คุณนริศถามถึงระยะเวลาเดินทัพของพม่าเข้ามาจนถึงอยุธยาว่ากินเวลาเท่าไหร่ ดิฉันไปเจอกระทู้เก่าของคุณม้า CrazyHOrse บอกวันเดือนปีการยกทัพไว้เสร็จสรรพ
สงสัยคุณม้าลืม ดิฉันก็ลืม เลยไม่ได้ตอบเสียตั้งแต่แรกที่คุณนริศถาม
กลับมาคิดทบทวนอีกที เรื่องพม่าตีเชียงใหม่ ที่ผมตั้งข้อสังเกตว่าพงศาวดารไทยระบุปีผิด เร็วไปสองปีนั้น เป็นไปได้เหมือนกันว่าอาจเป็นศึกคนละครั้ง พระเจ้ามังลอกอาจจะเคยยกมาปราบเชียงใหม่ครั้งหนึ่งเมื่อปีพ.ศ.๒๓๐๔ แล้วเกิดกบฏให้พระเจ้ามังระมาปราบอีกครั้งในปี ๒๓๐๖ แต่ที่พงศาวดารไทยบอกว่า ๒๓๐๔ ให้มองหม่องราชบุตรพระเจ้ามังลอกเป็นคนนำทัพมานั้น อันนี้ผิดแน่นอน เพราะตอนนั้นมองหม่องยังไม่เกิดเลย ตอนพระเจ้ามังลอกสวรรคตปลายปี ๒๓๐๖ มองหม่องเพิ่งจะอายุได้ ๒ เดือนเท่านั้นเองครับ
อีกเรื่องหนึ่ง ผมเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ว่าพระยาเพชรบุรีตายในสงครามคราวเสียกรุงนี้ แต่ถ้าจดหมายของบริโกต์ถูกต้อง ก็มีพระยาเพชรบุรีคนใหม่แล้วครับ จะว่าไปหลักฐานก็รับกันดี เพราะพระยาเพชรบุรีผู้นี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อการที่สนับสนุนกรมหมื่นเทพพิพิธมาแต่ต้นครับ นอกจากนี้ ฝ่ายคู่กรณี จมื่นศรีสรรักษ์ น้องชายเจ้าจอมเพง ที่คิดว่าหมดบทบาทไปแล้ว พอละเลียดอ่านก็เจอเรื่องที่น่าสนใจและน่าแปลกใจเข้าให้ ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้น โปรดติดตามต่อไปครับ
มีนาคม ค.ศ.๑๗๖๕
บริโกต์ว่าพม่ายกทัพจากทวายมาตี เพชรบุรีและกาญจนบุรีแตก แล้วพม่ามาตั้งทัพที่ Michong เป็นที่แม่น้ำสองสายมาชนกัน (เข้าใจว่าน่าจะเป็นปากแพรกตรงเมืองกาญจนบุรีในปัจจุบัน) แต่พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศว่าพม่ายกมาตีทางนี้ในอีกราว ๒ เดือนต่อมา
๗ เมษายน ค.ศ.๑๗๖๕
บริโกต์ว่าตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเดือนมิถุนายน ทางอยุธยาเตรียมการรับศึก ระหว่างนี้มีคนบ้านนอกอพยพเข้ามาในกรุงจำนวนมาก
๑๙ พฤษภาคม ค.ศ.๑๗๖๕
บาทหลวงฝรั่งเศสแคแฮแว ระบุว่าคิดหนีจากกรุงศรีอยุธยา แต่เรือออกไม่ได้เพราะพม่ายกมา (ไม่ได้บอกว่าไทยไม่ให้ออก ให้่ทัพพม่าคุมเส้นทางไว้ได้แล้ว) ระหว่างนี้มีพระบรมราชโองการผ่านเจ้าพระยาพระคลังให้แคแฮแวช่วยทำป้อมและฝึกทหารยิงปืนใหญ่ แคแฮแวไม่อยากช่วย แต่จำใจต้องทำเพราะเพื่อนบาทหลวงต้องการให้เอาใจทางไทยไว้ เพื่อจะขอรับพระราชทานที่ดินมาทำโรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง
พฤษภาคม-มิถุนายน ค.ศ.๑๗๖๕ (เดือน ๗ พ.ศ.๒๓๐๘)
พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศว่า มังมหานรทาให้แจ้วไปทางอังวะว่าตีทวายได้แล้ว เห็นควรจะไปตีอยุธยาต่อไป พม่ายกเข้ามาตีเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี พงศาวดารฉบับบริติชมิวเซียมขยายความว่า "ให้เจ้าพระยานครศรีธรรมราชเร่งยกออกไปปิดทางข้างเมืองมะริดไว้ แล้วให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพใหญ่ ถือพล ๑๕,๐๐๐ ยกออกไป ตั้งรับที่เมืองราชบุรีทัพ ๑ เพชรบุรีทัพ ๑ แก่งตั้งทัพ ๑ พระยากลาโหมคุมคน ๗,๐๐๐ ยกไปตั้งรับทางท่ากระดาน ๆ นี้พม่าหาได้ยกมาไม่ ให้พระยามหาเสนาคุมพล ๑๒,๐๐๐ ยกไปตั้งรับนครสวรรค์ พระยาอำมาตยคุม์พล ๑๕,๐๐๐ ยกไปตั้งรับไว้ชัยนาท ฝ่ายกองทัพพม่าก็ยกตีดาเข้ามาทุกทาง" (ท่ากระดานเป็นตำบลในเส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ น่าสังเกตว่าทางนครสวรรค์และชัยนาทยังไม่น่าจะมีทัพพม่ามาถึงตอนนี้)
