เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 72 73 [74] 75 76 77
  พิมพ์  
อ่าน: 83389 ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1095  เมื่อ 26 เม.ย. 22, 08:12

ได้ดูทาง UBC ค่ะ  สนุกแบบไม่คิดอะไรมาก  เขาน่าจะล้อเลียน Star Trek

Tim Allen ดังสุดขีดจากหนัง sit-com ทางทีวีชุด Home improvement  ฉายที่ UBC 

คงผ่านตา 'จาร ครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1096  เมื่อ 26 เม.ย. 22, 08:16

Rise of the guardians (2012) เป็นการ์ตูนในยุคใหม่อีกเรื่องที่ถูกใจผมเป็นที่สุด  หนังเรื่องนี้สร้างโดยใช้คอมพิวเตอร์  เล่าเกี่ยวกับบรรดาผู้พิทักษ์จินตนาการของเด็ก ๆ ที่นำโดย Santa Clause และ 'อื่น ๆ' เช่น Easter Bunny, Sandman, Tooth fairy พบว่ามีพลังมืด Pitch Black เกิดขึ้นและใช้พลังของมันเปลี่ยนฝันของเด็ก ๆ ให้เป็นฝันร้าย

ผู้พิทักษ์เหล่านี้จึงต้องร่วมมือกันต่อสู้แต่ก่อนอื่น  ต้องไปโน้มน้าวผู้ที่จะสามารถต่อกรกันมารร้ายนี้ได้  เขาคือ Jack Frost (จะมีผู้ให้ความกรุณาค้นเรื่องราวของเธอมาเล่ามั้ยนะ)



Jack Frost คือใคร



JF โดนเรียกตัว



โรงงานของ Santa  มี Yeti เป็นลูกมือ  ฉากตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก



เลื่อนของ Santa



ธรรม vs อธรรม



หลังจากอธรรมโดนโค่นเหล่าผู้พิทักษ์ก็เริ่มฟื้นฟูงานของตนให้กลับสู่รองรอยเดิม



หนังสร้างได้สวยมาก ๆ สีสันสดใสและสนุก มีฉากตลกประปราย  พวก Yeti  น่ารักที่สุด 

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1097  เมื่อ 27 เม.ย. 22, 10:02

Gods and Monsters (1998) เรื่องอิงประวัติ James Whale ผู้กำกับหนังชาวอังกฤษที่มาขุดทองในช่วงยุคต้นของฮอลลีวู้ด (early 30s)




ผลงานของเธอเป็นหนังสยองขวัญทั้งสิ้น  ทุกงานในยุคนั้นขึ้นหิ้งหนังคลาสสิกไม่ว่าจะเป็น Frankenstein (1931) ที่ทำให้นักแสดง Boris Karloff  ไม่สามารถสลัดคราบ Frankenstein ออกไปจากความทรงจำของคนดูได้  หรือทรงผมล้ำยุคของนักแสดงสาว Elsa Lanchester จากเรื่อง Bride of Frankenstein (1935) ฯลฯ อีกมากมายหลายเรื่อง






เรื่องราวของหนังกล่าวถึงช่วงบั้นปลายชีวิตของ JW เมื่อเธอวางมือจากงานกำกับหนังและอยู่อย่างสบาย ๆ หลังเกษียณงานโดยมีแม่บ้านขวานผ่าซากคอยดูแล  วันหนึ่ง JW เห็นคนงานหนุ่มล่ำที่แม่บ้านจ้างมาช่วยจัดแต่งสวน  จากนั้นความสัมพันธ์ของชาย 2 คน  คนหนึ่งเป็นเกย์อย่างเปิดเผย อีกคนเป็น แมน ทั้งแท่งก็ค่อย ๆ ปรับตัวเข้าหากัน...  อย่างไม่ราบรื่นนัก

ตอนท้ายของหนังคือวันสุดท้ายบนโลกนี้ของ JW เมื่อเธอทนความเสื่อมโทรมของสังขารไม่ไหวจึงหาทางจบชีวิตด้วยการล่อหนุ่มให้ลงมือทำฆาตกรรม  เมื่อหนุ่มไม่เล่นด้วย  เธอจึงตัดสินใจตัวตาย  ความสงสัยพุ่งเป้าไปยังคนสวนหนุ่ม




จุดเด่นที่สุดในความคิดของผมคือฉากแม่บ้านปากร้ายที่แสดงโดย Lynn Redgrave (น้องสาวของ Vanessa R.) นอกจากนี้ก็มีฉากที่ JW ไปร่วมงานปาร์ตี้และได้ปะทะคารมกับ George Cukor (เคยนินทาถึงไปแล้ว)…  เมื่อ 2 เสือ (แต๋ว) ผู้กำกับชั้นนำของฮอลลีวู้ดเจอกัน  อะไรจะเกิดขึ้น

