เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 8145 เจ้าพระยาธรรมาธิกรณฯ ในอดีต
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 18 ก.ค. 17, 17:10

      ในแผ่นดินรัชกาลที่ 1  ท่านบุญรอดดวงชะตาพุ่งสูง ได้รับตำแหน่งใหญ่เป็นเสนาบดีกรมวัง  บรรดาศักดิ์คือเจ้าพระยาธรรมาธิกรณบดี    
     คนที่จำประวัติศาสตร์ช่วงตั้งกรุงรัตนโกสินทร์คงนึกออกว่า  ศึกใหญ่สุดในแผ่นดินนี้คือศึก 9 ทัพของพระเจ้าปดุง ซึ่งได้ทำศึกชนะเมืองใกล้เคียงต่างๆ จำนวนมาก จึงคิดตีอาณาจักรรัตนโกสินทร์เพื่อให้มีเกียรติยศดังพระเจ้าแผ่นดินของพม่าในอดีต    พระองค์จึงจัดกองทัพใหญ่เป็น 9 ด้วยกัน  รวมพล 144,000 คน แยกย้ายกันมาหลายสาย  ยกเข้ามาตีกรุงรัตนโกสินทร์ในปีมะเส็ง พ.ศ.2328   ในช่วงนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเพิ่งจะทรงขึ้นครองราชย์ได่เพียง 3 ปี
    ไทยมีกำลังพลน้อยกว่าพม่ามาก  เรียกได้ว่าครึ่งต่อครึ่ง  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯและกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาท ทรงดำเนินการศึกแบบใหม่   ไม่ตั้งรับอยู่ในเมืองหลวงอย่างสมัยกรุงศรีอยุธยา  แต่จัดทัพออกไปรับพม่าตั้งแต่ยังไม่ทันเข้ามาถึงเมืองหลวง   โดยแยกย้ายกันไปเป็นทัพเล็กทัพน้อยหลายสายเช่นกัน    การศึกแบบหนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้ไทยมาก คือทำการรบแบบกองโจร  ใช้คนจำนวนน้อยเอาชนะทัพคนจำนวนมากได้

     ทีนี้จะย้อนมาถึงบทบาทเจ้าพระยาธรรมาธิกรณฯ (บุญรอด) บ้าง
     อย่างที่เคยเล่าหลายครั้งแล้วว่า ขุนนางไทยสมัยนั้นไม่ได้แบ่งหน้าที่การงานกันเด็ดขาดเหมือนสมัยนี้    ในยามสงบ ใครมีหน้าที่การงานรับผิดชอบด้านไหนก็ทำกันไป    แต่ในยามศึก ทุกคนมีสิทธิ์ถูกทำหน้าที่ทหารออกไปรบทั้งนั้น ไม่มียกเว้น    แม้แต่มหาดเล็กอย่างนายนรินทร์ธิเบศร์ก็ยังต้องตามเสด็จเจ้านายไปในทัพ     เสนาบดีกรมวังก็เช่นกัน   ท่านก็ต้องคุมทัพออกไปรบเช่นเดียวกับขุนนางผู้ใหญ่อื่นๆ    
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 18 ก.ค. 17, 17:19

       ทัพพม่าที่เจ้าพระยาธรรมาธิกรณ (บุญรอด) ต้องเจอ คือกองทัพที่สองของพระเจ้าปดุง  มีแม่ทัพพม่าชื่อจำยากว่า " อนอกแฝกคิดวุ่น" เป็นแม่ทัพ ยกทัพมาจากเมืองทวาย มีพระยาทวายเป็นกองทัพหน้ายกพล 3,000 คน นำหน้ามาก่อน  ส่วนอนอกแฝกคิดวุ่น เป็นกองทัพหลวงถือพล 4,000 คน และจิกสิบโบ่ เป็นกองทัพหลังถือพล 3,000 คน รวมทั้งสิ้นเป็นทัพใหญ่เบ้อเริ่ม จำนวนไพร่พลถึง 10,000 คน เดินทางเข้ามาทางด่านบ้องตี้ เข้ามาตีหัวเมืองไทยฝ่ายตะวันตก ตั้งแต่เมืองราชบุรี เมืองเพชรบุรี เพื่อจะลงไปบรรจบกับกองทัพที่ 1 ของพม่าที่เมืองชุมพร
      ส่วนทางเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ (บุญรอด) กับพระยายมราช(อิน หรือ ทองอิน) คุมพลจำนวนครึ่งเดียวของพม่า คือ 5,000 คน ไปตั้งอยู่ที่เมืองราชบุรี คอยต่อสู้กองทัพพม่าที่จะยกขึ้นมาจากทางใต้หรือจากเมืองทวาย ผ่านเข้ามาทางด่านบ้องตี้   โดยมีหน้าที่หลักคือรักษาเส้นทางลำเลียงของกองทัพที่ 2 ของไทย ซึ่งมี กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เป็นจอมพลแม่ทัพถือพล 30,000 คนไปตั้งรับอยู่ที่เมืองกาญจนบุรี คอยต่อสู้กับกองทัพหลักของพระเจ้าปดุงที่จะยกเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์

