เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 73 74 [75] 76 77
  พิมพ์  
อ่าน: 83857 ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1110  เมื่อ 02 พ.ค. 22, 08:33

อ้างถึง
ที่ 'จาร นึกภาพน่าจะเป็นช่วงต้น 70s (ชื่อกางเกง 'ทรงสเปน' เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ  นึกภาพตามไม่ออก  จากประสบการณ์ใช้กันแต่ 2 ชื่อที่เอ่ยถึง  ชื่อใช้กับทรงกางเกงของผู้หญิงรึเปล่าครับ)

นี่ค่ะ กางเกงทรงสเปน

เห็นรูปแล้ว  มิน่าถึงไม่อยู่ในความทรงจำ  แฟชั่นที่ ‘จาร ส่งมามันคนละวงกับโหน่งนี่ครับ  นี่มันวงคนทำงาน  หน้าตานายแบบดูมีอายุจัง  น่าจะไม่ใช่เพิ่งทำงาน น่าจะอายุ 30 ขึ้นมั้ง  โหน่งว่าคนพวกนี้  ในยุค disco  ต้องไปที่โรงแรมกันแล้ว  อย่างที่ Flamingo Discotheque  โรงแรม Ambassador โน่น  ถ้ามาบาร์ ฯ ที่สีลม  คนรุมดูกันด้วยความตะลึง

วงโหน่งยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย  19 - 20   เราไม่แต่งแบบนี้ครับ  แก่ไปอ้ะ  ส่วนใหญ่วันเรียนก็ใส่ jeans  หาชื่อทรงได้แล้ว ต้องสะกดว่า ม็อด (mod) กางเกงเอวต่ำ (ทรงกางเกงที่ถ่ายตอน ม.ปลาย เรียก Bellbottoms)  ทรง ม็อด ปลายขาไม่กว้างขนาดคลุมรองเท้าแบบ bellbottoms

ส่วนทรง เดฟ ยังหาชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้  คาดว่าไม่ใช่อิทธิพลจากนอก  น่าจะได้อิทธิพลมาจาก นร.ช่างกลครับ  ตอนนั้นช่างกลตีกันประจำ  ปทุมวัน vs อุเทน ฯ  รู้เรื่องตีกันนี้ตั้งแต่เข้า ม.ปลาย  เพราะ รร. อยู่ใกล้ อุเทนฯ  แล้วเราก็เข้าข้าง อุเทนฯ เพราะเป็นพี่น้องกัน  ‘ไปบอกเพื่อน ๆ นะว่าเลิกเรียนแล้วอย่าไปแถวสี่แยก (ปทุมวัน) เค้าจะตีกัน’

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ขาดไม่ได้กับกางเกงคือเข็มขัดเส้นโต ๆ




๋Jeans ยี่ห้อยอดนิยมก็ Mc, Ronnie, PJ (คนบอกว่าย่อมาจาก ประจวบ จำปาทอง  ไม่รู้จิงปะ) ส่วนวันไปดิ้นเราใส่ slack ก็จริงแต่ slack วัยรุ่นครับ  ทรงตรงปลายขาแคบ  แต่ไม่แคบเท่า ทรง เดฟ

มองรูปของ ‘จาร แล้วนึกถึง สมบัติ เมทะนี  คมน์ อรรคเดช  ลักษณ์ อภิชาต  สันติ คราประยูร โกวิท วัฒนกุล

-----

คุยแล้วเกิดควันหลง...

มาในสมัยปัจจุบัน  ถ้าได้คุยกันถึงยุค disco  แล้วมีคนบอกว่า 'โฮ้ยยย... ตอนนั้นชั้นก็เข้า ๆ ออก ๆ บาร์พวกนี้'  ผมจะทำหน้าสงสัยไว้ก่อน  พวกมั่วนิ่มมีเยอะ  ประมาณว่ากลัวจะตกยุค  มันต้องพิสูจน์

อย่างแรก ถ้าเขาบอกว่าเคย 'เต้น' ละก็  ผมจะคงหน้าสงสัยไว้  เพราะในสมัยนั้น  ถ้าคำว่า 'เต้น'  ต้องไปเต้นที่ สีดาคลับ หรือ โด่เรมีคลับ หรือ มูแลงรูจคลับ  กับนักร้องนักดนตรีบนเวทีโน่น  ถ้าที่บาร์ ฯ ละก็  เราใช้คำว่า 'ดิ้น'
 
อย่างต่อมา  ผมจะบอกว่า 'ไหนลองดิ้นซิ'  ถ้าคำตอบออกมาเช่น 'ฮู้ยยย... ดิ้นไม่ไหวแล้ว  ขาไม่ดี' บ้าง และอื่น ๆ ในทำนองออกตัวนี้  ผมก็ยังคงหน้าสงสัยเอาไว้  เพราะการดิ้น  ไม่ได้ดิ้นที่ขาเท่านั้น  เราดิ้นกันทั้งตัว (เป็นที่มาของคำว่า ดิ้น = ดิ้นพราด ๆ  ถ้า 'เต้น' เน้นที่ขา) ตั้งแต่หัวลงมาเลย  ถ้าคุณบอกว่า ขาไม่ดี  แสดงว่าหัวคุณ ไหล่คุณ ช่วงบนคุณยังดี (ถ้าเป็นอัมพาตก็จบแต่เพียงเท่านี้จ้ะ)  คุณยังสามารถ 'โยก' ส่วนเหล่านั้นได้  แต่คุณออกตัวไม่ทำเพราะคุณไม่รู้วิธีดิ้น

ถ้าคำตอบออกมาว่า 'ดิ้นได้ไง  ไม่มีเพลง'  สีหน้าผมยังสงสัยเหมือนเดิม  เพราะสิงห์ดิ้นตัวจริงเขามี 'The beat in their hearts'  เสียง bass drum, kick drum ดัง ตึ้ม ๆ ๆ  อยู่ 4-5 ชม. เป็นประจำ  มันเข้าไปถึงจิตถึงใจแล้ว  ขณะที่ผมพิมพ์อยู่นี่  เสียงฯ ก็ยังดังแผ่ว ๆ เป็น background อยู่ในหัว  ถ้ามีคนบอกผมให้ ดิ้น  ผมเริ่มได้ทันที  ‘Anytime and Anywhere’

บางคนโดนผมไล่มาถึงนี่แล้ว  ตกที่นั่ง 'ขี่หลังเสือ'  จำต้องดิ้น  ถ้าดิ้นแล้วดูแข็งประดักประเดิด  ดูเหมือนหุ่นกระบอกเชือกชัก  ก็สรุปได้ว่าคุณโกหก  ไม่ตรงกับที่อ้างว่า 'ชั้นก็เข้า ๆ ออก ๆ บาร์พวกนี้'  น่าจะเป็นบาร์เหล้ามากกว่า  คุณอยู่บนฟลอร์  ดิ้นมา 4-5 ชม.  ไม่ต้องต่อว่า 'เป็นประจำ' หรอก  เอาแค่คืนเดียว  ไขข้อคุณก็อ่อนโยนแล้ว  ท่าคุณก็พริ้วแล้ว

