naitang
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 21 ก.พ. 17, 19:22
|
|
สัมผัสแรกอยู่ในพื้นที่ป่าที่ครอบคลุมรอยต่อเขต 3 จังหวัด จ.สุโขทัย (อ.ศรีสัชนาลัย) จ.แพร่ (อ.วังชิ้น และ อ.เด่นชัย) และ จ.อุตรดิตถ์ (อ.ลับแล)
เขตต่อระหว่าง จ.สุโขทัย กับ จ.แพร่ ก็คือ ห้วยแม่สิน หากเห็นสภาพของพื้นที่รอยต่อในปัจจุบันนี้แล้วอาจจะไม่เชื่อเลยว่า เมื่อสมัย พ.ศ. 2510+ นั้นเคยเป็นป่าที่ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย บนเส้นทางรถยนต์ดั้งเดิมที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง อ.ศรีสัชนาลัย (บ.หาดเสี้ยว) กับ อ.เด่นชัย นั้น จะมีเพียงด่านตำรวจตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่บริเวณสะพานข้ามห้วยแม่สินบนฝั่งของเขต จ.แพร่ เหนือจากหาดเสี้ยวขึ้นไป จะพบเห็นชุมชน(แบบซ่อนอยู่)อีกครั้ง ก็คือจนกระทั่งเข้าใกล้ตัว อ.เด่นชัย คือ ที่ บ.บ่อแก้ว ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโรงเรียนป่าไม้ (โรงเรียนป่าไม้แพร่) ซึ่งผมเข้าใจว่าในปัจจุบันนี้คงจะปิดไปแล้ว โรงเรียนนี้ได้ผลิตบุคคลากรในสายงานการป่าไม้ของไทยมาก่อนจะเข้ายุคของคณะวนศาสตร์ ม.เกษตร ฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 21 ก.พ. 17, 20:12
|
|
บ.บ่อแก้ว นี้ ได้ชื่อมาจากการที่ได้มีการขุดพบพลอยนานมาแล้ว ผมไม่ทราบประวัติและเรื่องราวของการพบพลอยของที่นี่นัก รู้อยู่แต่ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะในพื้นที่นี้มีหิน Basalt ปกคลุมอยู่ ผมเคยเห็นพลอยที่ว่าเป็นของที่นี่อยู่สองสามครั้ง เป็นพวกพลอยไพลินสีอ่อนและเม็ดเล็กกว่าพลอยของ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี
ท่านใดที่มีพลอยจากแหล่งนี้ ก็เก็บรักษาไว้ให้ดีนะครับ หายากเต็มที เป็นเรื่องของความมีค่ามากกว่าเรื่องของความมีราคา ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 21 ก.พ. 17, 20:38
|
|
เขตรอยต่อระหว่าง จ.อุตรดิตถ์ กับ จ.แพร่ นั้นเป็นสันเขาสูง หากเดินทางบนเส้นทางรถสายอุตรดิตถ์-แพร่ เส้นแบ่งเขตจังหวัดก็คือสันเขา ณ จุดที่เป็นที่ตั้งของจุดพักผ่อนหรือจุดชมวิวเขาพลึง หากเดินตามสันเขานี้ไปทางตะวันออกก็จะถึงสันเขาแบ่งเขตตรงจุดที่เรียกว่าดอยพญาพ่อ