      ทางฝ่ายพม่าที่อนอกแฝกคิดวุ่นเดินทัพเข้ามา  เจอเส้นทางลำบาก ก็เลยเดินทางช้าอืดอาดกว่าจะมาถึงราชบุรี   แต่ก็เดินทางฝ่าฟันความทุรกันดารมาจนตั้งค่ายรายล้อมนอกเมืองราชบุรีได้สำเร็จ คือพระยาทวาย กองทัพหน้าตั้งค่ายที่ทุ่งทางด้านตะวันตกของเมืองราชบุรี (แถวหนองบัวนอกเทือกเขางู )     อนอกแฝกคิดวุ่น แม่ทัพหลวงตั้งอยู่ที่ท้องชาตรี (คือบึงใหญ่ แถว อ.จอมบึง น่าจะเป็น"บึงจอมบึง")    จิกสิบโบ่ กองทัพหลัง ตั้งอยู่ที่ด่านเจ้าขว้าว ริมแม่น้ำภาชี (ด้านเหนือ ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 18 ก.ค. 17, 17:27

   ทางฝ่ายแม่ทัพไทยคือเจ้าพระยาธรรมาฯ บุญรอด และพระยายมราชที่(อิน)ไปรักษาการอยู่ที่ราชบุรี  จะด้วยอะไรก็ไม่ทราบ  อาจจะเห็นว่านั่งรอนอนรอเท่าไหร่ๆ พม่าก็ไม่โผล่มาสักที  ก็เลยประมาท  คิดว่าคงยังมาไม่ถึง   ก็ไม่จัดกองลาดตระเวนออกไปสืบข่าวข้าศึก   จนข้าศึกมาเหยียบจมูกตั้งทัพอยู่ชานเมืองราชบุรีถึง 3 ค่ายก็ยังไม่รู้   เคราะห์ดีมาก ที่พม่ายังไม่ทันยกเข้าตีราชบุรี  ไม่งั้นทัพไทยคงไม่รอด
  
  โชคเข้าข้างไทยที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทชัยชนะต่อทัพพม่าที่ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี    เมื่อเสร็จงานทางนี้เรียบร้อยแล้ว  จึงมีรับสั่งให้พระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากร คุมกองทัพเดินทางลงมาทางบก ก็เลยจ๊ะเอ๋เข้ากับกองทัพพม่าที่ตั้งค่ายอยู่ที่เขางู นอกเมืองราชบุรี  โดยทางทัพไทยราชบุรียังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
   ทัพไทยจากกาญจนบุรี ยกกองทัพเข้าตีค่ายพม่า รบพุ่งตะลุมบอนกัน ไทยเป็นฝ่ายชนะ กองทัพพม่าต้านทานกำลังไม่ไหว  แตกพ่าย ทั้งกองทัพหน้าและกองทัพหลวง ฝ่ายทัพไทยของพระยากลาโหมและพระยาจ่าแสนยากรจับเชลยพม่าและเครื่องศาสตราวุธ ช้าง ม้า พาหนะได้เป็นจำนวนมาก ส่วนทัพพม่าที่เหลือหนีกลับประเทศพม่ากลับออกไปทางเมืองทวาย หลังจากนั้นกองทัพของพระยากลาโหมราชเสนา และพระยาจ่าแสนยากร ก็เดินทางต่อไปช่วยทางเมืองชุมพรต่อไป

     เราก็คงจะเดาออกว่า  ความซวยตกอยู่ที่ใคร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 10:35