ณ ปัจจุบันนี้แรก ๆ อาจจะไม่คล่องตัวเพราะห่างมานาน  แต่ปล่อยไปซัก 2-3 อึดใจมันก็ 'กลับมา' แล้ว  เหมือนไม่ได้ขี่จักรยานมานานนั่นแหละ  ไม่ต้องถึงกับออกท่าแบบ เฮีย John Travolta ใน Saturday night fever หรอก  นั่นมันหนัง  มีคนกำกับท่าเต้น  ไม่ใช่ธรรมชาติแบบเรา ๆ  แล้วเขาก็ยังหนุ่มแน่น  ส่วนเราต่างก็เลย 60 กันไปโขแล้ว  เอาแค่พอเห็นเค้า 'พริ้ว' ผมก็ยอมรับแล้ว

ปัจจุบันนี้ผมก็ยัง ดิ้น (ช้าๆ) บ้างโยกบ้าง (ในยุคนั้นผมดิ้นสวยนะ  ขอยกหางตัวเองหน่อย  ใคร ๆ ก็ชม) ตามอารมณ์  รดน้ำต้นไม้ไปก็โยกไป  ไม่ต้องพึ่งพงหาเพลงหรอก  'I have the beat in my heart'

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1111  เมื่อ 02 พ.ค. 22, 09:06

Tucker: The Man and His Dream เล่าเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นในปี 1948  ของ Preston Tucker นักธุรกิจที่พยายามจะสร้างรถยนต์แห่งอนาคต ไอเดียของเขาบรรเจิดถึงกับสร้างความสะเทือนให้กับ 3 ยักษ์ใหญ่แห่งวงการผลิตรถยนต์ของอเมริกาในยุคนั้นคือ GM, Ford และ Chrysler

หนังมีบรรยากาศย้อนยุคที่สดใสมาก  แค่ชม production ในมุมต่าง ๆ ก็เพลินตาแล้ว

ฉากเริ่มต้นความฝัน  


 
ในที่สุดก็สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้ กำลังใจมาจากครอบครัว



ทดสอบเรื่องความปลอดภัยและความคงทน (โดยบังเอิญ)


clip เหตุการณ์จริง (2.30) ครั้งแรกของเข็มขัดนิรภัยที่ติดมากับรถแม้จะยังไม่ประสบผลสำเร็จในทางการค้า


 
อุปสรรคทยอยกันเข้ามา


 
เรื่องราวถึงกับขึ้นศาล แบบว่าโดนรุมรังแก (โดย 3 ยักษ์ใหญ่) แต่ Tucker สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่นักต้มตุ๋นคน เธอนำรถ Tucker ที่ผลิตได้ทั้งหมดออกมาพิสูจน์



ตัวอย่างหนัง



เหตุการณ์ต่อจากที่เห็นในหนัง:  โรงงานสามารถผลิตรถ Tucker ออกมาได้จำนวนแค่นั้นเพราะต่อมา บริษัทประสบปัญหาขาดทุนถึงกับล้มละลาย เนื่องจากต้นทุนแพงมากไม่สามารถตั้งราคาขายในระดับปกติตามท้องตลาดได้

รถ Tucker ที่ผลิตได้ทั้งหมดรวมถึงรถต้นแบบมี 51 คัน หลงเหลือมาถึงปัจจุบัน 47 คัน  อีก 4 คันเป็นซากแต่เก็บชิ้นส่วนไว้เป็น spare parts  ทุกคันที่ยังอยู่มีประวัติและรายเอียด  ราคาปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านเหรียญ  คันที่ราคาสูงสุดอยู่ที่ 2.9 ล้านเหรียญจากการประมูลปี 2012

หนังออกฉายในปี 1988 เป็นช่วงก่อน อตน. จะเริงร่า  และเป็นไปตามที่คาดว่ามันไม่มาฉายในเมืองไทย  ผมละเซ็งจนหน้าเหมือนอีเห็นตอนปวดฟัน  เพราะผมบ้ารถคลาสสิก  ตอนนั้นอย่าว่าแต่หาภาพสีของรถ Tucker เลยภาพขาวดำยังหาดูได้ยาก คนไทยไม่รู้จักด้วยซ้ำไป  ผมอยากเห็นรถ Tucker ‘in action’ แบบกระจะ ๆ ตา มันเป็นหนังในความฝันที่อยากดูมาตลอด  จนกระทั่งนานนับ 10 ปีผ่านไป  วันหนึ่ง I/UBC ก็ให้ความอนุเคราะห์  ยิปปี้...

หมายเหตุ – จะว่ากันจริง ๆ  ยังมีรถ Tucker อีกคันเป็นคันที่ 52  รถคันนี้อยู่ที่บ้านผมเอง…




ภาคผนวก...

ตัวจริงเสียงจริง



คันนี้แหละ (เบอร์ 43) ที่ขายได้ 2.915 ล้านเหรียญ (จากการประกาศ  ทำไมจอเขียน 2.6 ก็ไม่รู้)  ข่าวว่าล่าสุดมีอีกคันที่ขายได้ 3 ล้านเหรียญ


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1112  เมื่อ 03 พ.ค. 22, 08:43

Chocolat (2000) เป็นหนังสร้างจากนิยายเกิดขึ้นในประเทศฝรั่งเศส  มีแม่หม้ายลูกติดเดินทางมาเปิดร้านขายผลิตภัณฑ์จาก chocolate  ผลงานของเธอค่อย ๆ ส่งอิทธิพลให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างไกลความเจริญนี้ในรูปแบบต่าง ๆ กัน

วิธีเลือก chocolate



เห็นแล้วน้ำลายไหล



Chocolat ส่งผลกระทบกับตัวเธอด้วย



All about chocolat



ตัวอย่างหนังสร้างได้สวยมาก



(ตอนผมไปเที่ยวฝรั่งเศส  หนังเรื่องนี้ยังไม่ได้สร้าง  หลังจากหนังเรื่องนี้ออกฉายแล้วผมไปเที่ยวอิตาลี  มีร้านแบบนี้ตามเมืองย่อย ๆ  ผมกินดะ  Chocolate ร้อนนี่อร่อยสุดยอด  ขมชุ่มคอ เข้มและข้น  บางร้านเมื่อรู้ว่าผมมาจากแดนไกลก็สอนให้เอาไปทำกินที่บ้าน  มันยากมาก  เริ่มตั้งแต่หาซื้อวัตถุดิบเลย)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1113  เมื่อ 04 พ.ค. 22, 09:12

