เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 77
  พิมพ์  
อ่าน: 84302 ฉากประทับใจในหนังเก่า (3)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1065  เมื่อ 08 เม.ย. 22, 08:55

โหมโรงนิด...

...งานดนตรีและศิลปะวูดสต็อก หรือมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า เทศกาลวูดสต็อก (The Woodstock Festival) จัดขึ้นที่ไร่มีพื้นที่ราว 1.2 ตร.กม. ของ Max Yasgur  ตั้งอยู่ในเมือง Bethel รัฐ New York สหรัฐอเมริกา  ช่วงเวลาของงานเริ่มตั้งแต่วันที่ 15-18 สิงหาคม ค.ศ. 1969

เป็นการแสดงสดกลางแจ้งที่รวบรวมเหล่าศิลปินมากมายกับการแสดงรวม 32 ชุดต่อหน้าคนดูกว่า 400,000   แม้ว่าอากาศจะไม่เป็นใจ

เทศกาลนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็น 1 ในเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการดนตรี  เป็นตำนานหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก...

 
ผมรู้จักเทศกาลนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ เลย  ก็จากหนังสือ Starpics นั่นแหละ  SP ลงบทความพร้อมรูป (ขาวดำ) ประกอบให้อ่าน  นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยคงเคยได้ยินชื่อมาบ้าง  ผมก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ  แต่อาจจะรู้มากขึ้นนิดตรงที่มีความสนใจและมีแหล่งข้อมูลให้อ่าน  อีกทั้งพี่ ๆ ก็ซื้อแผ่นเสียงอัดการแสดงสดมาฟัง  แผ่นเสียงชุดนี้ประกอบด้วยแผ่น 3 แผ่น  ทั้งหนาและหนัก  แต่ผมก็ไม่ได้สนใจเพราะตอนนั้นยังเด็ก  ฟังแต่เพลงฝรั่งหน่อมแน้ม  เพลงฝรั่งแบบ rock ห่าม ๆ แบบนี้กรุณาอยู่ห่าง ๆ




อย่างไรก็ตามเทศกาลนี้ผูกพันกับชีวิตน้อย ๆ ของผม  แบบว่าในช่วงนั้นเป็นช่วงของสงครามเวียดนาม  พ่อผมเป็นทหารได้มีโอกาสไปร่วมรบที่เวียดนามด้วย  พ่ออยู่ในกองพลทหารชุดเสือดำ เหล่าสื่อสาร
  
ช่วงนั้นผมไม่รู้เรื่องรู้ราวหรอกว่าพ่อไปแล้วอาจไม่มีโอกาสกลับมาบ้านก็ได้  รู้แต่ความสนุกสนานตามประสาเด็กกับรอคอยของกินแปลกตาที่พ่อจะส่งมาให้จากแดนสงคราม

ของพวกนี้เป็นของแจกจากอเมริกาให้เหล่าทหารรวบรวมอยู่ในกล่องโลหะสีเขียวขี้ม้าทรงสี่เหลี่ยมแนวตั้ง  ในกล่องมีอาหารสารพัดใส่ในกระป๋องเล็ก ๆ อีกที  จัดเรียงอย่างพอเหมาะกับพื้นที่ภายใน  ส่วนใหญ่เป็นของแห้ง  กับของแช่เค็มเช่นหมูเค็ม  ที่ชอบที่สุดเพราะอร่อยและไม่เคยเห็นมาก่อนคือ ไส้กรอกเค็ม ๆ กับลูกพีชเชื่อมสีเหลืองสดหั่นเป็นชิ้น ๆ  และขนมปังหลากหลายแบบ  ในยุคนั้น ในบ้านเรา แค่แอปเปิ้ลยังหาไม่ค่อยเห็นเลย  บุรุษไปรษณีย์เอามาให้  ใส่ในกล่องที่เขียนว่า พัสดุจากเวียดนาม

เสียดายที่ตอนนั้นเด็กเกินกว่าที่จะรู้ค่าของกล่องโลหะพวกนี้  อย่างไรก็ตามเราไม่ได้ทิ้งขว้างมันเพราะมันดูดีมาก  เอาไปใส่อย่างอื่นได้  เพียงแต่ไม่ได้เก็บรักษา  เลยหายไปหมด  ผมเคยตามหาจาก Ebay แต่ความที่ความทรงจำกระท่อนกระแท่นเลยไม่แน่ใจกับภาพที่เห็นว่าใช่ทรงนี้รึเปล่า


อีกสิ่งหนึ่งของเทศกาลนี้ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตผมคือ  มันเปลี่ยนแนวเพลงฝรั่งจากที่ผมเคยได้ยินประจำ (เวลาพี่ ๆ เปิดวิทยุ)  จู่ ๆ ก็มีเพลงฝรั่งทำนองแปลก ๆ โผล่ออกมาจากลำโพงวิทยุ  เพลงพวกนี้ผมไม่ชอบฟัง  ผมว่ามันหนักหู  ไม่สดใสหรือสนุกสนานเหมือนก่อน (แต่มาฟังเดี๋ยวนี้เพราะสุดขีดเลย)