เสียดาย clip เหล่านี้หาไม่ได้แล้ว  ยังดีที่ยังมีคนใจดีเอาหนังทั้งเรื่องพร้อมบรรยายมาปล่อย

หนังทุนน้อยใช้เวลาถ่ายทำนานแค่ 20 กว่าวัน  แต่ผลงานออกมาได้รับคำสรรเสริญอย่างท่วมท้นจากเหล่านักวิจารณ์และขึ้นไปอาละวาดบนเวที Oscar  มีสาขาดารานำชายและประกอบหญิงเป็นอาทิ  


(งานปาร์ตี้เริ่มที่ 1.07.30  Brendan Frazer ตอนนั้นยังหล่อล่ำผิดกับยุคนี้ลิบลับ)


ตัวอย่างหนัง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1098  เมื่อ 27 เม.ย. 22, 10:26

ชอบ  Brendon Fraser  ในบทหนุ่มเด๋อๆ แต่มีเสน่ห์ถูกใจคนดู
เรื่องแรกที่ชอบคือ  bedazzled 2000 ที่เขารับบทเป็นหนุ่มที่ได้รับพร 7 ประการจากพญามารสาวเซกซี่  เพื่อจะได้ชนะใจสาวน้อยที่เขาหลงรัก
แต่..อนิจจา  พ่อคุณทำอะไรกับสังขารตัวเองน่ะ  ถึงต้องหายไปจากวงการเอาเลย

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1099  เมื่อ 27 เม.ย. 22, 10:28

อีกเรื่องที่ดูเพลินคือ บทหนุ่มหลงยุค ใน blast from the past (1999)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1100  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 08:24

อีกเรื่องที่ดูเพลินคือ บทหนุ่มหลงยุค ใน blast from the past (1999)



โอ้ววว... เรื่องนี้ ถ้า 'จาร ไม่เอ่ย  ก็ไม่รู้ว่าจะนึกออกเมื่อไร  หนังสนุก ตลก สีสันสดใสมาก  สมกับที่ 'จาร บอกว่า ดูเพลินครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1101  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 08:50

เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูสารคดีถ่ายทำในปี 2005 เรื่องเกี่ยวกับเพลง Disco ดูแล้วคิดถึงความหลัง  และดีใจที่ตัวเองได้มีประสบการณ์ร่วมในประวัติศาสตร์โลกสาขาหนึ่ง

ผมไม่รู้ว่า เพลง Disco เข้ามาในเมืองไทย (หมายถึง กรุงเทพฯ) เมื่อไหร่  แต่ตอนที่ผมลงลุยไปกับกระแสของมันอย่างสนุกสนานนั้น  เป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังเรียนอยู่ชั้นปี 3 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง

ผมว่าช่วงเวลาปี 3 เป็นช่วงเวลาพอเหมาะสำหรับการสนุกสนานร่าเริง  เพราะเราผ่านการปรับตัวว่าจะไปรอดหรือไม่รอดของปี 1 มาแล้ว  ส่วนปี 2 ก็ต้องขวนขวายในการเลือกสาขาวิชาเอก  แล้วปี 4 ที่จะตัดสินว่าเราจะเรียนจบหรือไม่นั้นยังมาไม่ถึง

ผมจำได้ว่าสถานที่แรกที่เปลี่ยนจากคลับที่ใช้วงดนตรีแสดงเป็น Discotheque เปิดแผ่นเสียงแทน  คือบรรดาโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ   แต่เนื่องจากสถานที่เหล่านี้มีคำว่า ‘ชั้นนำ’ ย่อมหมายถึงมีค่าใช้จ่ายแพง  Discotheque ของโรงแรมชั้นรองจึงถือกำเนิดขึ้นเพื่อรองรับ ‘นักผจญภัย’ ที่มีฐานะการเงินอยู่ในระดับรอง

สรุปแล้วในวันหนึ่งโรงแรมทุกระดับต่างมี Discotheque ของตัวเอง

แต่พวกเรา นักเรียน/นักศึกษา มีฐานะการเงินต๊อกต๋อยเข้าไปอีก  เพราะเรายังหาเงินเองไม่ได้  ต้องพึ่งเงินผู้ปกครอง  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่อยากเป็นนักผจญภัย จึงมีผู้เห็นใจพวกเราก่อกำเนิด Discotheque ระดับประหยัดขึ้นให้พวกเราได้ออกปลดเปลื้องอารมณ์เปลี่ยวของวัยรุ่นผู้มากไปด้วยฮอร์โมน