      หลังจากนั้น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท เสด็จยกกองทัพหลวงมาถึงเมืองราชบุรี  เมื่อทรงทราบเรื่องทั้งหมด ก็โปรดให้ไต่สวนความผิดของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณ์(บุญรอด) และพระยายมราช (อิน) ในข้อหาประมาทเลินเล่อ ทำให้พม่าเข้ามาตั้งทัพเหยียบจมูกได้ถึงชานเมืองราชบุรี   มิได้ระวังระไวการสงคราม    
      ผลการไต่สวน จึงมีพระราชบัณฑูรลงพระราชอาญาแม่ทัพทั้งสอง จำขังไว้ที่ค่ายทหารเมืองราชบุรี  เท่านั้นยังไม่พอ  โทษทั้งสองคนถือเป็นโทษอุกฉกรรจ์   ถ้าหากว่าเป็นขุนนางยศรองๆลงมาคงโดนพระราชอาญาขั้นประหารไปแล้ว ไม่เสียเวลายืดเยื้อ  แต่นี่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ระดับเสนาบดีทั้งคู่  จึงทรงมีหนังสือกราบบังคมทูล  ขอพระราชทานประหารชีวิตส่งเข้าไปยังกรุงรัตนโกสินทร์  

      ทางด้านพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก  ทรงเห็นว่าแม่ทัพทั้งสองเคยมีความดีความชอบมาก่อน   ข้อนี้ก็พอเข้าใจได้  เพราะการที่จะขึ้นมาเป็นขุนนางใหญ่ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ    ก็ต้องมีฝีมือไม่เบา และมีคอนเนคชั่นกว้างขวางอยู่มาก  ก็ยังไม่อยากด่วนประหารชีวิตไปเสีย ให้เสียขวัญบรรดาแม่ทัพนายกอง     แต่ก็มิได้ทรงละเลยต่อความผิด   จึงทรงมีพระราชสาสน์ตอบกลับไปว่า  ขอชีวิตไว้ แต่โปรดให้ลงพระราชอาญาทำโทษตามกฏพระอัยการศึกตามแต่เห็นควร
      กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท จึงลงพระราชอาญาให้โกนศีรษะแม่ทัพทั้งสอง เป็นสามแฉก แล้วแห่ประจานรอบค่าย ถอดเสียซึ่งฐานันดรศักดิ์ จากเจ้าพระยาลงมาเป็นนายธรรมดา  เท่ากับว่าจากพลเอกกินเงินเดือนอัตราจอมพลลงมาเป็นทหารเกณฑ์  
      ส่วนนายทัพนายกองที่รักษาเมืองราชบุรีที่เหลือให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยนโบย  เรียกว่าหลังลายเป็นริ้วปลาแห้งกันไปทั้งสิ้น
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 11:03

   พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ยังคงทรงพระเมตตาต่ออดีตเจ้าพระยาธรรมาธิกรณฯ อยู่มาก      เมื่อถูกถอดถูกปลด กลับมาอยู่บ้านเฉยๆแล้ว   อีกไม่นานก็โปรดเกล้าฯให้กลับเข้ารับราชการ  แต่ไม่ใช่ในตำแหน่งสูงส่งอย่างเดิม    หากแต่ไปช่วยราชการในวัง พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเพทราชา    อดีตเจ้าพระยาธรรมาฯ ท่านก็รับราชการอยู่ในกรมวังมาจนสื้นแผ่นดิน
   ถึงแม้ประมุขของสกุลพลาดพลั้งในการศึก ถูกลงพระราชอาญา    ตระกูลของเจ้าพระยาธรรมาฯ ก็ไม่ได้พลอยเคราะห์ร้ายไปด้วย   ลูกๆของท่านยังคงรับราชการมาเป็นปกติตลอดรัชกาลที่ 1 และต่อมาจนรัชกาลที่ 2  หนึ่งในนั้นคือเจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) ขุนนางสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
  ในรัชกาลที่ 1 ท่านน้อยได้เป็นพระยาอนุชิตราชา จางวางพระตำรวจ ถึงรัชกาลที่ 2 ได้เป็นเจ้าพระยมราช จตุสดมภ์กรมเวียง หรือเสนาบดีกรมเมือง โปรดฯให้เป็นแม่ทัพยกไปทำศึกที่เขมร   ได้ชัยชนะกลับมา  พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาอภัยภูธร อัครเสนาบดีที่สมุหนายก
   ส่วนตัวเจ้าพระยาธรรมาฯ เองก็พ้นเคราะห์ในรัชกาลที่ 2   ได้กลับเป็นเจ้าพระยาอีกครั้ง มีบรรดาศักดิ์ว่า "เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช"