เพลงที่จำได้แม่น ๆ ว่าได้ยินในเวลานั้นคือ

Crimson and clover (Tommy James & the Shondells)



These eyes (The Guess Who)



แม้แต่วง Beatles ที่ผมชอบฟังก็เปลี่ยนแนว



Sky pilot (The Animals) – ฉบับ single



เพลงนี้ไม่หนักหู  แต่ดังมากในบ้านเรา  ที่บ้านเขาไม่รู้จักเพราะมันไม่ใช่ single
Little bird of Vietnam (SSgt. Barry Sadler)



เทศกาล Woodstock เป็นปรากฏการณ์อมตะ  คนกล่าวถึงในทางบวกเพราะคนร่วมงานมากขนาดนี้  ปราฏว่ามีคนตายแค่ 3 คน  2 คนจากการเสพย์ยาเกินขนาด  อีกคนไปมุดหัวนอนอยู่ในถุงข้าง ๆ กองขยะเลยโดนรถ tractor ทับตาย 

จนป่านนี้ก็ยังมีการกล่าวถึงเทศกาลนี้อยู่เนือง ๆ  มีข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องออกสู่สาธารณะชนไม่ขาดสาย  

เมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนเอา 'หนังสารคดี (ไม่ได้ลงผิดช่อง)' จัดทำในปี 2019 มาให้ website ที่ผมเป็นสมาชิกดูดไปดู  ข่าวบอกว่าสารคดีชุดนี้ทำได้ดีมาก ๆ โดยนำเสนอตั้งแต่ความเป็นมาจนกระทั่งถึงวันงาน  ข่าวชมว่าสารคดีชุดนี้นำเสนอ clips ที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหน  พร้อมการสัมภาษณ์ผู้ที่เคยไปร่วมงานมาแล้ว  ชื่อสารคดีคือ Woodstock - Three Days that Defined a Generation

ใน youtube ก็มีให้  เสียดายที่ไม่ใช่ต้นฉบับ  จึงไม่มีบรรยายแนบมาให้  ถ้าว่าง ๆ ก็ลองชมดู (แบบผ่าน ๆ) ครับเพราะมันค่อนข้างยาว  ส่วนตัวผมมีความเห็นว่า  ปรากฏการณ์ที่เกิดในยุคเก่าแก่  คือก่อน อตน. ย้อนขึ้นไปอีกโข  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี  ถ้าเกิดขึ้นมักจะยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำได้ตลอดไป




Joni Mitchell ศิลปินชาว ‘แคนาดา’  (ที่นักฟังเพลงชาวไทยรวมถึงผมรู้จักเธอน้อยมาก  ผมเคยซื้อแผ่นเสียงของเธอมาลองฟังปรากฏว่าไม่ถูกหู ซื้อตั้ง 2 แผ่นเพื่อความยุติธรรม) แต่งเพลง Woodstock (ที่เกิดขึ้นใน ‘อเมริกา’) ขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทศกาลนี้  ศิลปินที่ทำให้เพลงนี้โด่งดังไปทั่วโลกและรวมไปถึงประเทศไทยด้วยคือ วง folk/rock จาก ‘อังกฤษ’ ชื่อ Matthew Southern Comfort



Woodstock

I came upon a child of God
He was walking along the road
When I asked him, where are you going?
This he told me
I'm going down to Yasgur's farm
Think I'll join a rock and roll band
I'll camp out on the land
I'll try and set my soul free
We are stardust, we are golden
And we've got to get ourselves back to the garden
Then can I walk beside you
I have come here to lose the smog
And I feel just like a cog
In something turning
Well, maybe it's the time of year
Or maybe it's the time of man
And I don't know who I am
But life's for learning
We are stardust, we are golden
And we've got to get ourselves back to the garden
By the time I got to Woodstock
They were half a million strong
Everywhere there were songs
And celebration
And I dreamed I saw the bombers
Riding shotgun in the sky
Turning into butterflies
Above our nation
We are stardust, we are golden
And we've got to get ourselves back to the garden
We are stardust, we are golden
And we've got to get ourselves back to the garden
We are stardust, we are golden
And we've got to get ourselves back to the garden

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1066  เมื่อ 11 เม.ย. 22, 08:47

นักดูหนังฝรั่งชาวไทยรู้จักหนัง The Color Purple (1985)  กันทุกคน  หนังดังไปทั่วโลก  หนังเรื่องนี้สร้างสถิติบนเวที Oscar ด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 11 สาขาแต่ไม่ได้รางวัลเลย  ส่วนตัว ผกก. Steven Spielberg ยิ่งแย่กว่านั้นเพราะในจำนวน 11 สาขาที่ได้เข้าชิง  ไม่มีชื่อเขาเข้าชิงในสาขาผู้กำกับ