สมัย 2510+ นั้น ผมเดินสำรวจข้ามสันเขาบริเวณแถวๆดอยพญาพ่อนี้ สันเขาสูงเอาการอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ออกเดิน 6 โมงเช้าจากห้วยตีนดอยขึ้นถึงสันดอยพญาพ่อก็ 6 โมงเย็น ต้องล่น(เดินกี่งวิ่ง)ลงไปอีกร่วม 2 ชม.จึงถึงห้วยบริเวณที่มีน้ำ จึงสามารถหยุดหุงหาอาหารและนอนค้างแรมได้
แปลกก็ตรงที่ ไม่ค่อยจะเห็นร่องรอยของช้างในป่าของเขต จ.อุตรดิตถ์ เลย แต่พอรุ่งเช้าเดินตามห้วยลงไปหา อ.เด่นชัย ของ จ.แพร่ จึงได้พบเห็นร่องรอยของช้างมากมาย และก็น่าจะเป็นช้างป่าอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 22 ก.พ. 17, 19:04
|
|
ที่ อ.เด่นชัย นี้ มีสถานีรถไฟซึ่งรถไฟสายเหนือทุกขบวนจะต้องจอด ณ สถานีนี้ ในสมัยก่อนนั้น นอกจากจะเป็นเสมือนจุดเชื่อมต่อของการเดินทางและการขนส่งสินค้าระหว่างพื้นที่อื่นๆกับ จ.แพร่, จ.น่าน และบางส่วนของ จ.พะเยา ก็ยังเป็นศูนย์รวมของซุงไม้สักที่จะขนโดยทางรถไฟลงสู่ภาคกลางอีกด้วย
ในสมัยนั้น การทำไม้ยังใช้กำลังของช้างช่วยในการเคลื่อนย้ายและจัดการกับไม้ซุงทั้งหลาย ที่สถานีเด่นชัยก็จึงมีประชากรช้างทำงานอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกันกับอีกสถานีรถไฟหนึ่ง คือ สถานีแม่จาง ซึ่งก็เป็นอีกจุดที่สำคัญของแหล่งรวมหมอนไม้สัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 22 ก.พ. 17, 19:46
|
|
การส่งซุงไม้สักจากภาคเหนือลงสู่ภาคกลางนั้น คงทราบกันอยู่ตามที่ได้รับการบอกกล่าวกันว่า ในอดีตนั้นใช้วิธีการล่องมาตามแม่น้ำ ทางฝั่งภาคเหนือด้านตะวันตกก็ใช้แม่น้ำปิงและแม่น้ำวัง ซึ่งไปบรรจบกันที่ อ.บ้านตาก จ.ตาก ทางฝั่งภาคเหนือฝั่งตะวันออกก็ใช้แม่น้ำยมกับแม่น้ำน่าน ซึ่งไปบรรจบกันที่ อ.ชุมแสง จ.นครสวรรค์
ที่จริงแล้วมีอีกเส้นทางหนึ่งควบคู่กันที่มีการขนส่งในปริมาณที่ไม่น้อยเช่นกัน ก็คือ ทางรถไฟ ซึ่งสถานีที่เป็นจุดขึ้นของที่สำคัญก็ดูจะมีเพียงสถานีแม่จางและสถานีเด่นชัย สำหรับสถานีอื่นๆนั้น ก็พอจะมีการขนส่งอยู่บ้างประปราย เช่น ที่สถานีเชียงใหม่ สถานีบ้านปิน อ.ลอง จ.แพร่ เป็นต้น
ก็เห็นช้างทำงานอยู่ในพื้นที่สถานีรถไฟเหล่านั้น (ยกเว้นที่สถานีเชียงใหม่) จนกระทั่งได้มีการยกระดับ (เอาจริงเอาจัง) กับสร้างระบบถนนลาดยางอย่างเป็นระบบทั่วประเทศ ก็น่าจะแถวๆ พ.ศ. 2520 +/- กระมัง เครื่องจักรกลและรถลากไม้ก็เข้ามาแทนที่ช้างทั้งหมด จะยกเว้นก็แต่ในพื้นที่ป่าเขาจริงๆ ซึ่งก็เป็นช่วงเดียวกันที่การทำไม้เริ่มจะหันไปทำไม้ชนิดอื่นเพิ่มเติมไปจากไม้สัก โดยเฉพาะการทำไม้ยาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 22 ก.พ. 17, 20:54
