เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 150 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 15:54
|
|
"ผู้มีชื่อ" ในจดหมายนี้คือใครหรือครับ อ่านความตามคำให้การแลหนังสือร้องทุกข์ คำว่า "ผู้มีชื่อ" น่าจะหมายถึง "คน, คนผู้หนึ่ง" นั่นแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 151 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 17:15
|
|
ณ วันพฤหัสบดี แรม ๑๓ ต่ำ เดือน ๔ ปี ระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พศ. ๒๔๒๘ เวลาย่ำรุ่งแล้ว (๖กท.) ออกจากที่พักแรมป่าเมี่ยง ขึ้นเขาไปอีก ขึ้นสูงไปทุกที ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 152 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 17:27
|
|
เวลาเช้า ๑ โมง (๗กท.) ถึงยอดเขาภูฟ้า ได้หยุดพักถ่ายรูปเมื่อขึ้นไปอยู่บนยอดเขา แลไปทั้ง ๔ ทิศเห็นมีแต่ภูเขาดุจลูกคลื่นในทะเล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 153 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 18:25
|
|
เห็นภาพแล้วเดาไม่ถูกว่า สมัยพระนายไวยฯเดินทัพผ่านเทือกเขาเหล่านี้ สภาพป่าจะเหมือนดังภาพที่ถ่ายในยุคปัจจุบันหรือเปล่า ได้ยินว่าทางลาวก็มีขบวนการโค่นไม้ทำลายป่าเช่นกันแต่คิดว่าไม่น่าจะหนักกว่าเมืองไทย แต่นึกว่าสมัยรัชกาลที่ ๕ ป่าจะดิบกว่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 154 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 18:29
|
|
แต่ภาพนี้ ลักษณะป่าเขาก็คล้ายๆกับภาพถ่ายเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 155 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 20:00
|
|
เห็นภาพแล้วเดาไม่ถูกว่า สมัยพระนายไวยฯเดินทัพผ่านเทือกเขาเหล่านี้ สภาพป่าจะเหมือนดังภาพที่ถ่ายในยุคปัจจุบันหรือเปล่า ได้ยินว่าทางลาวก็มีขบวนการโค่นไม้ทำลายป่าเช่นกันแต่คิดว่าไม่น่าจะหนักกว่าเมืองไทย แต่นึกว่าสมัยรัชกาลที่ ๕ ป่าจะดิบกว่านี้
ตามหนังสือประวัติฯ กล่าวว่า เมื่อช้างมาถึงเมืองงอยนั้นช้างบอบช้ำมาก และการเดินทางจากเมืองงอยไปเมืองซ่อนนั้นให้นำของหนักบรรทุกทางแพล่องแม่น้ำไปยังเมืองซ่อน และให้ช้างบรรทุกของเบาๆ เพื่อทำการผ่อนแรง ประกอบกับฤดูฝนด้วยทำให้การเดินทางยากลำบาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 156 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 22:50
|
|
จากบันทึกของพระนายไวยฯ "ลงจากยอดเขาภูฟ้าต่ำลงเป็นชั้น ๆ ทางนี้ไม่มีน้ำ บนเขามีแต่ป่าไม้ไผ่ ไปจนถึงเวลาบ่าย ๒ โมง ๓๐ นาที (๒ง๓๐ ลท.) ถึงที่ห้วยน้ำมี"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 157 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 22:57
|
|
จากบันทึกของพระนายไวยฯ "หยุดพักแรม ๑ คืน เขาที่อยู่ใกล้น้ำนี้ไม่มีไม้อื่น มีแต่ไม้ไผ่และหญ้าทั้งสิ้น"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 158 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 22:59
|
|
ตอนที่ผมกับคณะมาถึงห้วยน้ำมี ฝนตกหนัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 159 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 23:04
|
|
ห้วยน้ำมีตอนที่ผมเข้าไปสำรวจหาที่ยั้งทัพของพระนายไวยฯ ผมพบว่าบ้าน นีไม่มีไฟฟ้า ไม่มี TV ไม่มี internet สิ่งเดียวที่ให้ความบันเทิงก็มาจากเพศตรงกันข้าม เช่นบ้านนี้ แม่บ้านยังเป็นเด็กอยู่แต่มีลูกเป็นโขลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 160 เมื่อ 21 ก.พ. 18, 23:35