สมัยนู้นนนน  เมื่อสื่อเสนอความบันเทิงมีแค่จากจอทีวีกับจอโรงหนัง  ผมร่อนออกไปดูหนัง (ฝรั่ง) อย่างน้อยอาทิตย์ละเรื่อง  แต่หนังออกใหม่ไม่ได้มาฉายในบ้านเราทุกเรื่อง  จึงมีการพลาดเรื่องที่อยากดู (จากการตามข่าวใน SP) เนือง ๆ  ก็เก็บชื่อเรื่องไว้ในกระป๋องความทรงจำ

ต่อมาสื่อใหม่ ๆ เกิดเพิ่มขึ้น  พอมีวิดีโอ  ผมก็ไปเช่าเรื่องที่ไม่ได้ลงโรงฉายมาดู  แต่ก็ยังไม่ครบเท่าไร  พอมีสื่อแบบ ‘แผ่น’ เพิ่มขึ้นมาอีก  ผมก็มีช่องทางให้เสพย์มากขึ้น  มาถึงยุค I/UBC คราวนี้ดูกันไม่หวาดไม่ไหว 
 
I/UBC นี่เป็นศูนย์รวมหนังแปลก ๆ ที่เคยได้ยินมาก่อนหรืออยากดูมานานแล้ว  ยิ่งมีช่อง TCM เพิ่มขึ้นมาในภายหลัง  งานดูหนังไม่ใช่งานอดิเรกสำหรับผมอีกต่อไป

ทุกปลายเดือน  ทาง I/UBC จะส่งหนังสือรายการฯ สำหรับเดือนใหม่มาให้  ผมจะคว้าปากกาสะท้อนแสงแล้วนั่งไล่ดูรายการหนังของแต่ละช่องไปเรื่อยจนครบทุกช่องของวันนั้น ๆ แล้วก็จนกว่าจะครบเดือน ก็คือหมดเล่ม

เรื่องไหนที่อยากดูผมก็จะขีดเส้นไว้ เรื่องไหน งง ๆ หรือไม่แน่ใจผมก็จะสอบถามกูรูของผมคือ Leonard Maltin   มีเรื่องที่อยากดูแต่เวลาฉายดันซ้อนกันก็ต้องตามหาเวลาฉายเวลาอื่นเพื่อจะได้ดูได้ครบทั้งหมด  และต้องไม่ใช่ในเวลาทำงานของผมด้วย

ภาพง่วนหน้าทิ่มนานเป็นชั่วโมงนี้มีให้เห็นเป็นประจำเดือนละครั้ง  ครั้งหนึ่งผมได้ยินเสียงแว่วมาเข้าหูว่า ‘นี่ถ้าตอนยังเรียนอยู่หน้าติดตำราแบบนี้  อนาคตคงไปรุ่งโรจน์อยู่ที่ไหนซักแห่ง’  ผมเงยหน้าขึ้นดู  แม่กำลังพูดกับถ้วยขนม  เห็นแล้วโล่งอก  นึกว่ากำลังโดนเหน็บ 
 
ผมว่าผมน่าจะเป็นสมาชิกในจำนวนน้อยคนที่ใช้บริการของ I/UBC ได้คุ้มค่าเงินสมัคร  มันฟังดูน่าเหนื่อยแต่ผมมีความสุข  ยิ่งเดือนไหนทำการบ้านเสร็จแล้วพบว่ามีรอยขีดปื้นเต็มไปหมดทั้งเดือน  แหม... ตั้งตารอ


Babette’s feast (1987) เป็นหนังจากเดนมาร์ก  หนังได้รางวัล Oscar หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม  ผมดูหนังเรื่องนี้มานานมากแล้ว  นานจนจำอะไรไม่ได้นอกจากภาพอาหารอันหลากหลายในตอนท้ายเรื่อง  ต้องมาดู Clip ต่าง ๆ กับอ่านรายละเอียดใน wiki ฯ เพื่อฟื้นความจำ  ซึ่งก็ไม่ช่วยเท่าไร  แต่อยากเล่าจังเพราะจำได้ว่าชอบ  ถ้าอ่านแล้ว งง ๆ ก็ขออภัย

หนังเดินเรื่องย้อนเวลาไปยังยุคศตวรรษที่ 19  เล่าเรื่อง Babette ผู้หญิงลึกลับที่หนีสงครามกลางเมืองในประเทศฝรั่งเศสบ้านเกิดมายังหมู่บ้านเล็ก ๆ ในย่านห่างไกลความเจริญที่เดนมาร์ก

เธอไปขออาศัยอยู่กับสองสาวพี่น้องสูงอายุซึ่งเป็นลูกสาวของบาทหลวงที่เคร่งครัดที่ตายไปนานแล้ว  ความเคร่งครัดของพ่อทำให้แฟนของสองสาวที่ต่างก็มีคบหากันอยู่จำต้องเลิกรากันไป

หลังจากพ่อตายสองสาวสูงอายุไม่ได้สานต่อเรื่องทางศาสนาจึงอยู่ไปวัน ๆ  เมื่อพบกับ B  2 สาวไม่มีเงินพอที่จะจ้าง  แต่ B ขอจบการเดินทางตรงนี้โดยอาสาดูแลโดยไม่คิดค่าจ้าง

B อยู่กับสองสาวแก่มาตลอด 14 ปี  เธอดูแลทุกอย่างรวมถึงการทำอาหาร  ซึ่งฝีมือของเธอไม่เป็นรองใคร  ความอุทิศตนของ B ทำให้สองสาวให้ความนับถืออย่างเต็มใจ

วันหนึ่ง B ถูกลอตเตอรี่ได้เงิน 10,000 Francs  เธอตัดสินใจเอาเงินทั้งหมดจัดงานเลี้ยงใหญ่ให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องเนื่องในวันเกิดปีที่ 100 ของบาทหลวงพ่อของสองสาวที่ตายไปแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นความลับ  เธอสั่งวัตถุดิบทั้งหมดมาจาก Paris และลงมือทำอาหารตามลำพัง  อาหารที่มากมายล้วนดูวิจิตรหรูหราแบบที่สองสาวนายจ้างไม่เคยเห็นมาก่อน  จนทำให้พวกเธอกังวลว่าความฟุ้งเฟ้อนี้จะทำให้บาปรึเปล่า 

พวกเธอร่วมกันปรึกษากับผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาถึงเรื่องนี้แล้วสรุปว่า  จะไม่มีการชมรสชาติอาหารแม้แต่แอะเดียว  แต่จะยกหน้าที่นี้ให้กับผู้ที่ได้รับการมอบหมายเพียงคนเดียวดำเนินการ  ซึ่งก็คือนายพลคนหนึ่งที่เคยเกิดในหมู่บ้านนี้แล้วกลับมาเยี่ยมในช่วงเวลานี้พอดี  นายพลพูดดีมากสร้างความซึ้งใจให้กับแขกทุกคน