Discotheque ระดับประหยัดเหล่านี้จะรวมกันเป็นกระจุกอยู่แถวต้นถนนสีลม  จำได้ว่า ซอย 2 กับ ซอย 4  Discotheque ประเภทนี้เราเรียกกันสั้น ๆ ว่าบาร์  แบ่งเป็นบาร์แบบปกติกับบาร์เกย์  บาร์ที่ดังและหรูที่สุดเป็นบาร์เกย์ ชื่อ Rome  เอาเข้าจริงการแบ่งประเภทของบาร์ก็เป็นไปแค่ทางทฤษฎีเพราะข้างในก็ปนเปเหมือนกันคือมีทั้งหญิง ชาย และ เกย์ (หญิง/ชาย)  แต่จริง ๆ แล้วบาร์เกย์ดังกว่าเพราะจะมีโชว์คั่นรายการให้ชมในยามเที่ยงคืน  โชว์ที่ต่อมาเป็นจุดกำเนิดของคณะ Alcazar ฯลฯ  เพลงโชว์ที่ดังมากเป็นเสียงของ Shirley Bassey ชื่อ This is my life แล้วก็ I (who have nothin')

พวกผมเป็นนักศึกษามีอาชีพเรียนหนังสือ  จึงออกไปร่อนกลางคืนบ่อยไม่ได้เดี๋ยวจะโทรม  การเรียนตก  เผลอ ๆ โดน 'รีไทร์'  เป็นผลให้โดนผู้ปกครองด่าแล้วโดนหักค่าขนม  สำหรับผมยังมีต่อคือ  ทำให้ต้องประหยัดเรื่องการไปดูหนังและซื้อแผ่นเสียง  ซวยยาวเป็นหางว่าว  ฉะนั้น เราจึงไปเที่ยวกันเดือนละครั้งสองครั้ง  วันคือวันศุกร์  เสาร์อาทิตย์จะได้เป็นวันฟื้นฟูสุขภาพ

เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าผมเป็นเด็กไข่ในหิน  อย่าว่าแต่ตอนกลางคืนเลย  แค่ไปไหนเองในที่แปลก ๆ ในตอนกลางวันยังไม่ค่อยเป็น  ผมค่อยมาปรับตัวในช่วงเข้ามหาวิทยาลัย  เนื่องจากผมเป็นสิงห์นักฟังเพลงจึงรู้จักเพลง Disco ก่อนพวกเพื่อน ๆ เสียอีก  แต่ผมไม่รู้จักแหล่งบันเทิงยามกลางคืนเลย  เพราะเด็กไข่ในหินมีนิสัยนอนหัวค่ำ

ครั้งแรกเมื่อโดนเพื่อน ๆ ชวนไปลุยแหล่งบันเทิงในตอนกลางคืนกัน  ผมจึงตื่นเต้นเสียไม่มี  แต่มีปัญหาว่าไปไม่เป็นว่ะ  สรุปแล้วเป็นประจำทุกครั้งที่เพื่อนคนหนึ่งจะต้องขึ้นรถเมล์จากบ้านมัน (แถวสนามบินน้ำ) มาลงป้ายสะพานควายแล้วเดินต่อเข้าซอยไปควักผมออกมาจากบ้านแล้วเรียกแท็กซี่เดินทางต่อ

กว่ามันจะโผล่มาก็หลัง 2 ทุ่ม  อย่างที่บอกว่าผมนอนหัวค่ำ  ปกติหลัง 2 ทุ่มนี่เข้าเขตเวลานอนของผมแล้ว  ความอยากออกไปเที่ยวค่อย ๆ จางหายเปลี่ยนเป็นอยากนอนแทน  ครั้งแรก ๆ ที่มันมาถึงแล้วขึ้นข้างบนบ้านไปหาผมที่ห้องจะเห็นผมในชุดเที่ยวกลางคืนซึ่งไม่ได้คอยอยู่อย่างตื่นเต้นว่าจะได้ออกไปเที่ยวแต่หลับกลิ้งอยู่บนเตียง

ครั้งหลัง ๆ มันจึงเปลี่ยนเวลามาถึงบ้านผมให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ชวนคุยไม่ให้ผมหลับ  เราไปเร็วไม่ได้เพราะบาร์มันยังไม่เปิด  เวลาเปิดคือ 2 ทุ่ม  แต่ยังไม่มีคน  กว่าจะครึกครื้นก็ประมาณ 3 ทุ่ม  จำได้ว่าเคยโดนเพื่อนด่าครั้งหนึ่งเมื่อเห็นสภาพผมหาวอยู่นั่นแล้ว ‘รู้สึกทุกข์ทรมานเหลือเกินนะมึง  กว่าจะได้ออกไปเที่ยว’

อย่างไรก็ตามความง่วงหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเรามาถึงสถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งของคนกลางคืน (ประเภทเบี้ยน้อยหอยน้อย)  เราจะไปรอพรรคพวกอยู่ใน lobby ของโรงแรมแถวนั้น  รร. Sheraton เพราะอยู่ใกล้ถนนใหญ่กว่า รร. มณเฑียร