    จนถึงรัชกาลที่ 6   เมื่อมีพระราชบัญญัติให้คนไทยมีนามสกุล  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลแก่ลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช ว่า "บุณยรัตพันธุ์"    คือทรง 'บวช' คำว่า "บุญรอด" ให้เป็นศัพท์บาลี  จาก บุญรอด เป็น บุณยรัต  ส่วนพันธุ์ ก็คือ เชื้อสาย   ค่ะ
    วัดของสกุลบุณยรัตพันธุ์ คือวัดเครือวัลย์วรวิหาร ที่ฝั่งธน    สร้างโดยเจ้าจอมเครือวัลย์ บุตรีเจ้าพระยาอภัยภูธร   พวกลูกหลานสกุลนี้ซึ่งมีจำนวนนับร้อยในปัจจุบัน ยังคงไปทำบุญประจำปีกันที่วัดนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 13:14

จบเจ้าพระยาธรรมาฯ ท่านที่หนึ่งค่ะ    ตอนนี้พักเที่ยง
เชิญคุยได้ตามอัธยาศัย
บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 15:51

บุณยรัตพันธุ์ ที่สายการ์ตูนแบบผมต้องรู้จักก็คือ คุณนิรันดร์ บุณยรัตพันธุ์ หรือที่รู้จักกันในนาม น้าต๋อย เซนเบ้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 18:46

     ส่วนพระยายมราช(อิน หรือทองอิน) ที่ถูกรางวัลที่ 1 พร้อมกับเจ้าพระยาธรรมาฯ   มีประวัติบอกกล่าวไว้เพียงสั้นๆว่า ในสมัยธนบุรี ท่านมีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงอินทราบดีสีหราชรองเมือง  เป็นผู้รู้ขนบธรรมเนียมในกรมนครบาลมาก
     คุณหลวงอินทราฯ น่าจะเป็นนักรบฝีมือดี  ได้ติดตามเจ้าพระยาจักรีไปในการศึกสงครามหลายครั้ง  จนในรัชกาลที่ 1 ได้เป็นถึงพระยายมราช  แต่ยังไม่ทันจะได้เป็นเจ้าพระยา ก็มาเกิดเรื่องที่ราชบุรีเสียก่อน จนถูกถอดพร้อมกัน
    แต่ชะตาพระยายมราชไม่ร้ายแรงเท่าไหร่   ต่อมาก็โปรดเกล้าฯ ให้ได้รับคืนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาตามเดิม แต่มีราชทินนามว่า พระยามหาธิราช ช่วยราชการในกรมนครบาลต่อไป

    ไม่ทราบว่าท่านเป็นต้นสกุลใด ยังหาไม่เจอค่ะ
บันทึกการเข้า
Jalito
องคต
*****
ตอบ: 478


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 19 ก.ค. 17, 22:24

ยังติดฝนอยู่บนเรือน
ชาวเรือนรุ่นอา(วุโส)น่าจะยังไม่ลืมดาวเสียงสตรีท่านหนึ่งแม้จะดับแสงไปหลายปีแล้ว คุณพิทยา บุณยรัตพันธุ์
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 20 ก.ค. 17, 06:13

"บุณยรัตพันธุ์"


ในใบ สะกดว่า "บุณย์รัตพันธุ์" พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ทรงเขียนพระราชทาน



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 20 ก.ค. 17, 09:32

ลำดับที่ ๑๐๖ พระยาเพ็ชรชฎา (เจิม) ปลัดทูลฉลอง กระทรวงนครบาล พระราชทานนามสกุลว่า "บุณย์รัตพันธุ์" (Punyarata bandhu)

http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2456/D/691.PDF


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 20 ก.ค. 17, 10:27

การันต์หายไปแล้ว  ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 20 ก.ค. 17, 12:22

    หมายเหตุ บรรดาศักดิ์เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี ในหนังสือบางเล่มเรียกว่า ธรรมาธิบดี ค่ะ

    เจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี หรือเจ้าพระยาธรรมาธิบดี ท่านที่สอง มีนามเดิมว่า ทองดี ตามประวัติเล่าว่าเป็นข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  หมายถึงว่าเคยรับใช้มาก่อน  ตั้งแต่ยังทรงเป็นขุนนางในสมัยกรุงธนบุรี
    ชั้นเดิมท่านทองดีมีบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นศรีสรรักษ์ แล้วเลื่อนขึ้นเป็นพระยาพิพัฒโกษา   เมื่อมาถึงรัชกาลที่ 1  หลังท่านบุญรอดได้ประสบชะตากรรมพ้นตำแหน่งเสนาบดีไปแล้ว   ท่านทองดีก็ได้รับประราชทานโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นเจ้าพระยาธรรมาธิบดี เสนาบดีจตุสดมภ์กรมวังแทน
    ตระกูลของเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (ทองดี) เป็นตระกูลขุนนางใหญ่มาตั้งแต่สมัยอยุธยา  กล่าวกันว่าท่านเป็นบุตรของเจ้าพระยาอภัยราชา ที่เรียกกันว่า เจ้าคุณประตูจีน ครั้งกรุงศรีอยุธยา    เจ้าพระยาอภัยราชาตามความในราชพงศาวดาร เดิมเป็นเจ้าพระยาสุภาวดี บ้านอยู่ประตูจีน แล้วได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยาอภัยราชา ตำแหน่งสมุหพระกลาโหม ในตอนปลายแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ 
    ในรัชกาลที่ 6  ผู้สืบสกุลของเจ้าพระยาธรรมาฯ (ทองดี) ได้รับโปรดเกล้าฯพระราชทานนามสกุลว่า "ธรรมสโรช" 
   สกุลที่เกี่ยวเนื่องกับ ธรรมสโรช เพราะมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน คือ สโรบล  รัตนทัศนีย์ และ อินทรวิมล
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 26 ก.ค. 17, 11:30

     เจ้าพระยาธรรมาฯ (ทองดี) ถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ 1  ผู้ที่ได้รับตำแหน่งนี้ต่อมา เป็นขุนนางจากวังหน้า   ชื่อเดิมว่า "สด"
     เจ้าพระยาธรรมาฯ สด เป็นข้าหลวงเดิมในกรมพระราชวังบวรมหาสุรสีหนาทมาก่อน  เมื่ออุปราชาภิเษก ท่านผู้นี้ได้ดำรงตำแหน่งพระยามณเฑียรบาล  ซึ่งก็คือเสนาบดีกรมวังของวังหน้า เทียบเท่าเจ้าพระยาธรรมาธิกรณฯของวังหลวงนั่นเอง
     เมื่อสิ้นวังหน้า   ตามธรรมเนียม ขุนนางวังหน้าก็ย้ายมารับราชการวังหลวง    เมื่อท่านเสนาบดีกรมวังของวังหลวงถึงแก่อนิจกรรมในปลายรัชกาลที่ 1   ก็คงจะไม่มีใครรู้ระเบียบแบบแผนของกรมวังได้ดีเท่าพระยามณเฑียรบาลเสนาบดีวังหน้า   พระยามณเฑียรบาล(สด)จึงได้กินตำแหน่งนี้แทน
     ท่านผู้นี้มีประวัติบอกเพียงสั้นๆว่ามาจากตระกูลพราหมณ์รามราช ของเพชรบุรี       ถ้าใครสนใจประวัติสุนทรภู่คงจำได้ว่า อาจารย์ล้อม เพ็งแก้ว เคยค้นพบต้นฉบับที่ขาดหายไปในนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ ที่ระบุว่าท่านมีเชื้อสายพราหมณ์รามราช เมืองเพชรบุรี  
     ส่วนพราหมณ์รามราช คือพราหมณ์ประเภทไหนมีความเป็นมาอย่างไร  ก็สันนิษฐานกันไปหลายทาง  พอจะบอกได้อย่างกำปั้นทุบดินว่า น่าจะเป็นพราหมณ์เดินทางมาจากทางอินเดียได้ มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในสถานที่ที่ตรงกับวัดเพชรพลี หรือวัดพริบพรีในจังหวัดราชบุรี  เพราะยังมีเสาชิงช้าสร้างไว้ให้เห็นจนถึงปัจจุบัน
    เจ้าพระยาธรรมาฯ(สด) รับราชการมาจนถึงรัชกาลที่ 2 ก็ถึงแก่อนิจกรรม   ไม่ทราบประวัติลูกหลานหรือนามสกุลของท่านค่ะ

บันทึกการเข้า
CVT
องคต
*****
ตอบ: 452


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 26 ก.ค. 17, 11:54

ยังอยู่ในห้องเรียนครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 20 คำสั่ง