Clip มีไม่มากพอที่จะเสริมการอธิบาย  เอาเป็นว่างานเลี้ยงของ B สร้างมุมมองใหม่ที่ชัดเจนขึ้นให้กับบรรดาแขกที่มาร่วมงาน


ฉากสุดท้ายคลี่คลายการกระทำของ B รวมทั้งในอดีตเธอเป็นใครมาก่อน

(Achille Papin คือใคร อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Wikiฯ)


นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่อยากดูมานานและได้ดูทาง I/UBC  จำได้แม่นว่าเวลาฉายหนังเรื่องนี้ตรงกับเวลาทำงานของผม  จึงต้องหาเวลาดูใหม่  ถ้าหาไม่ได้ภายในเดือนนั้นก็เป็นอันอดดูเพราะมันไม่ใช่หนังตามกระแส  ต้องโดนถอดออกจากตารางไปเลย

ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้มีรอบฉายแค่ 2 รอบ  รอบแรกในเวลาทำงาน ต้องตัดไป  ไม่ได้อยากดูมากขนาดต้องลางาน  รอบที่ 2 ดันไปฉายตอนตี 1

มันช่างน่าระอาใจจริง ๆ  ผมเลยต้องกลั้นใจปลุกนาฬิกาไว้ก่อนตี 1  เพื่อมานั่งถ่างตาดูหนังเรื่องนี้  แต่ก็คุ้มค่าต่อการดู  ดูจบตี 3  ก็มุดหัวนอนต่ออีก 2 ชม.  ไปทำงานในสภาพซอมบี้


ตัวอย่างหนัง



ฉากอาหารน่ากินทั้งนั้น  ตอนดูจบท้องร้องจ๊อก ๆ



หมายเหตุ – หนังสร้างมาจากหนังสือที่แต่งโดย Karen  Blixen (Isak Dinesen) หนังอีกเรื่องที่สร้างจากหนังสือของเธอคือหนังดังในปี 1985 ชื่อ Out of Africa (ผมดูหนังเรื่องนี้แต่ไม่มีอะไรเขียนถึงเพราะไม่ชอบ Meryl Streep  แล้ว Robert Redford ก็แก่งั่ก)


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1114  เมื่อ 05 พ.ค. 22, 08:20

ผมได้ดูหนังเกี่ยวกับอาหารมาประปราย  ดูทีไรก็ชอบ  น่าจะเป็นเพราะผมชอบกิน  ที่บ้านรวมถึงเพื่อนสนิทรู้ว่าผมเป็นผีอาหาร  มีท่านหนึ่งกรุณาให้คำนิยามกับผมไว้ว่า  ใคร ๆ เค้ากินเพื่ออยู่  ไอ้โหน่งมันอยู่เพื่อกิน

ผมกินเยอะและกินแหลก  ผมไม่ชอบให้ใครเลี้ยงอาหาร  กลัวเค้ากังวลใจในเงินที่จะต้องจ่ายเพราะไปรับปากไว้แล้ว  แล้วก็กลัวตัวเองกินไม่อิ่มเพราะเกรงใจ  และผมก็ไม่ไปกินอาหารกับคนที่ไม่สนิทเพราะอายในความตะกละ  นานมาแล้ว ผู้ปกครองเคยรำพึงกันเอง (ดังๆ) ตอนเห็นผมนั่งกินทุเรียน 1 ลูกเขื่องอย่างเอาเป็นเอาตายว่า ‘ไม่เคยเลี้ยงให้อดอยากเล้ย  ทำไมมันถึงได้ตะกละขนาดนี้นะ’

ด้วยเหตุนี้ผมจะมีความสุขกับการกินอาหารคนเดียว  ไม่ว่าจะเป็นร้านระดับไหน โรงแรมหรือข้างถนน  ถ้าดู ‘โหงวเฮ้ง’ แล้วน่ากิน  ผมเป็นเดินส่ายอาด ๆ เข้าไปหาที่นั่งโดยไม่รีรอ


จบโหมโรง  ต่อไปเป็นอาหาร Italian (ของโปรด)

Big night (1996) เล่าเรื่อง 2 หนุ่มพี่น้องชาวอิตาเลียนย้ายมาขุดทองที่อเมริกาในช่วง 50s  ทั้งสองเปิดร้านอาหารสไตล์ Italian  แม้รสชาติจะอร่อยล้ำแต่กิจการไปได้ไม่ดี  

2 พี่น้องชอบขัดคอกัน  คนพี่เป็นพ่อครัว  คนน้องดูแลเรื่องการเงินการจัดการ



หลังจากคุยกันว่าน่าจะมีการเปลี่ยนแปลง  ก็เกิดการเหน็บแนมกันว่า  ถ้าไปไม่ไหวก็เปลี่ยนเป็นขาย 'hot dog' ก็แล้วกัน



ช่วงนั้น Louise Prima ศิลปินใหญ่ของประเทศมาเปิดการแสดงในย่าน  ทั้งคู่จึงวางแผนไปเชิญให้มากินอาหารที่ร้านโดยหวังจะกระตุ้นยอดขาย  ปรากฏว่า Louise Prima ไม่มา  สืบไปสืบมาพบว่าคนที่อาสาทำเรื่องให้เกิดเบี้ยวไม่ไปติดต่อ แต่ The show must go on



ต่อไปนี้นำเสนอรายการอาหาร Italian รวมด้วยฉากสุดท้ายของเรื่องหลังจากงานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว และ 2 พี่น้องก็ทะเลาะกันจนแทบจะไม่มองหน้ากัน  แต่แล้ว อาหาร นี่แหละคือเครื่องยาใจความสัมพันธ์ให้ติดแน่น



ตัวอย่างหนัง



แนวของหนังเบาสมองกว่า 2 เรื่องแรก  แล้วก็สดใสน่ารักกว่า  ความจริงมี subplot อีกแต่ขี้เกียจเล่า

หมายเหตุ – เด็กหนุ่มทำหน้าที่เสิร์ฟอาหารที่โผล่หน้าเข้ามาในจอตรง 1.06 ของ clip ทำอาหาร คือ Marc Anthony ซึ่งต่อมาดังมากในฐานะนักร้องเพลง Latin เธอเคยเป็นสามี Jennifer Lopez อยู่ 10 กว่าปี
 
2 เพลงดังของเธอ (1999)  ดังจนอดซื้อแผ่นซีดีมาฟังไม่ได้





จบหนังเกี่ยวกับอาหารนานาชาติแล้วนึกถึงอาหารไทย  ผมไม่ใช่ผีหนังไทยเลยไม่รู้ว่ามีใครสร้างหนังไทยเกี่ยวกับอาหารหรือไม่  

สมัยที่ผมยังมีแรงร่อนเร่อยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของโลก  ไปลงที่ไหนก็หาอาหารที่บ้านเค้ากิน  กินไปเรื่อย  ผมว่าอาหารไทยอร่อยที่สุด  จำได้ว่าสมัยเด็ก ๆ   เกิน 50 ปีย้อนขึ้นไป  อาหารแต่ละชนิดไม่ผสมปนเปกันแบบหากินได้ทั่วกรุงเทพฯ เหมือนเดี๋ยวนี้  อาหารมีชื่อแต่ละชนิดจะอยู่ในย่านของมัน