(เพื่อนบอกว่า ชักรูปเก็บไว้ดูตอนแก่ วิสัยทัศน์ช่างกว้างไกลจริง ๆ  ตอนนี้แต่ละคนแค่เดินเฉย ๆ พอมีลมแรงพัดมาปะทะยังเซเลย)


เรารอพวกพรรคจนมาถึงครบก็ออกเดินทางต่อ  ผมจำครั้งแรกได้ว่า  เมื่อมาถึงที่  มันตื่นตาตื่นใจมาก  คนพลุกพล่าน  แต่งตัวกันเต็มที่ของแบบฉบับวัยรุ่น  พูดคุยหัวเราะร่าเริงกัน
  
แทบทุกคนทุกเพศคีบบุหรี่อยู่ในมือ  บุหรี่นอกทั้งนั้น  มือข้างหนึ่งคีบบุหรี่  อีกข้างถือกล่อง/ซองบุหรี่ Winston, Marlboro, Dunhill, Cartier, More, Mild Seven, Kent ฯลฯ  ยี่ห้อ พระจันทร์ สามิต เกล็ดทอง ทำนองนี้ไม่มี  คนเหล่านี้เป็นรุ่นเดียวกับเราทั้งนั้นคือนักเรียน/นักศึกษาเบี้ยกะตอยหอยจุ๋มจิ๋ม  บางทีก็มีผู้ใหญ่หรือฝรั่งแฝงมาประปราย

ที่หน้าประตูบาร์  จ่ายเงินค่าเข้า 50 บาทแล้วรับคูปองซึ่งจะเอาไปใช้แลกน้ำส้มได้ 1 แก้ว  ถ้าพวกเหล้าก็ต้องจ่ายเพิ่ม  น้ำส้มจากขวดแฟนต้าแก้วละ 50 บาทเมื่อกว่า 40 ปีก่อนนี่แพงไม่หยอกนะ  นี่ขนาดเป็นสถานที่เล็ก ๆ ไม่ได้มาตรฐานตามแบบฉบับโรงแรม

พื้นที่ภายในบาร์มีขนาดแค่ไหนก็สุดจะเดา ท่ามกลางความมืดที่เห็นเพียงแค่ความสลัวแต่ดังสนั่นไปด้วยเสียงเบสจากเครื่องเสียงที่ขับออกมาจากแผ่นเสียง  คนหนาแน่นเต็มพื้นที่  แค่นี้ผมก็ตาโพลง

เรามองหาโต๊ะ  ไม่ได้เอาไว้นั่งแต่เอาไว้วางแก้วน้ำส้มแล้วพุ่งเข้าฟลอร์เหมือนวิ่งหนีหมาบ้าไล่งับ

พวกเราดิ้น ๆ (ยุคเราใช้คำนี้ 'ดิ้น') กันในฟลอร์ที่คนแน่นเหมือนรังมด  ไม่มีใครเหนื่อยกลับไปพักที่โต๊ะ  ทุกคนดิ้นกันสุดฤทธิ์เหมือนต้องสาป  จะพักก็ต่อเมื่อถึงเวลาพักซึ่งดีเจจะเปลี่ยนเป็นเพลงช้าสักแป๊บให้พวกเราได้เปลี่ยนบรรยากาศไปเข้าห้องน้ำหรือโซเซไปกินน้ำ  แต่บางกลุ่มก็ถือโอกาสเปลี่ยนท่าเป็น ‘สโลซบ’

เราปฏิบัติตนตามกฎอย่างแข็งขันจนถึงตี 2 ทั้งบาร์ก็จะสว่างไสวด้วยแสงไฟอันเป็นสัญญาณว่าเลิกงานแล้ว  เชิญหนู ๆ เดินทางกลับไปบ้านโดยสวัสดิภาพกันได้


จากประสบการณ์ของผม เพลง Disco ที่เล่นในบาร์บ้านเราก็เครือ ๆ กับของเมืองนอกเพราะเรารับของเขามานี่ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เพลงในอันดับ Billboard จึงไม่คุ้นหู

ปกติเพลงในอันดับ ฯ เป็นเพลงที่ทำขึ้นเพื่อล่อลูกค้าให้ติดใจจะได้ไปหาซื้อแผ่นฯ มาฟัง (เรียกว่า commercial songs)  เพลงพวกนี้มีความยาวอย่างมากไม่เกิน 4 นาที  นานกว่านี้ใครจะไปฟัง เบื่อตาย

ถ้าทำเพลง Disco สั้นจู๋ขนาดนี้  ดีเจก็ไม่ต้องทำไรกัน  เรื่องเข้าห้องน้ำไม่ต้องพูดถึงเพราะไม่มีเวลาไป  ต้องมาคอยเปลี่ยนเพลงสร้างความต่อเนื่องลูกค้าจะได้สามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่ถูกขัดจังหวะแล้วก็ไม่โดนด่า