หนังเรื่องนี้ส่งดาราตลกหญิงผิวดำ Whoopi Goldberg ซึ่งเล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก  เข้าสู่ทำเนียบดาราชั้นนำในวงการฮอลลีวู้ด  และเธอก็ค้างฟ้ามาถึงปัจจุบัน

ในเรื่องนี้บทของเธอดราม่าเข้มข้นสุดขีด  และเธอก็ตีบทแตกสมควรกับการได้รับเสนอชื่อ





นักแสดงหญิงอีกคนที่เล่นเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงฯ เช่นกัน ต่อมาชื่อของเธอติดปากทุกคนทั่วโลกคือ Oprah Winfrey ในฐานะเจ้าแม่ Talk Show ชื่อดัง



Soundtracks ของหนังเพราะมาก  พอดูจบ  ออกจากโรงผมก็แฉลบเข้าร้านแผ่นเสียงไปแอบดูว่า  มีแผ่นมาขายรึเปล่า  ไปได้ที่ห้าง Central สีลม  เป็นแผ่นคู่ (กลืนน้ำลายขณะจ่ายเงิน)  กลับมาบ้านแกะดูแล้ว  โอ้โฮ... แผ่นสีม่วงสวยมาก  


(หมายเหตุ - แผ่นเสียงต่าง ๆ ที่เอามาลงนี้  ได้รูปมาจาก อตน. เสียส่วนใหญ่  แผ่นของตัวเองประมาณ 500 กว่าแผ่น  ผมขายไปเกือบหมด  เก็บไว้เฉพาะที่มีคุณค่าทางจิตใจ)


ในหนังมีเพลง Gospel ของโปรดแต่ไม่สามารถหา clip ใน youtube ได้  ได้แต่เพลง Blues ที่เพราะมาก  เพลงนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงฯ เช่นกัน  รวมถึงตัวคนร้อง Margaret Avery  บทนี้ไม่ได้มาถึงเธอทันที  มันโดนบอกปัดมาจากนักร้อง/นักแสดงชั้นนำในเวลานั้นหลายคนรวมถึง Dian Ross, Tina Turner, Pattie LaBelle

คนให้เสียงร้องคือ Tata Vega


ฉากพี่น้องพลัดพรากตอนต้นเรื่องก่อนที่ WG จะมารับบทพี่คนโตในตอนโต

บทน้องสาวเป็นของนักแสดงจาก Ghana ชื่อ Akosua Busia เธอรับเล่นทั้งตอนเด็กและตอนโต  ในชีวิตจริงเธอมีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าหญิง


ตอนจบพี่น้องและลูกหลานกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง  คนร้องไห้กันน้ำตาท่วมโรงฯ  ตอนหนังเลิกต้องลอยคอกันออกมาจากโรง  ตาแดงก่ำ



มีต่อ (อีกนิด)...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1067  เมื่อ 12 เม.ย. 22, 08:14

Whoopie Goldberg ได้เข้าชิง Oscar 2 ครั้ง  และได้หยิบในครั้งที่ 2 ในบทที่แตกต่างจากบทในครั้งแรก (The color purple) ลิบลับ  เธอได้จากบท Oda Mae Brown คนทรงเจ้า (ที่ในที่สุดก็ไม่) กำมะลอในหนังดังเรื่อง Ghost (1990)   บทของเธอเด่นที่สุดในเรื่องและนอนมาตั้งแต่เริ่มออกฉายว่าเธอต้องได้  Oscar แหง ๆ








ตัวอย่างหนัง



จบแต่เพียงเท่านี้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1068  เมื่อ 12 เม.ย. 22, 11:25

วูปึ้เป็นดาราผิวสีคนโปรดค่ะ   เธอเล่นอะไรก็น่ารักไปหมด  เล่นบทชีวิตก็น่าสงสาร  เล่นหนังนักสืบก็คล่องตัว 
เรื่องที่ดูซ้ำทางยูทูปคือ Sister Act  ภาษาไทยตั้งชื่อได้เจ็บปวดมากว่า นางสาวขีเฉาก๊วย
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1069  เมื่อ 13 เม.ย. 22, 09:40

มีดาราหนึ่งกลุ่มที่ผมไม่ชอบหน้าแบบที่เรียกว่าไม่ถูกชะตาโดยหาเหตุผลไม่ได้  หนึ่งในนั้นคือดาราอมตะนิรันดร์กาล Bette Davis  ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าเธอ  ตอนนั้นมีแต่รูปภาพ  ไม่ว่าจะเป็นรูปเธอตอนสาวที่ใคร ๆ ว่าสวยแค่ไหน  ผมมีความเห็นคงที่คือ  หน้าตาร้ายชะมัด  และไม่คิดอยากดูหนังของเธอ


