถมตาสีฟ้าด้วย


สำเนียงของเธอเพราะมาก  clip นี้ดังในโลกออนไลน์  เหตุมาจากความสับสนทางภาษาแสลงระหว่าง ฝั่งอเมริกา กับ ฝั่งอังกฤษ ของ idiom ว่า 'to beat someone off'
ทางฝั่งอังกฤษหมายถึง 'to fight off attacker' แต่ทางฝั่งอเมริกามันหมายถึง 'to masturbate' สาวพิธีกรเป็นอังกฤษแท้เลยไม่รู้ความดิ้นได้ของ idiom นี้ แต่ DS มีประสบการณ์มากกว่าก็เลยอดขำไม่ได้ (0.17 - จะเห็นเธอผงะนิดหน่อยเมื่อได้ยิน  จากนั้นก็ฮากันทั้งห้องส่ง)


เรื่องนี้ดังข้ามไปถึงอเมริกา (3.15)



หมายเหตุ – แนบตัวอย่างหนังโรง DA ภาคที่ 2 ชื่อ A new era จะลงโรงวันที่ 20 พ.ค. 2565


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1000  เมื่อ 22 ก.พ. 22, 08:32

ควันหลงจาก Downton Abbey

บท Cora Crawley, Countess of Grantham เล่นโดยนักแสดงชาวอเมริกันชื่อ Elizabeth McGovern 




เธอเป็นนักแสดงที่คร่ำหวอดมาตั้งแต่ 1980  ในปี 1981 เธอรับบทในหนัง Ragtime ความสามารถในการตีบทแตกทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อข้าชิง Oscar ในวัยเพียง 20 ปี

หนังเรื่อง Ragtime เป็นหนังย้อนยุคไปในช่วง 1890s  เป็นยุคที่ยังเถื่อนอยู่และหนาแน่นด้วยการกดขี่ข่มเหงไม่ว่าจะทางสีผิวหรือเพศ (ความจำเหลือมาแค่นี้)

(นี่รื้อฟื้นจาก wikiฯ) หนังดัดแปลงมาจากนิยายที่เอาเหตุการณ์จริงและตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงมาเชื่อมกันกับเรื่องแต่งเองออกมาเป็นเรื่องราวในหนัง 

EM เล่นเป็นสาว Chorus Girl  ชื่อ Evelyn Nesbit เป็นอาชีพที่จัดเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน  เธอมาตกถังข้าวสารเมื่อมีหนุ่มมหาเศรษฐีนักอุตสาหกรรมชื่อ Harry Thaw มาช้อนตัวไปเป็นเมีย
แล้วก็มีสถาปนิกคนหนึ่งชื่อ Stanford White สร้างรูปปั้นโป๊โดยที่ถ้ามองจริง ๆ แล้วมีหน้าตาเหมือนสาวนางระบำ EN นี้  ผัวหนุ่มก็ฉุนเฉียว  แล้วลงเอยด้วยการฆาตกรรม

ช่วงนี้คือเรื่องจริง



clip นี้เป็นการถ่ายทำใหม่เพื่อใช้ในหนัง ใช้นักแสดงทั้งหมด  เลียนแบบเหตุการณ์จริง  จุดเริ่มต้นของหนังอยู่ที่ 0.50  จะเห็น EM ยังสาวสวย



ฉากของ EM เมื่อยังเป็นสาว 20 สวมบท Chorus Girl ชื่อ Evelyn Nesbit



จากเหตุการณ์ฆาตกรรมจริง ๆ  นักเขียนก็เอาเรื่องแต่งเองมาถักทอเข้าไปออกมาเป็นเรื่องราวของหนัง  ซึ่งซับซ้อนเกินกว่าจะเล่าแบบสรุป 
 
เรื่องแต่งเองเริ่มต้นตรงนี้  เมื่อหนุ่มนิโกร (ใช้ศัพท์ว่า nigger) ไม่ยอมที่จะโดนคนผิวขาวรังแก  เธอหาทางตอบโต้ทุกทางเท่าที่จะหาได้  ผลพวงคือเมียของตัวเองโดนฆ่าตาย