ผู้ผลิตเพลงจึงเกิดไอเดียใหม่  โดยทำเพลงเพื่อใช้เล่นใน Discotheque โดยเฉพาะ  เอกลักษณ์ของมันคือแต่ละเพลงยาวยืดและเชื่อมกับเพลงต่อไปอย่างแนบเนียนไม่มีรอยต่อระหว่างเพลง (เชื่อมด้วย bass drum หรือ kick drum) ซึ่งส่งผลให้บรรดาสิงห์ตีนไฟสามารถ ‘ดิ้น’ ได้โดยไม่ติดขัด ไม่เสียอารมณ์  เหล่าดีเจก็มีเวลาเผื่อไว้ผ่อนคลาย  จะไปฝอยหรือไปเข้าห้องน้ำ ฯลฯ ได้โดยไม่ต้องมาพะวงกับการเปลี่ยนเพลงบ่อย ๆ
  
เพลงยาว ๆ พวกนี้จึงไม่มีโอกาสเข้าไปแหยมในอันดับ Billboard  อย่างไรก็ตามนักร้องดังบางคนก็หันมาลองเพลง Disco บ้าง  บริษัทแผ่นเสียงจึงต้องทำเพลงเป็น 2 ฉบับ  คือฉบับเข้าอันดับ BB เพื่อไว้ขายกับฉบับใช้ใน Discotheque  เช่น MacArthur's Park ของ Donna Summer เจ้าแม่ Disco  ฉบับเข้าอันดับจะยาวประมาณ 3.58 นาที  ถ้าเอาไปใช้ดิ้นก็จะเป็นฉบับยืดยาวออกไปนาน 10.48 นาที

จบโหมโรง พรุ่งนี้ไปชมสารคดีกัน...

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1102  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 15:18

รู้จัก Disco กับ Discotheque มันอยู่ในยุค 70s  ค่ะ   
เห็นเสื้อผ้าคุณโหน่งกับเพื่อนๆแล้วอยากถามว่าทศวรรษไหน  ไม่ใช่ยุค 70s  ใช่ไหม  เพราะยุคนั้นกางเกงทรงสเปน ขาบานยาวลากพื้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1103  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 17:21

ขอคั่นด้วยข่าวเศร้าสำหรับคอหนังจีนยุค 1980s 
ดาราอาวุโส เจิงเจียง ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 87 ปี ใน รร.ที่ใช้เป็นที่กักตัวหลังเดินทางกลับจาก ตปท.
ผลงานที่สร้างชื่อเสียง ที่ทุกคนในยุคนั้นรู้จัก คือบท #อึ้งเอี๊ยะซือ เจ้าเกาะดอกท้อ (พ่อของอึ้งย้ง) ในเรื่องมังกรหยก (1983) สมัย TVB


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1104  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 17:23

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1105  เมื่อ 28 เม.ย. 22, 17:30

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1106  เมื่อ 29 เม.ย. 22, 10:52

รู้จัก Disco กับ Discotheque มันอยู่ในยุค 70s  ค่ะ  
เห็นเสื้อผ้าคุณโหน่งกับเพื่อนๆแล้วอยากถามว่าทศวรรษไหน  ไม่ใช่ยุค 70s  ใช่ไหม  เพราะยุคนั้นกางเกงทรงสเปน ขาบานยาวลากพื้น

เรียน 'จาร ว่า  จากประสบการณ์ที่ตัวเองแต่งตัวและเดินเฉิบ ๆ อยู่ตามถนน การแต่งตัวของวัยรุ่น (ในกรุงเทพฯ) ในยุค 70s แบ่งเป็น 2 ยุคครับ

ต้น 70s กางเกงในยุคนี้มี 2 แบบ  แบบที่เรียกว่า เดฟ (ไม่ทราบการสะกดภาษาอังกฤษ)  ปลายขากางเกงลีบ  บางตัวต้องนั่งใส่เพื่อค่อย ๆ ดึงกางเกงขึ้นมา  โหน่งชอบใส่กับรองเท้าหุ้มข้อหนังกลับ  มียี่ห้อดังมากตอนนี้นึกไม่ออกใช่ Heavy รึเปล่า   อีกแบบเรียกว่า มอส  ปลายกว้างคลุมรองเท้า  โผล่แค่ปลายรองเท้าออกมา  ส่วนเสื้อรัดรูป



รูปนี้ถ่ายสมัยอยู่ ม. ปลาย เลยกลางยุค 70s  พอเข้ามหาวิทยาลัย  ทรงกางเกงเริ่มเปลี่ยนแล้ว  เดฟ ยังเหมือนเดิม  แต่ มอส ปลายไม่กว้างเท่าเก่า  สิ่งแปลกใหม่ที่ตามมาคือ รองเท้าบูท สูงครึ่งน่อง  รองเท้าบูทใส่กับกางเกงเดฟถึงจะเข้ากันเพราะโชว์ความเป็นรองเท้าบูท  ยืนยาวมาจนถึงช่วงเข้าทำงาน