(พยายามหารูปที่คิดว่าดูแล้ว ‘ไม่ร้าย’ ที่สุด)


แต่กิตติศัพท์ของเธอที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กเกี่ยวกับการแสดงที่สุดยอดขึ้นชื่อ เธอเคยได้รับเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 11 ครั้ง  (และได้มา 2) ในขณะที่บางคนเล่นจนแก่ตายไม่เคยได้แผ้วพานตากรรมการคัดเลือกชื่อเลยสักครั้ง ทำให้อยากรู้ว่าหนังที่เธอเล่นจะเป็นอย่างไร

วันหนึ่งช่อง TCM ก็เอาหนังเรื่องหนึ่งที่เธอได้ Oscar มาให้ดู  ชื่อว่า Jezebel (1939)  ความจริงหนังที่เธอได้ Oscar อีกเรื่องคือ Dangerous ก็มาฉาย  แต่ผมดูเรื่องนี้เรื่องเดียวก็อิ่มแล้ว

อ่านในปูมของนักวิจารณ์ Leonard Maltin อาวุธแนบกายที่ผมซื้อไว้สำหรับใช้ประกอบการดูหนังก่อน อตน. จะถือกำเนิด  เล่าว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสาวชาวใต้ที่ใช้ความสวยของตัวเองเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับคู่หมั้นจนเรื่องบานปลายเกินจะแก้ไขให้กลับคืนได้

แค่รู้เรื่องย่อก็ไม่อยากดูเสียแล้ว  แต่อย่างไรก็ต้องดูเพราะวิชา Bette Davis เป็นวิชาบังคับที่นักดูหนังฝรั่งทุกคนต้องเรียน

ผลปรากฏว่าก็สนุกดี  หน้าตาเธอดูแสบสัน  สมควรแล้วที่ผมจะไม่ชอบขี้หน้า (หมายเหตุ – พระเอกคู่หมั้น (มีเขา) คือ Henry Fonda พ่อของดาราดัง Jane และ Peter Fonda)




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1070  เมื่อ 13 เม.ย. 22, 10:30

 ชื่อ Jezebel  เป็นชื่อที่พ่อแม่ไม่นำมาตั้งเป็นชื่อลูกสาว   เพราะในพระคัมภีร์เก่า (และคัมภีร์ของฮีบรู)  ราชินีเจซเบลเป็นหญิงร้ายที่ก่อความพินาศแก่อิสราเอล ด้วยการต่อต้านพระเจ้า หันไปบูชาเทพนอกศาสนา และทำร้ายผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า  ชื่อนี้ต่อมาก็เลยมีความหมายถึงหญิงเลวร้ายสุดๆค่ะ
 พอเห็นชื่อหนังก็รู้ว่าคุณย่าเบตตี้ต้องได้รับบทหญิงอภิมหาร้ายแน่ๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1071  เมื่อ 13 เม.ย. 22, 10:34

คุณย่ามาเล่่นหนังอกาธา คริสตี้ ในหนังนักสิบ เจน มาร์เปิ้ลด้วยนะคะ  ดารานำคือ Helen Hayes

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1072  เมื่อ 14 เม.ย. 22, 09:12

ชื่อ Jezebel  เป็นชื่อที่พ่อแม่ไม่นำมาตั้งเป็นชื่อลูกสาว   เพราะในพระคัมภีร์เก่า (และคัมภีร์ของฮีบรู)  ราชินีเจซเบลเป็นหญิงร้ายที่ก่อความพินาศแก่อิสราเอล ด้วยการต่อต้านพระเจ้า หันไปบูชาเทพนอกศาสนา และทำร้ายผู้เผยแพร่พระวจนะของพระเจ้า  ชื่อนี้ต่อมาก็เลยมีความหมายถึงหญิงเลวร้ายสุดๆค่ะ
 พอเห็นชื่อหนังก็รู้ว่าคุณย่าเบตตี้ต้องได้รับบทหญิงอภิมหาร้ายแน่ๆ

หูยยยย.... กราบขอบพระคุณ 'จาร 30 ครั้ง  ที่อ่านใจออกครับ  ตอนเขียน  อยากขอความกรุณาให้ 'จาร ขยายความของคำนี้  แต่เกรงจะรบกวนสุขภาพ 'จาร ครับ  
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1073  เมื่อ 14 เม.ย. 22, 09:20

แล้วก็มาถึงเรื่อง All about eve (1950)  ที่ดูไม่ใช่เพราะ Bette Davis หรอก  แต่มันเป็นหนังที่ต้อง 'เรียน' ของฮอลลีวู้ดอีกหนึ่งเรื่อง  เป็นเรื่องเกี่ยวกับดาราละครเวที (Margo - BD) ในวัยเริ่มร่วงโรยกับเด็กหน้าใหม่ที่เธอรับอุปการะไว้ (Anne Baxter)  แล้ววันหนึ่งศิษย์ก็ล้างครู (หนังโบราณนี่ Plot สั้นดี)