ทีนี้ก็โอละพ่อกันละ



นั่นคือหอสมุด J.P. Morgan ซึ่งเป็นสมบัติของชาติ


หนังจบตามความเป็นจริงในยุคนั้น  คือ ใครถูกใครผิดไม่รู้  แต่ ‘Damn nigger gets what he deserves’

อย่างไรก็ตาม (จำได้ว่า) หนังดูสนุกมาก ๆ แม้จะยาวกว่า 2 ชม. ครึ่งก็ตาม   แค่ดูการถ่ายทำ ดูฉากย้อนยุค ฟังเพลงประกอบที่เด่นมาก ก็คุ้มค่าเช่าวิดีโอมานั่งดูไปเปิด ‘ดิก’ ไป (ในรอบแรก)

ตัวอย่างหนัง





หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หลายสาขาทีเดียว  ซึ่งรวมถึงการถ่ายทำ ฉาก เพลงประกอบ ฯลฯ


ฉากจำลองการถ่ายทำหนังในยุคนั้นซึ่งเมื่อเสร็จแล้วออกสู่สายตาสาธารณชนเป็นหนังเงียบฉายทางโรงฯ ให้คนซื้อตั๋วเข้ามาชม  (นางเอกในหนังก็คือ EM หรือ EN ในเรื่องแต่เป็นภาคนิยาย)  เป็นหนึ่งในฉากย้อนยุคทำได้สวยสมกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar


Ragtime เป็นแนวดนตรีที่ฮิตมากในช่วงเวลาดังกล่าว  เป็นผลงานของนักดนตรีผิวดำ  เสียดายที่ไม่ใครเอาฉากในหนังมาลงให้ดู



(หมายเหตุ – รู้สึกดีใจที่ไม่ได้เกิดในอเมริกา...  ดินแดนแห่งเสรีภาพ)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1001  เมื่อ 22 ก.พ. 22, 09:35

อ้างถึง
หนุ่มนั่นแหละคือ Matthew Crawley ทายาทโดยชอบธรรมของ Downton Abbey เสียดายที่ตายเร็ว (เป็นเรื่องที่มีเบื้องหลัง) บทนี้เล่นโดย Dan Stevens นักแสดงอังกฤษ  ตอนที่เห็นผมคิดในใจว่า  นี่ถ้าแกลดความจ้ำม่ำลงหน่อยจะหล่อมาก  ชะรอยเธอคงได้ยินเพราะอีกไม่นานเห็นเธอรักษาทรวดทรงขึ้น  หล่อระเบิดงานนี้  แถมตาสีฟ้าด้วย

ทั้งที่ชินกับพล็อตแบบพลิกล็อคของ Soap opera มาหลายเรื่องแล้ว ก็ยังแปลกใจที่พระเอกตายกะทันหัน ไ่ม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จนไปอ่านในกูเกิ้ลถึงพบว่าดาราเขาอยากออกจากเรื่องนี้ ไปแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า    แกก็ได้เล่นหนังใหญ่ 2 เรื่องจริงด้วย
ใช่ไหมคะคุณโหน่ง
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1002  เมื่อ 23 ก.พ. 22, 09:08

อ้างถึง
หนุ่มนั่นแหละคือ Matthew Crawley ทายาทโดยชอบธรรมของ Downton Abbey เสียดายที่ตายเร็ว (เป็นเรื่องที่มีเบื้องหลัง) บทนี้เล่นโดย Dan Stevens นักแสดงอังกฤษ  ตอนที่เห็นผมคิดในใจว่า  นี่ถ้าแกลดความจ้ำม่ำลงหน่อยจะหล่อมาก  ชะรอยเธอคงได้ยินเพราะอีกไม่นานเห็นเธอรักษาทรวดทรงขึ้น  หล่อระเบิดงานนี้  แถมตาสีฟ้าด้วย