ยุค disco เริ่มระบาดเข้ามาในไทยตอนอยู่ปี 3 ก็เฉียด 80s แล้ว (เอาจากเพลง I will survive ของ Gloria Gaynor เป็นหลัก) ทรงกางเกงเปลี่ยนไปแล้วครับ  ที่ 'จาร นึกภาพน่าจะเป็นช่วงต้น 70s (ชื่อกางเกง 'ทรงสเปน' เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ  นึกภาพตามไม่ออก  จากประสบการณ์ใช้กันแต่ 2 ชื่อที่เอ่ยถึง  ชื่อใช้กับทรงกางเกงของผู้หญิงรึเปล่าครับ)

อย่างไรก็ตาม 2 ทรงที่ว่าใช้ใส่ไปเรียนหนังสือตอนกลางวันครับ  ไปงาน ดิ้น กลางคืน  ต้องแต่งตัวไปประชัน  ก็คืออย่างที่เห็นในรูป (เผอิญวันนั้นแต่งตัวแบบที่เห็น  บางครั้งใส่บูทส้นสูง 2 นิ้ว)  สารรูปที่เห็นยังไม่เต็มเครื่อง  จะไปเต็มเครื่องเมื่อเข้าบาร์แล้ว  ไปเติมในห้องน้ำ  จำได้ว่าเพื่อนชายคนขวาเธอมีสร้อยทอง  เสื้อที่โหน่งใส่นั้นเป็นแขนยาวซึ่งเอามาใส่เรียนตอนกลางวันแล้วจะเดินเป๋  เพราะคนจะมองตาม  ภาพสีจางเพราะความเก่าเลยไม่เห็นความ 'เริ่ด' ของแบบซึ่งออกแบบเอง  ถ้าไม่สับสน  ผ้าเดินดิ้นสีทอง  ซื้อที่สำเพ็งสวรรค์ของคนชอบแต่งตัว  จะได้โต้แสงไฟที่สะท้อนมาจากลูก Disco กลางฟลอร์
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1107  เมื่อ 29 เม.ย. 22, 11:39

หมดไปครึ่งวัน  มัวแต่ไปคุ้ยหาหลักฐานมาอ้างอิง...

สารคดีชุดนี้ชื่อ Disco, the spinning story  ผมดูดมาจาก website สำหรับ download  มีคนนำมาปล่อยใน youtube ด้วยแต่เสียดายที่ไม่แนบบรรยายมาให้  แต่สารคดียาวแค่ ชม. เศษเอง  ไม่ถึงกับเบื่อ  ใครที่โตไม่ทันยุค Disco จะได้เห็นภาพว่าเค้าทำอะไรกัน  มันน่าสนุกแค่ไหน (สารคดีเป็นของเมืองนอกแต่บรรยากาศในเมืองไทยก็เครือ ๆ กัน)

ในสารคดีมีการเชิญนักร้องในยุคนั้นมาให้เล่าความหลัง  พวกนี้เป็นนักร้องชั้นนำในอันดับเพลง ฯ  ไม่ใช่นักร้องอัดเพลงลง Discotheque  ซึ่งพวกนี้ไม่ดังในวงกว้าง  ไม่รู้ป่านนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน



(3.33 และ 3.59) หนุ่ม 2 คนนี้เป็นสมาชิกวง Village People วงที่ได้ชื่อว่าเป็นวงเกย์ล้วนซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือตามกระแส (Disco มีต้นกำเนิดมาจากวงการชาวเกย์)  วงถือกำเนิดขึ้นมาเพราะกระแสเพลง Disco โดยเฉพาะ  พอกระแสจบวงก็ดับไปด้วย  อย่างไรก็ตามในช่วงเวลานั้นวงนี้ดังสุดกู่  เพลงดังที่สุดของพวกเขาคือ YMCA กับ In the navy  ฉบับออกขายในวงกว้างของทั้ง 2 เพลงนี้ได้รางวัลแผ่นเสียงทองคำขาวกับทองคำเฉย ๆ  แสดงว่านักฟังเพลงฝรั่ง (รวมถึงบ้านเรา) ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิงห์ตีนไฟก็ชอบฟัง  





(5.52) คือ Thelma Houston ยุคนั้นผมรู้จักแค่ชื่อ  หน้าตาไม่เคยเห็น  ในหนังสือเพลงต่าง ๆ ที่ผมซื้อก็ไม่เคยลงรูปของเธอหรือลงแต่จำไม่ได้  ที่ผมรู้คือเธอมีเพลงอันดับ 1 อยู่ 1 เพลงคือ Don’t leave me this way (1977)  ผมจำได้ว่าเคยได้ยินเพลงของเธอทางวิทยุครั้งเดียว  ผมว่าเพราะเธอดังอยู่เพลงเดียว  ชื่อเสียงของเธอจึงเงียบฉี่ในบ้านเรา  ผมได้มีโอกาสฟังเพลงนี้เมื่อ youtube ถือกำเนิดแล้ว  ก็เพราะดี