ในช่วงแรก



ตำนานจากหนังเรื่องนี้  อยู่ที่คำพูดตอนหนึ่งที่กลายเป็นคำพูดอมตะจนถึงทุกวันนี้  มีคนนำมาใช้เสมอ ๆ เมื่อโอกาสอำนวย ส่วนใหญ่จะในสถานการณ์ตลกล้อเลียนซึ่งตรงข้ามกับบรรยากาศของต้นฉบับ: “Fasten your seatbelts. It’s gonna be a bumpy night (0.30)”  ผมจ้องตาไม่กระพริบว่าเจ้าหล่อนจะพูดในช่วงไหนของเรื่อง

(ผู้หญิงคู่กับ BD ตั้งแต่เริ่ม clip คือ นักแสดงระดับ Oscar คนหนึ่งชื่อ Celeste Holm)

(0.46 - สาวผมทองที่ขึ้นบันไดมาคือ Marilyn Monroe รับบทเป็นสาว dumb blonde  ตอนนั้นเธอเป็นดาราที่คนยังไม่รู้จักเท่าไร ผู้ชายคือ George Sanders ดารา Oscar ประกอบชายจากเรื่องนี้ในบทนักวิจารณ์ปาก (กา) จัด)

(1.05 - สาวที่ลงบันไดมาคือ Eve ศิษย์ล้างครู  แสดงโดย Anne Baxter)


อีกหนึ่งฉากของ MM ก่อนจะปรุงแต่งจนฉายแสงเจิดจ้า

0.29 - 'Oh, waiter...' 'That isn't a waiter, my dear. That's a butler' 'Well, I can't yell "Oh, butler," can I? Maybe somebody's name is Butler' 'You have a point'


ความลับของ Eve โดนเปิดโปงในที่สุด  แต่ก็ไม่ทำให้เธอยอมแพ้



ในที่สุดความทะเยอทะยานของ Eve ก็มาถึงฝั่งเมื่อเธอก้าวขึ้นมายืนในตำแหน่งที่ Margo เคยยืนมาก่อนได้สำเร็จ

2.00 - 'and it was Karen who first brought me to one whom I had always idolized and who was to become my benefactor and champion. A great actress and a great woman ... Margo Channing’

ดูหน้าของ Margo … ขนลุก (ถ้าผมจะแปลสีหน้าของเธอเป็นคำพูดก็ ... มึงงง  อีหน้าด้าน ...)



2.05 - Margo เข้ามาแสดงความยินดี: ‘nice speech, Eve. But I wouldn't worry too much about your heart. You can always put that award where your heart ought to be’


ฉากท้ายเรื่องไม่มีใน youtube    เมื่อในที่สุดกรรมก็ตามสนอง Eve ในลักษณะเดียวกับที่เธอเคยทำกับ Margo มาแล้ว... เปี๊ยบ  ประมาณ กงกำกงเกวียน


บทของหนังเรื่องนี้นำเสนอถ้อยคำขบกัดกันเมามันจนได้รับ Oscar เช่นเดียวกับตัวหนังเอง  ส่วนตัวนักแสดงได้รับเสนอชื่อกันพร้อมเพรียง 5 คน  เบ็ดเสร็จรวมทั้งหมดเข้าชิง 12 รางวัล


ตัวอย่างหนัง



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1074  เมื่อ 14 เม.ย. 22, 09:52

มีหนังเล็กๆเรื่องหนึ่ง ที่น่าจะได้อิทธิพลแนวคิดจากเรื่องนี้  ชื่อ  They Shoot Divas, Don't They? " (2002)
แต่ดัดแปลงเหตุผลและที่มานิดหน่อย

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1075  เมื่อ 15 เม.ย. 22, 08:41

มีหนังเล็กๆเรื่องหนึ่ง ที่น่าจะได้อิทธิพลแนวคิดจากเรื่องนี้  ชื่อ  They Shoot Divas, Don't They? " (2002)
แต่ดัดแปลงเหตุผลและที่มานิดหน่อย



นักแสดงนำ Jennifer Beals เคยเปิดตัวอย่างก้องโลกในปี 1983 จากบทสาวชั้นกรรมาชีพที่ไฝ่ฝันอยากเป็น ballerina มืออาชีพ  poster ของเธอจากเรื่องนี้ติดอยู่ที่ฝาห้อง (นอน + น้ำ) ของชายหนุ่มทุกคน (อย่างน้อยก็ที่อเมริกา)

ฉากเด่นอยู่ตอนท้ายของเรื่อง  พนันได้ว่าพอหนังจบ  สาวทุกคนที่เดินออกมาจากโรงฯ ต้องกำลังนึกภาพตัวเองในท่าระเหิดระหงแบบที่ JB แสดงอยู่ในฉาก  เพราะหนังจบห้วน ๆ  ทำใจให้กลับมาสู่ความเป็นจริงไม่ทัน