ทั้งที่ชินกับพล็อตแบบพลิกล็อคของ Soap opera มาหลายเรื่องแล้ว ก็ยังแปลกใจที่พระเอกตายกะทันหัน ไ่ม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
จนไปอ่านในกูเกิ้ลถึงพบว่าดาราเขาอยากออกจากเรื่องนี้ ไปแสวงหาอนาคตที่ดีกว่า    แกก็ได้เล่นหนังใหญ่ 2 เรื่องจริงด้วย
ใช่ไหมคะคุณโหน่ง

ใช่ครับ ‘จาร  หลังจาก DA เธอก็เล่นหนังอีกมากมาย (เกิน 10)  ทั้งหนังชุดทางทีวีและหนังโรง  แต่ก็ไปไม่ได้เด่นเท่าที่ควร  เดาเอาว่าลึก ๆ เธอคงรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ด่วนลาออกจากทีมงาน Downtonฯ  ไม่เช่นนั้นเธอต้องมีบทในหนังใหญ่อย่างแน่นอน

จำได้ว่า  ข่าวการลาออกนี่สร้างความงุนงงแก่เหล่าผู้สร้างรวมถึงผู้ชมมาก  เพราะนึกไม่ถึง

Creator Julian Fellowes later said that he wanted Stevens to come back for one episode so that Matthew could have a nicer sendoff, but claimed that the actor wasn’t interested.

“Dan would not stay — he was determined to go,” he told the Express in 2013. “I tried to persuade him to come back just for one episode of the next series so we could give Matthew and Mary a happy ending, but he wanted to go off to America.” – จากบทความใน usmagazine.com (May 27, 2021)

เคยตามผลงานของเธออยู่ 2 เรื่อง (เลือกเรื่องที่เหมาะแก่ความชอบ) เรื่องแรกเป็นหนังโรงชื่อ Colossal (2016) หนังแฟนตาซี เรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวกับเหตุการณ์สัตว์ประหลาดบุกโลก  จู่ ๆ เธอก็พบว่าตัวเองกับตัวสัตว์ประหลาดมีความสัมพันธ์กันทางจิต (เขียนอธิบายไม่ถูกแฮะ)




ดารานำฝ่ายชายชื่อ Jason Sudeikis ไต่เต้ามาจากนักแสดงตลกหน้าม่าน  ตอนนี้ดังมากจากหนังชุดทีวีเบาสมองตอนละครึ่ง ชม. ชื่อ Ted Lasso  แนะนำ 'จาร ครับ  รับประกันไม่ผิดหวัง  แค่ฟังภาษาอังกฤษ 2 สำเนียงก็คุ้มความบันเทิงแล้ว  มีการแย้บวัฒนธรรมอังกฤษอย่างน่ารัก ๆ  ที่สำคัญกวาดรางวัลมาแล้วเป็นกระบุง





อีกเรื่องของ DS เป็นหนังชุดทางทีวีชื่อ Legion (2017-2019) แนวแฟนตาซีเช่นกัน  เธอเป็นตัวละครเอกที่พบว่าตัวเองมีอำนาจพิเศษ  ดูแล้วเวียนหัว  แต่มีฉากหนึ่ง (ดีใจมากที่มีคนเห็นด้วยและเอามาลง youtube) เป็นฉากที่มีตัวเธอ 2 คน  คนหนึ่งเป็นตัวจริงอีกคนเป็นตัวที่จิตสร้างขึ้นมา  สิ่งที่น่าทึ่งคือ  พูดกันคนละสำเนียง  ตัวจริงพูดสำเนียง American ตัวในจินตนาการพูดสำเนียง British  
น่าประทับใจ



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1003  เมื่อ 23 ก.พ. 22, 09:33

ฝอยต่อ...