|
|
พุดถึงสถานีรถไฟ ก็เลยนึกออกเรื่องเล็กๆน้อยๆที่อาจจะพอมีสาระอยู่บ้างครับ ผมประมวลมาจากการสนทนากับพนักงานรถไฟรุ่นเก๋า และจากความทรงจำเมื่อสมัยยังเด็กๆ เมื่อครั้งยังต้องเดินทางด้วยรถไฟที่ลากจูงด้วยรถจักรไอน้ำ ที่จริงแล้วก็ยังใช้บริการรถจักรไอน้ำสายกาญจนบุรี-น้ำตก (เขาพัง) ในช่วงก่อน พ.ศ. 2520 ในสมัยที่ทำงานในพื้นที่เลาะตะเข็บชายแดนไทย-พม่า จำได้ไม่แล้วว่าหมายเลขใด คลับคล้ายคลับคลาว่ามีเลข 7 กับเลข 5 อยู่
ในการเดินทางด้วยรถไฟนั้น เราจะสังเกตเห็นว่า มีสถานีรถไฟตลอดเส้นทางอยู่เยอะมาก รถไฟวิ่งเดี๋ยวเดียวก็ถึงผ่านสถานีนึงแล้ว แล้วก็มีสถานีเป็นจำนวนมากที่อยู่โดดเดี่ยว ไม่เห็นมีหมู่บ้านหรือชุมชนเลย
เรื่องก็มีอยู่ว่า ในสมัยก่อนนั้น นอกจากจะตั้งสถานีเพื่อการคมนาคมของผู้คนแล้ว สถานีรถไฟที่ตั้งขึ้น ณ สถานที่เหล่านั้น ก็เพื่อการเติมน้ำและเติมฟืนให้กับหัวรถจักร ช่วงระยะทางระหว่างสถานีก็จะอยู่ที่ประมาณ 10 กม.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 23 ก.พ. 17, 18:46
|
|
ที่สถานีรถไฟที่ใช้เป็นจุดขึ้นไม้ซุงเพื่อการขนส่งทางรางนั้นจะมีพื้นที่ราบค่อนข้างกว้าง ซึ่งในพื้นที่นี้จะมีหลายกิจกรรมเกิดขึ้นในแต่ละวัน เพราะเป็นที่กองรวมกันของไม้ซุงที่จะต้องมีการคัดและจัดแยกสินค้า ไม้ที่ขนมากองรวมกันนั้นจะขนมาโดยทางรถลากซุง ส่วนการคัดจัดแยกให้เป็นหมวดหมู่ตามต้องการนั้นจะใช้แรงงานช้าง และสำหรับการยกท่อนซุงขึ้นบรรทุกบนโบกี้ขนของเปิดข้างของรถไฟนั้นจะใช้ปั้นจั่น
ในพื้นที่นี้เอง ก็จะได้เห็นภาพการทำงานต่างๆของช้างแบบ(น่าจะครบ)ทุกกระบวนท่า ทั้งยังได้เห็นความแตกต่างในด้านต่างๆของช้างและคน ทั้งในด้านความชำนาญ ความแก่วัด ความน่ารักน่าเอ็นดู อารมณ์ ..ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 23 ก.พ. 17, 19:43
|
|
ภาพประทับใจของผมที่ได้เห็นในพื้นที่ดังกล่าวนี้ก็คือ การสอนช้างวัยแรกรุ่นให้ลากซุง
ท่อนซุงที่ควาญช้างเลือกเอามาสอนนั้น ขนาดใหญ่กว่าถังแกสหุงต้มขนาดกลางไม่มากนัก ความยาวก็คงจะประมาณ 5-6 เมตร ผมคะเนว่าน้ำหนักของซุงท่อนนั้นน่าจะอยู่แถวๆประมาณ 500+ กก. ตัวช้างนั้นสูงกว่า 2 เมตรนิดหน่อย คะเนว่า น้ำหนักก็คงจะอยู่ในเกณฑ์ระหว่าง 2-3 ตัน เมื่อควาญช้างผู้สอนเอาโซ่ไปคล้องกับจมูกซุง ทำการตรวจตราโซ่ลากที่บริเวณหัวไหล่สองข้างของช้าง ดูถูกต้องสมบูรณ์ดีแล้ว ก็สั่งให้ลาก