เพลง Flashdance (What a feeling) ก็ดังสนั่นไปครึ่งค่อนโลกจากเสียงของ Irene Cara


ตัวอย่างหนัง


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1076  เมื่อ 15 เม.ย. 22, 09:06

ยาวหน่อย... ไม่อยากค้างไปอาทิตย์หน้า

เกร็ดเด่น ๆ ของดาวค้างฟ้า Bette Davis




รายการโชว์ทางทีวีที่อเมริกาในยุค 80s  เริ่มบัญญัติกฎห้ามทุกคนสูบบุหรี่ต่อหน้ากล้อง  วันหนึ่ง Bette Davis ได้รับเชิญไปออกรายการ  ระหว่างออกอากาศจู่ ๆ เธอก็เปิดกระเป๋าถือแล้วควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอย่างสบาย ๆ  พิธีกรและแขกคนอื่น ๆ ทำหน้าตาเลิ่กลั่กต่อภาพที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด  เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการบอกกล่าวกันแล้ว

เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบกระซิบบอกเจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ใกล้เธอให้ดับบุหรี่เสีย  แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นทำเฉย  เธอมาบอกทีหลังว่า ไม่กล้า  ไม่มีใครกล้าสั่ง Bette Davis


ในหนังสือประวัติของ Bette Davis เขียนโดย Ed Sikov นักเขียน (รับจ้าง) ประวัติชีวิตคนดัง เขียนว่าหมอฟันส่วนตัวของเธอเล่าว่า  นิ้วเธอจะคีบมวนบุหรี่ตลอดเวลา  ระหว่างคอยคิวเธอก็สูบ  พอถึงคิว  เธอขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ทำฟันแล้วก็ยังควักบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ

เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่า  ถ้าไม่สูบบุหรี่  คนจะไม่รู้ว่านี่คือ Bette Davis  ปกติ BD สูบบุหรี่ 4 ซองต่อวัน



เมื่อ 1982 – เธอเล่าเรื่องประโยชน์ของระบบ Studio System ที่ทำให้เกิดยุคทองของฮอลลีวู้ด  เท่าที่ได้อ่านเรื่องของดาราในยุคทอง  พอเอ่ยถึง Studio System  ทุกคนกล่าวถึงความดีของระบบนี้กันทั้งนั้น  ที่จำแม่นคือ Robert Taylor ชมว่าถ้าไม่มีระบบนี้เธอไปไม่รอดเพราะความสามารถในการแสดงของเธอมีจำกัด ระบบฯ ช่วยให้เธอมีงานทำต่อเนื่องไม่ขาด  แต่ขอเพียงอย่างเดียวคือ  อย่ารั้นอย่าดื้อ (กรณีดื้อรั้นจนตัวพังที่ดังมากคือกรณีของพระเอกหนุ่มหล่อ Tab Hunter)


Bette Davis เคยสร้างประโยคที่ต่อมาเป็นประโยค signature ของเธอ คือ 'What a dump'  Elizabeth Taylor เคยนำมาใช้ในหนังเรื่องหนึ่งซึ่งกระพือให้คนอื่น ๆ เริ่มกลับมาสนใจประโยคนี้ (สังเกตภาพบุหรี่ที่เธอคีบมีปรากฏในทุกที่)



Henry Graham Greene, an English writer and journalist regarded by many as one of the leading English novelists of the 20th century สรุป Bette Davis ไว้ว่า...

…Even the most inconsiderable film ... seemed temporarily better than they were because of that precise, nervy voice, the pale ash-blond hair, the popping, neurotic eyes, a kind of corrupt and phosphorescent prettiness ... I would rather watch Miss Davis than any number of competent pictures…

เรื่อง ดวงตา ของเธอเคยมีคนแต่งเพลงพาดพิงเอาไว้  ต่อมากลายเป็นเพลงอันดับ 1 นาน 9 สัปดาห์ที่ดังคับโลก Bette Davis eyes ร้องโดยสาวเสียงแหบ Kim Carnes  ในยุคนั้นทุกรายการเพลงฝรั่งบ้านเราเปิดกันจนผมต้องออกไปหาซื้อแผ่นฯ มาฟัง ขี้เกียจฟังจากวิทยุ




(ชื่อ Harlow ที่เอ่ยในตอนต้นเพลงคือ Jean Harlow อีกหนึ่งดาราแม่เหล็กในยุคทองของฮอลลีวู้ด... กำลังรอคิวลงอยู่)


ข่าวเล่าว่า  ตอนเพลงนี้ดังระเบิดเถิดเทิง  BD ซึ่งตอนนั้นอายุ 73  ส่ง จม. ไปขอบคุณทั้งคนแต่งและคนร้องที่ช่วยทำให้ชื่อของเธอกลับมาเป็นที่รู้จักกันอีกครั้งในโลกยุคใหม่  เธอบอกว่ารู้เรื่องจากหลานชายซึ่งตื่นเต้นมากที่มีคนเขียนเพลงเกี่ยวกับย่า (หรือ ยาย ก็ไม่รู้)