ผมเป็นเด็กฝั่งธนฯ จำได้ว่า  ถ้าอยากกิน กุยช่าย ต้องไปซื้อที่ตลาดพลู  อยากกิน ห่าน ต้องไปกินที่ท่าน้ำท่าดินแดง  ข้าวหน้าไก่  ต้องที่ห้าแยกพลับพลาชัย  ข้าวคลุกกะปิ ต้องไปกินที่ร้านศรแดง  อยากกินเป็ดย่าง ก็ต้องที่ พูลสิน หรือ จิ๊บกี่ นางเลิ้ง ที่นี่มีเป็ดตุ๋นมะนาวดองใส่ในโถเล็ก ๆ  อร่อยสุดยอด  ถ้าจะกินอาหารจีนแบบเหลาก็ต้องไปที่ ร้านซ้ง เจริญนคร

ถ้าเป็น ติ่มซำ (ที่บ้านผมเรียก แตะเตี้ยม) มีหลายร้านให้เลือก ลุงผมชอบพาไปที่  ห้อยเทียนเหลา ไม่ก็ ก๊กจี่ (สากลภัตตาคาร) ย่านเยาวราช  ถ้าเป็นน้าสาวคนสวยเธอจะพาผมไปที่ เล่งหงส์ ย่านมเหสักข์ฯ  สมัย ภัตตาคารนิวเปงเชียงเปิดที่ต้นถนนสาทร  เราก็ไปลองกัน  ที่ กินรีนาวา เราก็เคยไปบุกมาแล้ว อร่อยทุกที่

ตอน สุกี้หม้อ  มาเปิดตลาดที่เมืองไทย  พวกเราต้องห้อกันไปที่ร้านย่านพระโขนง  เดินทางกันนาน  แต่ความบ้ากิน  ถึงไหนถึงกัน

เดี๋ยวนี้ ย่านอาหาร แบบนี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว  บางทีขี้เกียจก็ไม่ต้องออกจากบ้านด้วยซ้ำ  โทรฯ สั่งให้มาส่งที่หน้าประตูบ้านก็ได้  จบกันเสน่ห์ของอดีต

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1115  เมื่อ 05 พ.ค. 22, 10:44

ประสบการณ์ร้านอาหารย่านไหนย่านนั้น ร้านไหนร้านนั้น ดิฉันก็เจอคล้ายๆคุณโหน่ง
ในวัยเด็ก   ตอนเย็นวันอาทิตย์ พ่อจะพาไปกินบะหมี่ราชวงศ์  ส่งท้ายด้วยไอศกรีม 1 ถ้วย
ส่วนเป็ดย่างต้องจิ๊บกี่ นางเลิ้ง   เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่แพ้โฟร์ซีซั่น   ไก่ย่างก็ภัตตาคารชายทะเลจันทร์เพ็ญ(เดี๋ยวนี้ตัดคำว่าชายทะเลออก) อีกแห่งคือไก่ย่างสนามมวย    ถ้าอยากไก่ปิ้งทาขมื้น เนื้อแห้งแต่นุ่มสนิท ต้องรอขึ้นรถไฟไปนครปฐมถึงจะได้กิน  ถ้าอยากกินขนมปังแสนอร่อยก็ไปที่สีลมภัตตาคาร    ส่วนกินรีนาวาไม่เคยเข้าไปกิน เคยแต่ผ่านค่ะ

หนังที่เกี่ยวกับอาหาร  เคยดูเรื่องนี้ไหมคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1116  เมื่อ 05 พ.ค. 22, 10:45

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1117  เมื่อ 05 พ.ค. 22, 10:46

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1118  เมื่อ 06 พ.ค. 22, 08:52

ประสบการณ์ร้านอาหารย่านไหนย่านนั้น ร้านไหนร้านนั้น ดิฉันก็เจอคล้ายๆคุณโหน่ง
ในวัยเด็ก   ตอนเย็นวันอาทิตย์ พ่อจะพาไปกินบะหมี่ราชวงศ์  ส่งท้ายด้วยไอศกรีม 1 ถ้วย
ส่วนเป็ดย่างต้องจิ๊บกี่ นางเลิ้ง   เนื้อนุ่มฉ่ำ ไม่แพ้โฟร์ซีซั่น   ไก่ย่างก็ภัตตาคารชายทะเลจันทร์เพ็ญ(เดี๋ยวนี้ตัดคำว่าชายทะเลออก) อีกแห่งคือไก่ย่างสนามมวย    ถ้าอยากไก่ปิ้งทาขมื้น เนื้อแห้งแต่นุ่มสนิท ต้องรอขึ้นรถไฟไปนครปฐมถึงจะได้กิน  ถ้าอยากกินขนมปังแสนอร่อยก็ไปที่สีลมภัตตาคาร    ส่วนกินรีนาวาไม่เคยเข้าไปกิน เคยแต่ผ่านค่ะ

หนังที่เกี่ยวกับอาหาร  เคยดูเรื่องนี้ไหมคะ


(ลิขิต) ไก่ย่างสนามมวย..

สีลมภัตตาคาร... โอ้วววว... พลาดไปได้ไงหนอ  ซี่โครงหมูคลุกขนมปังป่นอบถั่วลันเตา กินกับขนมปังทาเนยที่ 'จาร บอก  สลัดเนื้อเก้ง น้ำสลัดข้นแบบจีนคือเหลืองใส  แต่คลุกแล้วเป็นน้ำข้น  ไม่รู้ทำได้ไง  สุดยอดครับ  ตอนนี้ร้านย้ายมาเปิดแถว ตลิ่งชัน  คนตามมากันล้นหลาม  สูงอายุทั้งนั้น  ซี่โครงหมูฯ ยังอร่อยเหมือนเดิม


(ประทับใจไม่ลืมคือ พนักงานสับหลีกเรื่องที่จอดรถ  เก่งสุดยอด)

หนังที่ว่าไม่ได้ดูครับ  ดูแต่ตัวอย่าง  พ่อแง่แม่งอน
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1119  เมื่อ 06 พ.ค. 22, 09:09

Little shop of horror (1986) เป็นหนังเพลงบรรยากาศตลกร้ายที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงที่เริ่มเล่นในปี 1982 ซึ่งละครเพลงนี้ก็ดัดแปลงมาจากหนังที่ออกฉายในปี 1960 อีกที

หนังเกิดขึ้นในโลกจินตนาการ เล่าเรื่องนักจัดดอกไม้ที่เผอิญไปซื้อต้นกาบหอยแครง (Venus flytrap) มาเลี้ยงแล้วพบว่ามันมีชีวิตจิตใจแถมยังโหดชอบดื่มเลือดเป็นอาหาร