ในหนัง Ragtime มีนักแสดงอยู่ 1 คน  ชื่อ James Cagney

บทของเธอในหนังเรื่องนี้เป็นการปรากฏโฉมทางหนังโรงเรื่องสุดท้ายก่อนที่เธอจะตายในปี 1986




หาคนไทยที่รู้จัก JC ยาก  ผมเองก็รู้จักแค่ชื่อกับหน้าตามาตลอด  จนถึงการมาของ youtube ก็ได้เห็นบทบาทของเธอบ้าง  แต่ไม่เคยดูหนังของเธอเลย  แต่ที่อเมริกา  เธอเป็นดาราใหญ่คับฟ้าฮอลลีวู้ด  (เท่าที่อ่าน ๆ มา) ใหญ่มากกก  อยู่ในชั้นเดียวกับ Gary Cooper เหนือกว่า Robert Taylor

ผมว่าความใหญ่ของ JC เกี่ยวข้องกับการที่เธอมีความสามารถในการสวมบทได้ทุกบท  แต่ที่ลื่นไหลคือ บทเบา ๆ โดยเฉพาะในหนังเพลงเพราะเธอมีความสามารถในการร้องเพลงและเต้นรำได้เยี่ยมยอด  

จุดสูงสุดทางการแสดงของเธออยู่ในยุค 40s  หนังของเธอทำเงินทุกเรื่อง  และความสามารถของเธอทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar 3 ครั้ง  และได้รับ 1 ตัวจากบทชีวประวัติของ George M. Cohan ผู้ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะ 'the renowned musical composer, playwright, actor, dancer, and singer' ในหนังเรื่อง Yankee doodle dandy (1942)



ตัวอย่างหนัง




(รูปปั้น George M. Cohan ที่ Time Square, New York)


JC สวมบทบู๊ในหนัง gangster ที่ทำให้เธอได้เข้าชิง Oscar เป็นครั้งแรกในปี 1938



และครั้งที่ 3 ในปี 1956 ในหนังผสมผสานระหว่างหนังดราม่ากับหนังเพลง  เล่าเรื่องประวัตินักร้อง Ruth Etting ที่นำแสดงโดย Doris Day



๋JC เคยประชันบทกับนักแสดงคนโปรดของผม Hattie McDaniel ใน Johnny come (ไม่มี s เพราะเป็น สำนวน ไม่ใช่ประโยค) lately  (1943) หนังเบา ๆ เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่พยายามเปลี่ยนแปลงระบบที่มีการจัดตั้งขึ้นไปแล้ว




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1004  เมื่อ 24 ก.พ. 22, 08:48

The Adventures of Priscilla, Queen of the Desert (1994) เป็นหนังเกย์จาก Australia เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘Drag queen’ 2 คนและผู้ชายแปลงเพศ 1 คนจัดทัวร์เดินทางข้ามทวีปเพื่อไปเปิดการแสดง cabaret

เนื้อเรื่องประเภทนี้ในวงการหนังบัญญัติศัพท์ไว้ว่า Road Movie  แก่นของเรื่องเกี่ยวกับการเดินทาง  ระหว่างนั้นผู้ร่วมเดินทางก็เรียนรู้ซึ่งกันและกัน  ขณะเดียวกันก็เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ไปเรื่อยจนกระทั่งถึงที่หมาย  หนังมักจะจบด้วยความเข้าใจซึ่งกัน  จะเข้าใจกันแล้วลงเอยในแบบไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  อย่าง Thelma & Louise (1991) จบด้วยการฆ่าตัวตาย

ฉากสวย ๆ ทั้งนั้น
Priscilla เป็นรถทัวร์



การแสดงที่ดั้นด้นไปเปิด


ตัวอย่างหนัง



อเมริกาขี้อิจฉา  เห็น Australia ทำหนังโด่งดังไปทั่วโลกก็ทำบ้าง

To Wong Foo, Thanks For Everything! Julie Newmar (1995) เป็น Road movie เหมือนกันเด๊ะ  ต่างกันตรงทิวทัศน์และเรื่องผจญภัย

อย่าดูถูกแต๋วนะจ๊ะ





ตัวอย่างหนัง



สรุปแล้ว สนุกทั้งคู่

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 65 66 [67] 68 69 ... 77
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.079 วินาที กับ 19 คำสั่ง