(7.14) MFSB (Mother, father, sister, brother) กลุ่มนักดนตรีรับจ้างในห้องอัดราว 30 คนมารวมตัวกันลองออกเพลงในนามของพวกตนดู  เป็นเพลงบรรเลงชื่อ TSOP (The sound of Philadelphia - 1974)  เพลงขึ้นอันดับ 1 นี้ดังสุดรวมถึงในบ้านเรา  นักฟังเพลงฝรั่งต้องเคยได้ยินเพลงนี้ทุกคน

(Back up โดยวงดัง Three degrees)


(7.19) นี่คือโฉมหน้าของเจ้าแม่ Disco ชื่อ Gloria Gaynor  เพลงดังสะท้านโลกของเธอคือ I will survive (1978)  ทุกบาร์ทุก ‘theque ในเมืองไทยเปิดเพลงนี้ทุกคืน  พูด (เขียน) แค่นี้พอ  

(ความจริงเจ้าแม่ตัวจริงคือ Donna Summer แต่เพลง IWS เพียงนี้ดังเด็ดขาด  จนใคร ๆ ต้องยกให้เธอเป็นเจ้าแม่ด้วยเช่นกัน  แม้เธอจะมีเพลงดังอยู่เพลงเดียว)


(8.59) คือ Smokey Robinson คนนี้ความจริงเป็นตำนานศิลปินเพลงสาขา soul/R&B มาตั้งแต่ต้นยุค 60s  โน่น  ผมไม่เคยได้ยินเธอร้องเพลง Disco  แต่ในละแวกเวลานั้นเพลงนี้เปิดบ่อยในบ้านเรา  โดยเฉพาะทางคลื่นของ Nite spot



(14.12) คนนี้ไม่ได้มาให้สัมภาษณ์  แต่อยากเล่าว่า Barry White (ตายไปแหล่ว) เป็นศิลปินประเภทเก่งร้อยแปด  เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง นักผลิตเพลง Conductor ฯลฯ  ในบาร์ที่ผมไปเหวี่ยงอยู่กลางฟลอร์  จะมีเพลง Disco ของเธอโผล่มาเสมอ  โดยเฉพาะ 2 เพลงแผ่นเสียงทองคำนี้



(เสียงนุ่มทุ้มของเธอเป็นเอกลักษณ์  ฟังที่ไหนก็รู้ว่าใคร)

อีกเพลงหนึ่งที่ BW อำนวยการผลิตที่ดังไปทั่วโลกรวมถึงบ้านเรา  สายการบินยี่ห้อหนึ่งถึงกับซื้อลิขสิทธิ์เพลงไปใช้ทำโฆษณา



(35.28) นี่คือดาราที่เคยเป็นหนุ่มหล่อในยุคของเธอ  ตอนนั้นเธอใช้ชื่อว่า Steven Bauer ผมได้ดูหนังที่เธอเล่นคือ Thief of hearts (1984) เท่าที่รู้เธอไม่ใช่นักร้องอาชีพแล้วก็ไม่ใช่ดาราดัง



(35.30) นักร้องดังจากอังกฤษ Peter Frampton ในปี 1976 อัลบั้มแสดงสดแผ่นคู่ของเธอ Frampton comes alive! ครองอันดับ 1 อยู่นาน 10 สัปดาห์  เวลาผมเปิด Starpics เล่มใหม่เพื่อดูอันดับแผ่นเสียงเห็นชื่อแผ่นของเธอครองอยู่นานจนเบื่อ  ในตอนนั้นผมไม่สนใจเพลงของเธอ  แต่พอมาฟังตอนแก่นี่กลับเพราะดีแฮะ เพลงของเธอได้ยินบ่อยจากรายการวิทยุเพลงขาร็อค เช่นที่จัดโดย วิทูร วทัญญู

(ตอนหนุ่ม ๆ เธอหล่อมาก ๆ  ปีนี้ 71 แล้ว)


(37.42) คนนี้ต้องนำเสนอเพราะทุกบาร์ทุก ‘theque ในบ้านเราเปิดเพลงของเธอเป็นประจำ  Alicia Bridges กับแผ่นเสียงทองคำของเธอ I love the nightlife เธอเป็นนักร้องผิวขาวในจำนวนน้อยคนที่ร้องเพลง Disco แล้วดัง  ผมเคยซื้อแผ่นของเธอมาฟังแต่ไม่ประทับใจเพลงอื่น ๆ เลย