ผมประหลาดใจมากที่มีคนกล้าเสี่ยงสั่งหนังแบบที่ไม่ใช่แนวของคนไทยชอบดูมาฉาย  เมื่อดูจบแล้วก็เปลี่ยนเป็นดีใจมากที่ได้ดูเพราะหนังสนุกมาก  เพลงเพราะทุกเพลง  ทำนองออกในแนว doo-wop ของยุค 50s

แค่เห็นฉากเปิดเรื่องก็คิดในใจแล้วว่า  ท่าจะคุ้มเงินค่าตั๋ว



ฉากนำเสนอความยากจนของสถานที่



เรื่องราวของ Audrey 2 และการดูแล  ซึ่งโดยที่จริงมันคือสัตว์ประหลาดจากต่างดาว







อาหารมื้อโอชะ



ฉากรักของพระเอกกับ Audrey ต้นฉบับ



ฉากเผยโฉมความแสบ  



(เพลงนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar เป็นเพลงแรกในประวัติศาสตร์ของ Oscar ที่เนื้อเพลงมีเนื้อหาหยาบคาย  อีกทั้งร้องโดยตัวร้ายของเรื่อง)


อันนำไปสู่ตอนจบ



ตัวอย่างหนัง



มีเรื่องที่เป็นผลพวงจากหนังคือ  ความที่ชอบเพลงมากพอดูจบผมก็โทรศัพท์ (จากตู้สาธารณะ) ไปร้านแผ่นเสียงเจ้าประจำให้ช่วยสั่งซื้อให้หน่อย  อีกอาทิตย์เศษมันก็มา  ผมแจ้นไปรับ  

พอเห็นหน้าปกแผ่นก็เกิดความงงงันเพราะรูปภาพไม่เหมือนฉากใด ๆ ที่เห็นในหนังแม้แต่ฉากเดียว  พลิกหน้าพลิกหลังสำรวจไปมาก็พบว่าเป็นแผ่น soundtrack ถูกแล้วแต่จากหนังต้นฉบับที่ออกฉายในปี 1960 โน่น (soundtrack ที่ว่านี้เป็นชุดที่ผลิตขึ้นมาใหม่ในปี 1984 โดยเปลี่ยนหน้าปกไปจากของดั้งเดิม)  มันไม่ใช่ชุด soundtrack จากหนังฉบับที่ต้องการคือปี 1986
 
สมัยก่อน อตน. ผมไม่มีทางรู้ข้อมูลละเอียดแบบนี้เลยไม่รู้เรื่อง  เลยให้ข้อมูลทางร้านไปแบบหลวม ๆ โดยนึกว่าหนังที่ดูเป็นฉบับสร้างใหม่เอี่ยม
  
สรุปแล้วต้องสั่งอีกรอบถึงจะได้แผ่นที่ต้องการ  เสียเงิน (ที่ไม่ใช่น้อย) ไป 2 หน  นับเป็นเหตุการณ์ตลกร้ายเข้ากับแนวหนังเลย




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1120  เมื่อ 06 พ.ค. 22, 09:13

ความจริงข้อห้ามของเรือนไทยคือห้ามโฆษณา  ระบุชื่อร้านไปมากๆจะกลายเป็นโฆษณาให้ร้านที่ยังดำเนินกิจการอยู่
งั้นก็ไม่บอกว่าสตูลิ้นที่หากินยากมาก มาจากร้านไหน  คุณโหน่งคงเดาได้เองนะคะ


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1121  เมื่อ 06 พ.ค. 22, 09:33

ความจริงข้อห้ามของเรือนไทยคือห้ามโฆษณา  ระบุชื่อร้านไปมากๆจะกลายเป็นโฆษณาให้ร้านที่ยังดำเนินกิจการอยู่
งั้นก็ไม่บอกว่าสตูลิ้นที่หากินยากมาก มาจากร้านไหน  คุณโหน่งคงเดาได้เองนะคะ

อ้าว... ตายจริง ละเมิดกฎ  ขออภัยครับ 

เอ... ร้านไหนหนอออออ  สงสัย ๆ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1122  เมื่อ 09 พ.ค. 22, 09:28

Another country (1984) เป็นหนังจากอังกฤษเล่าเรื่องของ 2 นักศึกษาหนุ่มในรั้วโรงเรียนประจำที่มีชื่อเสียง (หนังไม่บอกว่าที่ไหน  แต่นักวิจารณ์เดาว่าเป็นโรงเรียน Eton เพราะ...) ในยุค 1930s

ทั้ง 2 เรียกได้ว่าเป็นคนนอกคอกของสังคมในโรงเรียน  คนหนึ่งนิยมลัทธิสังคมนิยมของ Karl Marx ส่วนอีกคนเป็นเกย์

หนังมุ่งเป้าหมายหลักไปที่หนุ่มเกย์ Guy Bennett (Rupert Everett) ที่ความประพฤติไม่มีอะไรผิดปกติ  เป็นคนดี  น่ารักกับน้อง ๆ  ความใฝ่ฝันของเขาคือต้องการเป็น ‘God’ อันเป็นตำแหน่งสูงสุดของสังคมในโรงเรียน (หมายเหตุ – คำว่า God มีอำนาจเหนือกว่า prefects ตรงนี้อธิบายไม่ถูกเพราะไม่เข้าใจหลักเกณฑ์  เข้าใจแค่ prefect) ที่จะเป็นบันไดให้เขาไต่ไปถึงความฝันสูงสุดในอาชีพของตนคือ เอกอรรคราชทูตประจำฝรั่งเศส  ซึ่งก็มีโอกาสมากเพราะตัวเองมาจากครอบครัวชั้นสูงเป็นที่นับหน้าถือตาของสังคม  แต่ความเป็นเกย์ทำให้เพื่อน ๆ ในโรงเรียนเหยียดหยามและหาทางกลั่นแกล้งไม่ยอมให้เขาได้ตำแหน่งนี้ทั้งๆ ที่บางคนก็เคยมีความ ‘สัมพันธ์’ กับเขา

ตอนที่คู่แข่งและบรรดาลูกสมุนสามารถโค่น GB ได้สำเร็จ  ทำให้เขาตาสว่างและเห็นความหน้าไหว้หลังหลอกของสังคมในโรงเรียนชั้นหนึ่งของประเทศ  โรงเรียนที่ผลิตนักเรียนขึ้นมาเป็นนักการเมืองของประเทศที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งในเรื่องระบอบประชาธิปไตย  แท้ที่จริงมันเน่ามาตั้งแต่ในโรงเรียนแล้ว