ควาญช้างไม่ได้ขึ้นนั่งกำกับอยู่บนคอช้าง แต่ถือไม้เรียวอันเล็กๆขนาดต้นเข็มยาวประมาณ 70-80 ซม.ยืนสั่งการอยู่ที่บริเวณขาหน้าของช้าง ช้างหนุ่มน้อยคงจะกลัวอยู่ไม่น้อย สังเกตได้จากอาการของตาที่กรอกเหลือกไปมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 23 ก.พ. 17, 20:37
|
|
ช้างหนุ่มน้อยออกแรงครั้งแรก ซุงไม่ขยับเขยื้อนเลย ควาญช้างก็แกว่งไม้เรียวทำท่าจะเฆี่ยน ช้างก็แสดงอาการกลัวแล้วก็ดึงโซ่ลากให้ตึงพร้อมๆกับเอาเท้าทั้งสี่มารวมชิดกันไว้ โน้มตัวไปข้างหน้า งวงชี้ไปข้างหน้าพร้อมอาการออกกำลังเบ่งเต็มแรง ด้วยน้ำหนักตัวของมัน ซุงก็ขยับเคลื่อน พร้อมๆไปกับน้ำมูกพุ่งเป็นฝอยออกจากงวง
คงจะนึกภาพออกนะครับ เอาขามารวมกัน ตัวก็เลยดูกลม พอสูดลมออกกำลังเบ่ง ตัวก็ยิ่งกลมใหญ่ เป็นภาพที่น่าเอ็นดูเลยทีเดียว
ครับ..ก็เป็นการสอนให้รู้จักการใช้น้ำหนักของตัวเอง ลากของที่มีน้ำหนักน้อยกว่าตัวเองตั้งเยอะให้ขยับก่อนที่จะใช้กำลังขาในการลากจูงต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 23 ก.พ. 17, 20:57
|
|
ในยุคการใช้ช้างนั้น เกือบทั้งหมดจะเป็นซุงไม้สัก จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.2515+/- จึงเริ่มมีการตัดต้นยางและไม้มะค่ามากขึ้น การใช้ช้างก็เริ่มจะลดน้อยลงไป เพราะซุงแต่ละต้นนั้นใหญ่มาก ช้างลากไม่ไหว
ก็พอจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพได้นิดหน่อยว่า สมัยซุงไม้สักนั้น ซุงแต่ละท่อนยาวประมาณระหว่าง 4-6 เมตร รถลากไม้คันหนึ่งลากซุงได้เกือบ 10 ต้น แต่ละต้นมักจะมีน้ำหนักไม่เกิน 1 ตัน ในขณะที่ซุงต้นยางแต่ละต้นยาวประมาณระหว่าง 8-10 เมตร รถลากซุงคันหนึ่งลากได้เพียง 2 ต้น ซุงไม้ยางขนาดใหญ่นี้ ใช้ช้างลากคู่ก็ยังไม่ไหวเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 23 ก.พ. 17, 21:02
|
|
ช้างหนุ่มน้อยออกแรงครั้งแรก ซุงไม่ขยับเขยื้อนเลย ควาญช้างก็แกว่งไม้เรียวทำท่าจะเฆี่ยน ช้างก็แสดงอาการกลัวแล้วก็ดึงโซ่ลากให้ตึงพร้อมๆกับเอาเท้าทั้งสี่มารวมชิดกันไว้ โน้มตัวไปข้างหน้า งวงชี้ไปข้างหน้าพร้อมอาการออกกำลังเบ่งเต็มแรง ด้วยน้ำหนักตัวของมัน ซุงก็ขยับเคลื่อน พร้อมๆไปกับน้ำมูกพุ่งเป็นฝอยออกจากงวง