ชื่อ Bette ของเธอเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อลูกของพ่อแม่ของดารา/นักแสดง/นักร้องชั้นนำอีกคนหนึ่งของโลกคือ Bette Midler  โดยเขียนเหมือนกันแต่อ่านออกเสียงต่างกัน  Bette (Davis) อ่านว่า เบ็ตตี้   แต่ Bette (Midler) อ่านว่า เบ็ต


สมัยยังสนุกสนานอยู่กับ ซี้คลาสสิก เธอเคยเล่าเรื่องหนึ่งของ Bette Davis ให้ฟัง  เนื่องจากเธอมีความรู้เกี่ยวกับ (เรื่องเล้นลับของ) ดาราในยุคทองมาก  ผมก็ฟังอย่างตั้งใจ

เธอเล่าว่า ตามข่าวหนาหูที่ว่า BD ไม่ถูกชะตากับ Joan Crawford (... รอคิวแป๊บ) นั้น  คนวงในรู้กันว่า  ความจริงแล้วเธอไม่ลงรอยกับดารา Miriam Hopkins (อีกหนึ่งดาราใหญ่ในยุคทองที่บ้านเรารวมถึงผม (ถ้าไม่มี ซี้คลาสสิก) ไม่รู้จัก ความสามารถในการแสดงของเธออยู่ระดับเข้าชิง Oscar) มาก่อน

ทั้ง 2 อยู่ร่วมยุคกันและมาจากเวทีละครทั้งคู่  MH ก้าวเข้ามาเล่นหนังฮอลลีวู้ดก่อนและดังกว่า  พอ BD ก้าวตามเข้ามาและได้ตุ๊กตาทอง ความดังเลยกลบ MH  สองสาวก็เริ่มไม่ถูกชะตากัน  ต้นเหตุก็มาจากความขี้อิจฉา

MH เคยเล่นบทนำในเรื่อง Jezebel เป็นละครเวที  แต่ฉบับละครไม่ประสบผลสำเร็จ  พอมีคนนำมาทำเป็นหนังแล้วให้ BD เล่นแทน  ทำให้เธอได้ Oscar เป็นตัวที่ 2  MH ก็เต้นผาง ๆ  นอกจากนี้ก็มีเรื่องฝอย ๆ เช่นแย่งผู้ชายกัน ฯลฯ

เรื่องความไม่กินเส้นกันของ 2 ดาราใหญ่อยู่ในสายตาของฮอลลีวู้ด  ซึ่งเห็นว่าควรจะเอามาผันเป็นเงินได้ก็เลยจับ 2 คนมาเล่นหนังด้วยกัน   มีทั้งหมด 2 เรื่อง  เรื่องที่ ซี้คลาสสิก ชอบมากคือ Old Acquaintance (1943 – ชีวิตของ 2 นักเขียนที่เป็นเพื่อนกันแต่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน) โดยเฉพาะฉากนี้


0.58…
BD: What did you tell Deirdre about Rudd and me?

MH: I told her that you were going to be married. Why?

BD: What did you tell her that for? Since I haven't even told him myself yet... I should have thought it was a little premature. But that certainly couldn't have upset her.  It must have been something else. What was it?

MH: You set yourself up as a paragon of virtue to that girl and it was my duty, as her mother, to open her eyes.

BD: So that's what you told her. Millie, why did you do that? Why should you?

MH: Why shouldn't I? Haven't you done enough to me?

BD: What have I done to you?

MH: Don't you remember?

BD: Remember what?

MH: You, my so-called best friend and Preston, my husband. Surely you remember that?

BD: I do, distinctly.

MH: Then you don't pretend that you've forgotten taking him away from me? (อิงจากเรื่องจริงของทั้ง 2 สาว)

BD: Millie, where did you hear such nonsense?

MH: Never mind. You didn't think I'd ever find out, did you?

BD: There's nothing to find out, Millie.

MH: Don't try to squirm out of it. Why, there hasn't been a man yet you haven't carried on with if you've had half a chance.

BD: Millie, have you gone stark staring mad?

MH: No. You took my life and broke it. You were at the bottom of this whole thing and I hate you for it.

BD: Millie, if that weren't so stupid, it would be funny. You don't really believe these things, I know you don't.

MH: How could I have been so blind? You've coveted everything that I've ever had, always.

BD: All right, Millie. You've been asking for this for years. I'm going to have to tell you something that I hoped I'd never have to tell you. You don't care at all about having lost Preston. If it had been any other woman you never would have given it a second's thought. You only cared because it was me, because you're jealous of me. You've always been jealous of me. You've been jealous of my career, of the kind of life that I lead. You're even jealous of Deirdre's affection for me. That's why you told her about Rudd and me today. Millie, you've done some pretty bad things in your life but this is the worst yet. Even if you didn't care how much you hurt me you might at least have given a thought to what it would mean to Deirdre to have her faith in me shaken.