หนังเรื่องนี้อิงประวัติของ Guy Burgess นักเรียนโรงเรียน Eton ที่จบออกมาเป็นนักการเมือง  แต่ประสบการณ์ไม่ดีที่ได้รับครั้งอยู่ในโรงเรียนทำให้เขาคิดแปรพักตร์กลายเป็นสายลับสองหน้าให้กับโซเวียต  สร้างผลงานอื้อฉาวให้กับประเทศบ้านเกิดที่เขาตราหน้าไว้ว่า ปากว่าตาขยิบ


Guy Burgess ขณะศึกษาอยู่ที่ Cambridge

ในยุค 30s มีนักศึกษาพื้นเพมาจาก Cambridge แปรพักตร์ไปสู่ USSR หลายคน  เรียกพวกเขากันว่า Cambridge spies  แต่ที่สร้างชื่อเสียง (ในทางเสียหายให้กับบ้านเกิด) มี 5 คน  รวมเรียกว่า The Cambridge Five  GB เป็นหนึ่งใน 5 คนนั้น


หนังเรื่องนี้ไม่ได้มาฉายที่เมืองไทย  ผมได้ข่าวจากหนังสือ SP  เกิดความอยากดูเป็นกำลัง  ในยุคต้น 80s  อตน. ยังไม่เกิด อีกหนึ่งตัวเลือกของการดูหนังคือ วิดีโอ  ส่วนแหล่งจะตามหาของที่ไม่ใช่ของดื่นดาษมีอยู่ที่เดียวคือ  สมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง
 
ก่อนจะลงมือหาต้องใช้วิจารณญาณนิดว่าควรจะเริ่มที่ไหน  ไม่ใช่เปิดเจอหน้าร้านให้เช่าวิดีโอปั๊บก็หมุนแป้นโทรศัพท์มือเป็นระวิง

หนังเรื่องนี้เป็นหนังนอกกระแส  ไปหาในเยาวราชไม่มีทางเจอ  ผู้ที่ชำนาญหนังแนวนี้ต้องมาจากโลกตะวันตก  ย่านที่ชาวตะวันตกรวมกันอยู่ในกรุงเทพฯ (ยุคนั้น) มากที่สุดมีที่เดียวคือบนถนนสุขุมวิท

สรุปได้ดังนี้ผมก็ไล่หาร้านให้เช่าวิดีโอที่มีทำเลอยู่บนถนนสุขุมวิท  ผมจำไม่ได้ว่าเสี่ยงไปกี่ร้าน  แต่มาถึงร้านหนึ่งเสียงคนที่รับสายทำให้ผมอึ้งและงงไปเลย  มันเป็นเสียงของฝรั่ง  'ตายห่าแล้ว... ทำไงดีหว่า...'  ผมคิดจะวางหูตามประสาคนตกใจในเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง

ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 20  กว่า  ยังไม่ประสีประสากับภาษาอังกฤษ ‘เท่าไร’  ไม่ใช่ ไม่ประสีประสากับภาษาอังกฤษ ‘เลย’  เพราะผมเริ่มเข้าหลักสูตรเรียนภาษาอังกฤษแล้ว... กับ อ. Carly Simon (ในปีนี้ เธอได้รับเลือกเข้าทำเนียบ Rock & Roll Hall of Fame อันเป็นเกียรติสูงสุดของศิลปินวงการเพลง) และ อ. Helen Reddy

อย่างไรก็ตามหลักสูตรนี้เน้นที่การ ‘ฟัง’  ไม่ใช่การ ‘พูด’  พอมาเจอ workshop ที่ต้องใช้การพูด  ผมก็เหงื่อแตกเป็นธรรมดา

แต่ผมก็... เอาวะ  ลองซักตั้ง  ก็กลั้นใจพูดภาษาอังกฤษออกไป  เน้นเรื่องที่ต้องการเป็นหลัก  

ใจมาเป็นกองเมื่อปลายสายเข้าใจในสิ่งที่ผมตามหา  น่าจะเดาเก่งมากกว่า  และปรากฏว่าทางร้านมีหนังเรื่องนี้ด้วย

ตานี้ก็ถึงช่วงถามทางว่าไปยังไง  รถเมล์สายอะไร  ท่าคุณฝรั่งจะหมดปัญญาบอกทางคงเพราะไม่ชำนาญ  เธอบอกให้คอยแล้วหายไปหนึ่งเพลิน  คนที่มาพูดคราวนี้เป็นคนไทยที่สามารถบอกทางไปร้านให้ผมได้

อีกเกือบสองชั่วโมงต่อมาผมก็มาถึงร้าน คุณฝรั่งหายไปแล้วเหลือแต่คนไทยที่เฝ้าร้าน  ซึ่งคุณฝรั่งฝากเรื่องไว้  กฎเกณฑ์ของทางร้านคือต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน  ซึ่งจะได้หนัง 1 ม้วน  แล้วก็เอาหนังนี้มาแลกเป็นเรื่องอื่น ๆ ในเวลาต่อมา

ผมก็จ่ายเงินค่าสมัคร และรับหนังเรื่องนี้กระโดดขึ้นรถเมล์กลับบ้าน  ผมไม่ได้กลับไปที่ร้านนั้นอีกเพราะได้ของที่ต้องการแล้ว  การจ่ายเงินค่าสมัครก็เปรียบเสมือนจ่ายเงินซื้อวิดีโอม้วนนี้

พอถึงบ้านก็ยัดกล่องวิดีโอเข้าเครื่องแล้วเปิดดูทันที  ตามประสาคนใจร้อน  พอดูไปได้แป๊บก็สรุปได้ว่า  เวรกรรมจริง ๆ กู  อุตส่าห์กระเสือกกระสนออกไปตามหา  เนื่องเพราะมันเป็นวิดีโอผีซึ่งภาพไม่คมชัด  อีกทั้งสำเนียงของชาวอังกฤษก็ฟังโคตรยาก  แถมเป็นหนัง drama  ที่มีบทพูดตลอดเรื่อง  กรอไปกรอมาอยู่นั่นแล้ว  แม้จะดูจบด้วยความรู้เรื่องแต่ไม่เข้าใจบทสนทนาเลยเพราะฟังไม่ออก  ประสบการณ์น่าเซ็งแบบนี้เกิดขึ้นกับผมมาตลอด

อย่างไรก็ตาม  ผมได้มีโอกาสดูอีกครั้งสมัย I/UBC ที่มีบรรยายภาษาไทย  ถึงได้รู้และเข้าใจเรื่องราวมากขึ้น คราวนี้ภาพคมชัดแจ๋ว  มันเป็นหนังที่ถ่ายทำได้สวยจริง ๆ  เป็นบรรยากาศของอังกฤษที่ผมชอบมาก  เพลงประกอบเพราะ  ภาษาพูดก็เพราะ  หนังไม่มีฉาก ‘หวือหวา’ แม้แต่นิดเดียว  นักวิจารณ์จัดว่าเป็นหนังเกย์เพราะตัวละครหลักเป็นเกย์เท่านั้น  ความจริงแล้วมันคือหนังการเมืองที่หนักแน่น