คงจะนึกภาพออกนะครับ เอาขามารวมกัน ตัวก็เลยดูกลม พอสูดลมออกกำลังเบ่ง ตัวก็ยิ่งกลมใหญ่ เป็นภาพที่น่าเอ็นดูเลยทีเดียว
อาจารย์บรรยายซะเห็นภาพชัดเลยค่ะ น่ารักจริงๆ เจ้าช้างคงจะเจ็บใจนะคะ ทำมั้ย..คนตัวนิดเดียวถึงได้มีอำนาจเหนือมันได้
ครับ..ก็เป็นการสอนให้รู้จักการใช้น้ำหนักของตัวเอง ลากของที่มีน้ำหนักน้อยกว่าตัวเองตั้งเยอะให้ขยับก่อนที่จะใช้กำลังขาในการลากจูงต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 24 ก.พ. 17, 10:42
|
|
พร้อมๆกับเอาเท้าทั้งสี่มารวมชิดกันไว้ โน้มตัวไปข้างหน้า

ผมพยายามหาภาพมาประกอบเรื่องช้างลากซุง ตามอ้างถึง แต่หาไม่ได้ มีที่ใกล้เคียงที่สุด ก็เพียงเท่านี้ครับ (ขอขอบคุณ คุณ หนูหลี เจ้าของระโยง มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 24 ก.พ. 17, 18:27
|
|
ขอบคุณครับ สำหรับภาพที่น่ารัก
กำลังจะต่อเรื่อง คะมำหัวทิ่ม กับ ก้นจ้ำเบ้า อยู่พอดีเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 24 ก.พ. 17, 18:41
|
|
ย้อนกลับไปที่ได้เล่าว่า ควาญช้างจะตรวจสอบจุดเชื่อมต่อระหว่างโซ่ลากกับสายประคำ(ออกเสียงต่างๆกันไป แต่เมื่อฟังแล้วก็รู้ว่าหมายถึงอะไร) ก็คือจุดเชื่อมต่อสามเส้าระหว่างแถบเชือกถักที่ห้อยอยู่ใต้คอ โซ่ลาก ซึ่งทั้งสองอย่างนี้จะต้องรับแรงที่จะต้องใช้หรือรับน้ำหนักของซุงที่จะต้องลาก แล้วก็ยังเป็นจุดเชื่อมต่อของเชือกขวั้นที่พาดบนหลังคอลงมาสำหรับการช่วยประคองแถบเชือกถักและโซ่ลากให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
หากหูของแถบเชือกถักที่ใช้ร้อยโซ่ชำรุดหรือผูกโซ่ไม่ดีพอ เกิดฉีกขาดหรือโซ่หลุด ก็คงจะนึกภาพออกนะครับ ช้างก็จะคะมำหัวทิ่มแน่นอน ซึ่งก็คงจะเป็นด้วยเหตุผลนี้ด้วย ที่ในหลายครั้งที่ควาญช้างจะใช้วิธีเดินดินคุมช้างในการลากสิ่งของที่มีน้ำหนักมากๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 24 ก.พ. 17, 19:06
|
|
แน่นอนครับว่า เมื่อคะมำหัวทิ่ม ช้างก็จะโกรธ แล้วก็จะเกิดอาการงอน กระฟัดกระเฟียด ก็มากพอที่จะสังเกตเห็นได้เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องปรกติครับ
ที่จริงแล้ว หากเราไปเที่ยวตามปางช้างต่างๆ เพียงสนใจสังเกตแบบละเอียดหน่อย ก็จะพบเห็นภาพการงอนกันไป/งอนกันมา และ การเอาใจกันไป/เอาใจกันมาระหว่างควาญช้างกับช้างที่เขาเลี้ยงดูแล น่าดูและก็น่าเอ็นดูดีครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|