|
|
จากบันทึกของพระนายไวยฯ "ณ วันศุกร์ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ ปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ พศ. ๒๔๒๘ เวลาย่ำรุ่ง ๑๕ นาที (๖.๑๕ กท.) ยกออกจากห้วยน้ำมีเดินขึ้นเขาสูงไปหลายลูก เวลาบ่าย ๒ โมง (๒ ลท.) ถึงที่กาสุม พักแรม ๑ คืน" พระนายไวยฯ มีคำปรารภในสมุดพกอีกฉบับหนึ่ง ดังได้คัดลงไว้ดังต่อไปนี้ " ตั้งแต่ออกจากเมืองงอยก็ถูกฝนตามทางจนถึงเมืองซ่อน ทางที่มาเดินยากเป็นที่สุด ขึ้นเขาลงห้วยลงจากเขาแต่ละที หนทางลื่นเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนช้างม้าและโคต่างก็ล้มลุกคลุกคลานมาตามทาง ช้างนั้นจะต้องเฉาะเขาเป็นขั้นบันไดให้ขึ้นลง ถึงคังนั้นช้างก็ยังตกเขาตาย น่ากลัวเป็นที่สุด" เรื่องทางลื่นนี้คณะของผมเจอมาแล้วตรับ ตอนที่อยู่ที่ห้วยน้ำมีเกิดฝนตกหนัก ถนนกลายเป็นขี้ตมตลอดสาย รถของพวกเราต้องเร่ง ออกจากห้วยน้ำมีเพื่อไปให้ถึงกาสุม (เป็นภาษาขมุพื้นบ้านครับ) รถของผมลื่นตกลงไปในร่องทำให้ลื่น รถหมุนจะตกลงหน้าผาที่มี ความลึก 200 เมตร แต่ยังโชคดีที่รถหมุนไปปะทะกอไผ่ทำให้ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น มันทำให้ผมเข้าใจบันทึกของพระนายไวยฯ ขึ้นมาทัน ทีเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 161 เมื่อ 22 ก.พ. 18, 00:02
|
|
แผนที่จะไให้ถึงกาสุมเป็นอันล้มเลิก เราใช้รถอีกคันแล่นไปถึงเมืองที่ใหญ่ ที่สุดคือเมืองบ้านโดน ซึ่งเป็นเมืองของพวกขมุ ว่าจ้างรถอีแต๋นที่พวกขมุใช้ขนไม้ จากในป่าให้ไปช่วยลากรถที่ติดอยู่ริมหน้าผา ต้องจ้างพวกขมุให้เอาจอบเอาเสียม มาขุดรถให้ขึ้นจากหล่ม (ใต้ท้องรถจมตม ต้องขุดเอารถขึ้นมา) ค่าจ้างรวมทั้งหมด สองหมื่น และไม่ใช่สองหมื่นกีบแต่เป็นสองหมื่นบาทครับ ในขณะที่ทีมไปกู้รถผมก็พักอยู่ที่หมบ้านโดน ซึ่งขณะนั้นกำลังมีตลาดนัดอยู่พอดีจึงมี ผู้คนมากมาย จะมีคนญวนเอาของใส่ท้ายรถเครื่องมาวางขายที่ตลาดนัด และมีอาหาร ขายกินกันตายได้ อาหารพื้นๆ ก็คือเฝอ แต่จะเป็นเฝอเนื้อควาย เอ้าเนื้อควายก็เนื้อควาย เวลาหิวกินได้ทั้งนั้นแหละครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 162 เมื่อ 22 ก.พ. 18, 07:07
|
|
ขอบพระคุณครับ ดึกดื่นแล้วท่านยังอุตส่าห์มาตอบกระทู้ ภาพนี้น่าสนใจ รอยบาดแผลที่ปรากฏบนภูเขาไม่ได้เกิดจากใครมาระเบิดหิน หรือทำเหมืองลูกรังไปขายผู้รับเหมาทำถนน แต่เป็นการถล่มของดิน (landslide) ตามธรรมชาติ เมื่อปีใดเกิดฝนตกหนักผิดปกติ
แสดงว่าเนื้อดินบนเขาแถบนี้เป็นดินลูกรัง มิน่าจึงไม่มีไม้ใหญ่ๆมากนัก แต่ต้นไม้ใหญ่จะมาขึ้นเป็นป่าดิบในบริเวณหุบเขา ซึ่งเป็นที่สะสมของตะกอนดินอันเป็นโอชะของพืช รวมถึงบริเวณที่ราบชายเขาที่กลายมาเป็นไร่นาสวนของชาวบ้านด้วย
ท่านโชคดีที่ได้ไปที่นั่นในปีนั้น เพราะฝนที่ตกขนาดเกิดดินถล่มคงไม่ได้มีทุกปีขอรับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 163 เมื่อ 22 ก.พ. 18, 08:44
|
|
ไม่แน่ใจว่า บริเวณที่สมัยนี้เต็มไปด้วยรีสอร์ทตรงจุดที่ผมวงกลมไว้ จะเป็นที่ตั้งค่ายกองทหารไทยในสมัยโน้นหรือไม่ครับ
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
cinephile
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 164 เมื่อ 22 ก.พ. 18, 10:06
|
|
แม่นแล้วล่ะครับ ค่ายเมืองงอยของพระนายไวยฯ จริงๆ ด้วย ภาพนี้ถ่ายจาก resort ริมแม่น้ำอูครับ จะเห็นเกาะในแม่น้ำอู ชัดเจนครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|