หนังเปิดเรื่องที่นักข่าวเข้าขอสัมภาษณ์สายลับ 2 หน้า Guy Bennett ที่เข้าสู่วัยชราที่โซเวียต
(ตอนผมทำเรื่องนี้ยังมี clip ให้ดูเป็นฉาก ๆ  ตอนนี้ clip เหล่านี้กลายเป็นแบบนี้หมดแล้ว)
https://youtu.be/_QS560BlErg?list=PL3X-rcyi1oKRvOeD7gECtYmOX9_zuPG5n


ฉากข่มขู่ GB แต่เธอก็เอาตัวรอดได้ด้วยการ blackmail ว่า  ถ้าทำโทษชั้น  ชั้นจะไปบอกครูว่ามีใครบ้างที่ ... กับชั้น เริ่มตั้งแต่ระดับหัวมาเลยละ (2.35)  แต่ในที่สุดคู่แข่งก็สามารถรวบรวมข้อมูลพร้อมหลักฐาน (การเป็นเกย์) ได้มากพอที่จะโค่นเธอได้  โดยการถูกเฆี่ยนต่อหน้าองค์ประชุม (3.18 – ที่จริงยังมี clip ที่ชัดเจนกว่านี้แต่โดนลบเพราะติดลิขสิทธิ์  เลยอดเห็นระบอบการปกครองภายในโรงเรียนประจำเกรด A ของอังกฤษ  หลังจากโดนเฆี่ยนแล้วมีการจับมือกัน  ประมาณว่า เป็นไปตามขั้นตอนของระบอบการปกครอง อย่าถือโทษโกรธเคืองกัน)



อย่างไรก็ตาม ความอับอายไม่มากเท่ากับความเกลียดชังต่อระบอบศักดินาและปากว่าตาขยิบ  GB ตาสว่างและความเกลียดสังคมเริ่มพอกพูนในความคิดของเธอตั้งแต่บัดนั้น

ฉากหลังจากโดนทำโทษ กับการเผยว่าทำไมครั้งนี้ถึงไม่ใช้วิธี blackmail แบบทุกที  กับฉากจบของเรื่อง  อีกคนคือคู่หูชื่อ Tommy Judd (Colin Firth) อีกหนึ่งตัวละครนอกคอก (นับถือลัทธิสังคมนิยมของ Karl Marx) ที่ผู้สร้างสร้างขึ้นมา  เธอไม่ใช่แฟนของ GB เป็นแค่เพื่อนสนิท





ในหนัง GB มีแฟนเป็นรุ่นน้องชื่อ James Harcourt (Cary Elwes)




เวลาจะเจอกันต้องออกมานอกโรงเรียนยามวันหยุด

ระหว่างนั้น บรรดาคู่อริก็พยายามหาวิธีโค่น GB

หลังจากนั้นก็ลักลอบเจอกันต่อไป



ตัวอย่างหนัง



จากบางตอนของบทสัมภาษณ์ Guy Burgess  USSR ไม่เคยไว้วางใจสายลับแปรพักตร์จากต่างชาติ  ขณะที่อยู่ในโซเวียต  จู่ ๆ สมาชิก The Cambridge Five 2 คนหายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยในปี 1951  แล้วอีกไม่นานตัวของเธอก็โดนตัดขาดจาก ‘any meaningful connection to power’ ก่อนจะตายใน Moscow ด้วยการดื่มเหล้ามากเกินขนาดจากความผิดหวังในปี 1963




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1123  เมื่อ 09 พ.ค. 22, 18:17

จำ Rupert Everett ได้จากเรื่องนี้เรื่องเดียว   
ฉากร้องเพลง  เขาเล่นได้แบบขโมยซีนจริงๆ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1124  เมื่อ 10 พ.ค. 22, 08:37

จำ Rupert Everett ได้จากเรื่องนี้เรื่องเดียว   
ฉากร้องเพลง  เขาเล่นได้แบบขโมยซีนจริงๆ


ที่บอกว่า มีต่อ... เพราะจะเขียนเรื่องนี้ของเธอ ในวันนี้พอดีเลยครับ...

ตอนที่ Rupert Everett เล่นเป็น Guy Bennett ใน Another Country เธอยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น  ผมไม่ได้ข่าวคราวจากเธออีก  จนกระทั่งในปี 1997 เมื่อ SP ประโคมข่าวหนังดังที่กำลังจะเข้ามาฉายในเมืองไทยเรื่อง My best friend's wedding

ปรากฏว่าหนังเรื่องนี้ดังมาก  ไม่ใช่ที่บ้านเขาเท่านั้น  บ้านเราก็คนแห่ไปดูกันล้นหลาม  มันเป็นหนัง romantic เนื้อเรื่องเบาหวิว  เพื่อนชายเก่าแก่ของนางเอก (แสดงโดย Julia Roberts) ส่งข่าวมาว่ากำลังจะแต่งงาน  แล้วเธอก็พบว่า 'เฮ้ย... ที่จริงชั้นรักอีตานี่นี่หว่า'  ฉับพลันเธอก็แปลงโฉมเป็นนางวายร้ายพยายามจะแย่งหนุ่มกลับคืนมา

RE ที่ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วเล่นเป็นเพื่อนซี้แต๋วของ JR ชื่อ George   บทของเธอเด่นมากต้องเรียกว่าเป็นตัวโขมยซีนเลย 





โดยเฉพาะฉากนี้ที่คนดูหนังทุกคนต้องจำได้



ตอนที่หนังออกอาละวาดในโรง  RE ดังระเบิดระเบ้อ  ส่วนหนึ่งเพราะในชีวิตจริง  เธอเป็นเกย์  การแสดงในบทที่ถนัดจึงลื่นไหล  ใคร ๆ ก็เชื่อว่าในที่สุด  เธอต้องได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  พอถึงเวลาจริงกลับไม่มีชื่อในโผ  จากนั้นชื่อของเธอก็หายไปจากทรงจำของคนดูหนังฝรั่ง (ยกเว้นผม)  ที่จริงเธอก็มีหนังเล่นอยู่เนือง ๆ แต่ไม่มีเรื่องไหนเด่นเหนือขึ้นมาพ้นผิวน้ำ

นอกจากเล่นหนังแล้วเธอเป็นนักเขียนด้วยโดยเขียนบทความลงนิตยสารต่าง ๆ เท่าที่มีเวลา เช่น Vanity Fair, The Guardian ฯลฯ

ผมเห็นรูปเธออยู่ตลอดเวลา  ตอนหนุ่ม ๆ เธอหล่อสุดขีด  ดูไปทางหนุ่มขบถ  ไม่เห็นวี่แววเลยว่าเป็นเกย์ (แต่อย่ายิ้ม  ยิ้มปั๊บ  หวานทันที)
 



ตัวอย่างหนัง



มีต่อ....
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 73 74 [75] 76 77
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.127 วินาที กับ 19 คำสั่ง