พม่าตีเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ได้แล้วมาบรรจบกันที่ลูกแก ตั้งค่ายที่ตอกระออมและดงรังหนองขาว (หนองขาวอยู่ในจังหวัดกาญจนบุรี อยู่ระหว่างเส้นทางบกที่สำคัญ ส่วนตอกระออมไม่ทราบว่าอยู่ไหน แต่พบว่ามีคอกระออมอยู่ในแม่น้ำเพชรบุรี ดูจะไกลไปหน่อย แต่อยู่ในเส้นทางเดินทัพจากตะนาวศรีผ่านช่องสิงขรจะไปเมืองเพชรบุรีได้สะดวก)
ฝ่ายไทยเกณฑ์ทัพหัวเมืองปากใต้ตั้งรับที่บำหรุ ทัพเรืออยู่บางกุ้ง ทัพพิษณุโลกตั้งวัดภูเขาทอง ทัพโคราชตั้งวัดเจดีย์แดง แล้วให้พระยาธารมาคุมทัพโคราชลงมาตั้งรับที่ธนบุรี (พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบอกว่าบำหรุอยู่ราชบุรี ในขณะที่การรับรู้โดยทั่วไปบำหรุคือบางบำหรุตอนเหนือของบางกอกน้อย)
พระยาพิษณุโลกให้พระยาพลเทพกราบทูลพระกรุณา ลากลับขึ้นไปปลงศพมารดา ให้หลวงโกษา พระมหาดไทย หลวงเทพเสนา คุมกองทัพอยู่ณวัดภูเขาทองแทน
ปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ.๑๗๖๕
บริโกต์บอกว่า สังฆราชฝรั่งเศสเห็นว่าไม่พ้นอันตราย ให้แคแฮแวกับอาโต พานักเรียนหนีไปจันทบุรี หลังจากนั้นไม่นานไทยปิดด่าน ห้ามเข้าออก
สิงหาคม-กันยายน ค.ศ.๑๗๖๕ (เดือน ๑๐ พ.ศ.๒๓๐๘)
พงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศบอกว่า พม่ายกมาตีค่ายบางบำหรุแตก แล้วยกมาตีกรุงธนบุรีได้ พักพลที่วัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฏ์) ๓ วัน แล้วเลิกทัพกลับไปคอกระออม บริโกต์บันทึกไว้ตรงกันว่าพม่าทำลายป้อม เผาสวนและบ้านเรือนที่บางกอก
๒๕ กันยายน ค.ศ.๑๗๖๕
พงศาวดารพม่าว่า เนเมียวสีหบดีคุมพลพม่าล้านนาล้านช้างรวมกัน ๔๐,๐๐๐ ยกลงมาจากเชียงใหม่ ตีหัวเมืองรายทาง สวรรคโลก สุโขทัย พิชัย พิจิตร
เดือน ๑๒ ตุลา-พฤศจิกายน ค.ศ.๑๗๖๕
พงศาวดารพม่าว่า มังมหานรธายกทัพพม่ามอญทวายรวมกัน ๓๐,๐๐๐ มาทางด่านเจดีย์สามองค์
สรุปได้ว่าการศึกในช่วงหน้าแล้งของปีนี้ พม่ายกมาทำการจากทางใต้ก่อน โดยยกมาจากทวายผ่านตะนาวศรีเข้ามาทางด่านสิงขร ตีเมืองเพชรบุรี ราชบุรี และกาญจนบุรี รวมถึงเมืองเล็กน้อยทั้งทางใต้และในเส้นทางด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อเปิดเส้นทางรอรับทัพใหญ่ที่มังมหานรทาจะยกตามมา ทั้งนี้หากพม่าเข้ามาในเดือน ๗ จริง ก็เป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะมาทำการเอาตอนฤดูน้ำหลากใกล้จะมาถึงแล้ว จะมีเวลาน้อย (ปกติฤดูน้ำหลากจะเป็นราวเดือน ๘ จนถึงเดือน ๑๒) เป็นไปได้ว่าพม่าเข้ามาในเดือนมีนาคม (ราวเดือน ๔ - เดือน ๕) อย่างที่บริโกต์ว่า โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะทำลายหัวเมืองทางใต้เพื่อเปิดเส้นทางให้ทัพของมังมหานรทายกตามมาได้สะดวก นอกจากนี้ก็คงเพื่อรอเนเมียวสีหบดีให้เสร็จศึกปราบกบฎที่เชียงใหม่ยกทัพลงมาสมทบกันเมื่อพ้นฤดูน้ำหลากด้วย
น่าสังเกตว่าระหว่างฤดูน้ำหลากนี้ พม่าพยายามใช้ทัพเรือโจมตีทางด้านใต้ โดยสามารถตีเมืองธนบุรีได้ แต่คงจะไม่สามารถรักษาไว้ได้นาน พงศาวดารข้างไทยบอกพม่าเลิกทัพมา แต่การศึกหลังจากนี้จะเห็นได้ว่าไทยกลับมาควบคุมเมืองธนบุรีไว้ได้อีกแล้ว