(AB อยู่ในข่ายของนักร้องแขนง one hit wonder เช่นเดียวกับ TH คือมีเพลงดังเพลงเดียวแล้วดับ)


ขอนำเสนอบางเพลงที่ได้ยินเป็นประจำทุกครั้งที่ไปดิ้น (โดยนักร้องในอันดับเพลง ฯ)

ผมละแปลกใจที่สารคดีชุดนี้ไม่ได้พาดพิงถึงเพลงนี้  Ring my bell ของ Anita Ward เป็นเพลงอันดับ 1 ที่ดังโลกแตกพอ ๆ กับ I will survive ของ Gloria Gaynor  ตอนอยู่บนฟลอร์  ถ้าดีเจขึ้นเพลงนี้  พวกเราทุกคนจะกรี๊ดกันบาร์แทบแตก  แล้วตั้งอกตั้งใจ ‘โยก’ กันสุดฤทธิ์



Carol Douglas – Doctor’s order เป็นเพลง Disco ที่ผมชอบที่สุด  จังหวะพอเหมาะพอดีกับการขยับขา  ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกก็ที่บาร์ฯ  ติดใจขนาดกลั้นใจ (ตอนเด็ก ๆ ขี้อาย  แต่แก่แล้วหน้าด้าน  เป็นแบบนี้กับทุกคนรึเปล่าก็ไม่รู้) ไปถามดีเจว่าเพลงชื่ออะไร  ตอนเดิน (ไปเต้นไป) กลับมาที่กลุ่มเพื่อนถามว่า แกไปจีบดีเจมาเหรอ


ในอันดับเพลง BB เพลงนี้ไม่ดัง  แต่เวลาพิสูจน์ว่าเพลงที่ไม่ดังในอันดับเพลงไม่จำเป็นต้องดับสูญ



The Trammps – Disco Inferno

คนตัดต่อ clip เก่งมาก  รวบรวมฉากของดาราหนังทีวีดัง ๆ ในยุคนั้น  บางชุดก็มาฉายในบ้านเรา  เท่าที่จำได้...
 
เปิดมาก็ Gil Gerard จากชุด Buck Rogers ผู้หญิงไม่รู้ว่าใคร น่าจะเป็นดารารับเชิญเพราะตัวนำหญิงคือ Erin Grey หน้าตาไม่ใช่แบบนี้
(0.41) 2 ดาราที่พวกเราร่วมยุครู้จักดีคือ Victoria Principal กับ Patrick Duffy จากชุด Dallas
(1.11) Angie Dickinson จากเรื่องอะไรก็ไม่รู้
(1.18) Robin Williams กับ Pam Dawber จากชุด Mork & Mindy ฉายช่อง 3 ตอนกลางคืน  พวกเราจำ slogan ว่า ‘นานู นานู’ ได้
(1.28) 3 คนอลเวง (Three’s Company) พวกเรารู้จักดีกันทุกคน
(1.55) Erik Estrada จากชุดฮิตในบ้านเรา CHiPs รู้สึกชื่อไทยว่า ‘ฉลามบก’ ใช่ป่าว  จำได้ว่าฉายวันจันทร์

ป่านนี้พวกนี้ถ้าไม่ลาโลกไปก่อนก็กลายเป็นคุณตาคุณยายของเด็กรุ่นนี้หมดแล้ว

ก็จบทัวร์ยุค disco แต่เพียงเท่านี้  เวลาอ่านถึงตอนที่ผมพล่ามว่าได้ยินเพลงนี้เพลงนั้นแล้วขาขยับละก็  มันคือความจริงมิได้โม้  มันมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้ว

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1108  เมื่อ 29 เม.ย. 22, 12:04

 
อ้างถึง
ที่ 'จาร นึกภาพน่าจะเป็นช่วงต้น 70s (ชื่อกางเกง 'ทรงสเปน' เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละครับ  นึกภาพตามไม่ออก  จากประสบการณ์ใช้กันแต่ 2 ชื่อที่เอ่ยถึง  ชื่อใช้กับทรงกางเกงของผู้หญิงรึเปล่าครับ)

นี่ค่ะ กางเกงทรงสเปน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1109  เมื่อ 29 เม.ย. 22, 14:18

กางเกงทรงสเปน ไม่มีเข็มขัด  ท่อนบนฟิตเข้ารูปลงมาถึงหัวเข่าแล้วปลายบานออก  ขอบขากางเกงยาวลงถึงหลังรองเท้าที่มีส้นหนาๆ เรียกว่าส้นสเปนเหมือนกัน
สวมกับเสื้อแขนยาวที่เข้ารูป ตัวเสื้อตึง ไม่ดึงชายเสื้อหย่อนๆไว้เหนือขอบเอว ค่ะ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 72 73 [74] 75 76 77
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.095 วินาที กับ 19 คำสั่ง