I'd better get out of here, Millie, before I do something I'll be very sorry for.

MH: Yes, go! Go! And if you think I want you to come back again, ever, you're wrong!

BD: You need have no worries on that score.

MH: And as you've taken everything else I've ever cared for in my life you might as well take Deirdre, too, since she's so fond of you.

BD: And don't think I couldn't have, many times.

MH: All right, go ahead and leave me alone, all of you. But you can't take my work away from me. That, at least, is inviolate (= undamaged แบบว่ามันไม่มีชีวิตจิตใจ  จะแย่งชิงไปจากชั้นทำไม). Well, why don't you go?

BD: In just a minute…. Sorry.

วงในเล่าว่า BD ‘เอ็นจอย’ ฉากนี้อย่างมหันต์

ในชีวิตจริง MH ตายก่อน  ในเวลาต่อมาเมื่อต้องพาดพิงถึงคู่กัด BD จะเอ่ยสั้น ๆ ว่า MH เป็นนักแสดงชั้นดี  นอกเหนือจากนั้น ‘She’s a real bitch!’




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1077  เมื่อ 15 เม.ย. 22, 09:35

อ้างถึง
นักแสดงนำ Jennifer Beals เคยเปิดตัวอย่างก้องโลกในปี 1983 จากบทสาวชั้นกรรมาชีพที่ไฝ่ฝันอยากเป็น ballerina มืออาชีพ  poster ของเธอจากเรื่องนี้ติดอยู่ที่ฝาห้อง (นอน + น้ำ) ของชายหนุ่มทุกคน (อย่างน้อยก็ที่อเมริกา)

ฉากเด่นอยู่ตอนท้ายของเรื่อง  พนันได้ว่าพอหนังจบ  สาวทุกคนที่เดินออกมาจากโรงฯ ต้องกำลังนึกภาพตัวเองในท่าระเหิดระหงแบบที่ JB แสดงอยู่ในฉาก  เพราะหนังจบห้วน ๆ  ทำใจให้กลับมาสู่ความเป็นจริงไม่ทัน
ดูเรื่องนี้ค่ะ  แต่จำ JB  ไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกัน
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 1078  เมื่อ 18 เม.ย. 22, 08:58

อ้างถึง
นักแสดงนำ Jennifer Beals เคยเปิดตัวอย่างก้องโลกในปี 1983 จากบทสาวชั้นกรรมาชีพที่ไฝ่ฝันอยากเป็น ballerina มืออาชีพ  poster ของเธอจากเรื่องนี้ติดอยู่ที่ฝาห้อง (นอน + น้ำ) ของชายหนุ่มทุกคน (อย่างน้อยก็ที่อเมริกา)

ฉากเด่นอยู่ตอนท้ายของเรื่อง  พนันได้ว่าพอหนังจบ  สาวทุกคนที่เดินออกมาจากโรงฯ ต้องกำลังนึกภาพตัวเองในท่าระเหิดระหงแบบที่ JB แสดงอยู่ในฉาก  เพราะหนังจบห้วน ๆ  ทำใจให้กลับมาสู่ความเป็นจริงไม่ทัน
ดูเรื่องนี้ค่ะ  แต่จำ JB  ไม่ได้เลยว่าเป็นคนเดียวกัน


ดวงทางการแสดงไม่ดีหรือเลือกบทไม่เก่งครับ  ต่อยอดความดังไม่ได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1079  เมื่อ 18 เม.ย. 22, 09:06

แพ้สังขารมั้งคะ
พอเปลี่ยนจากสาวน้อยเป็นสาวใหญ่  เจนนิเฟอร์ก็ขาดเสน่ห์อย่างที่เคยมีใน Flash Dance

ชะตากรรมนี้ ดาราสาวร้อยละร้อยหลีกเลี่ยงไม่ได้   ขึ้นอยู่กับว่าจะยืดเวลาไปได้นานสักแค่ไหนเท่านั้น
ตั้งแต่ขึ้นทศวรรษมา 2 ปี  ดาราสาวที่เคยโดดเด่นด้วยเสน่ห์ประจำตัว อย่างจูเลีย โรเบิร์ต  คาเมรอน ดิแอซ นิโคล คิดแมน  รีส วิเธอร์สปูน แม้แต่แอน แฮทธาเวย์   ก็ทยอยกันดับแสงไปหมดแล้ว 
บางดวงก็ดับไปก่อนหน้า  อย่างเดมี่ มัวร์ ตอนเล่นหนังใหม่ๆ สวยบรรเจิดมาก ตอนนี้ก็...คุณโหน่งเติมคำเอาเอง
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 70 71 [72] 73 74 ... 77
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.104 วินาที กับ 19 คำสั่ง