naitang
|
ความคิดเห็นที่ 120 เมื่อ 02 เม.ย. 17, 19:30
|
|
ม้าต่างของชาวบ้านนั้น เมื่อครั้งยังเด็กอยู่ เคยเห็นแถว อ.แม่จัน จ.เชียงราย เมื่อครั้งทำงานก็ยังพอจะเห็นอยู่บ้างในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน, อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี และในห้วยขาแข้ง เดินกันเป็นคาราวานครั้งละหลายๆตัว
ม้าเป็นพวกสัตว์กินพืชในวงศ์หญ้า แหล่งอาหารของมันในพื้นที่ป่าเขาจึงค่อนข้างจะมีจำกัดมาก การใช้ม้าต่างจึงจำกัดอยู่บนเส้นทางที่มีชุมชนหรือที่ๆที่มีการปลูกข้าว (ข้าวไร่) ทำไร่ (ปลูกข้าวโพด...) ต่างกับช้างที่กินพืชผักผลไม้ที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ป่าเขาได้อย่างหลากหลาย ช้างจึงเหมาะสำหรับการใช้ในพื้นที่ๆไร้ผู้คนอยู่อาศัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 121 เมื่อ 02 เม.ย. 17, 20:34
|
|
เมื่อบอกว่าใช้ช้างในการสำรวจ หลายๆคนเข้าใจในภาพของการนั่งช้างแทนการนั่งรถ แล้วก็มีที่คิดแบบการเรียกใช้รถรับจ้างสาธารณะอีกด้วย
การนั่งช้างกระทำได้สามจุด คือ ที่คอช้าง บนแหย่งหลังช้าง และที่โคนหางช้าง (ตามภาพวาดของช้างศึกในสมัยก่อน)
การนั่งที่โคนหางนั้นผมไม่เคยเห็น สำหรับการนั่งบนแหย่งหลังช้างนั้น ผมเชื่อว่ามีเป็นจำนวนมากได้เคยนั่งกัน ส่วนการนั่งที่คอช้างนั้น คงจะมีน้อยคนมากที่เคยนั่ง แต่ไม่ว่าจะนั่ง ณ จุดใด ก็จะได้รับรู้ถึงอาการ Yaw Pitch และ Roll แถมด้วยอาการเด้งหน้าเด้งหลัง ก็คงจะไม่แปลกนะครับ หากเมื่อนั่งช้างมานานๆแล้วจะเกิดอาการเมาช้าง แถมด้วยอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 122 เมื่อ 03 เม.ย. 17, 18:03
|
|
ผมจ้างช้างเพื่อการขนสัมภาระที่ใช้ในการเดินสำรวจเข้าป่าลึกเป็นเวลาหลายๆวัน ตามปรกติก็ประมาณ 7 วัน แต่ก็มีที่นานกว่านั้นบ่อยๆ สูงสุดก็ถึง 20 วัน คนในคณะสำรวจมีระหว่าง 7-8 คน สัมภาระที่ต้องขึ้นหลังช้างก็จะมี ผ้าใบ 3 ผืน (ผ้าเต็นท์) ถุงทะเล 3-4 ใบ (ใส่ถุงนอน ผ้าห่ม เสื้อผ้าและอื่นๆ) ปี๊บขนาด ก.40 x ย.50 x ส.40 ซม. 3 ใบ (2 ใบ สำหรับใส่เครื่องทำครัว เครื่องปรุง และส่วนประกอบอาหารแห้ง และอีกใบหนึ่งใช้เก็บเสื้อผ้า หนังสือ เอกสารทางราชการ รวมทั้งเงินค่าใช้จ่าย) กล่องใส่ตะเกียงเจ้าพายุ แกลลอนใส่น้ำมันก็าดขนาดประมาณ 5 ลิตร สำหรับตะเกียง ถุงข้าวสาร ถังน้ำขนาด 20 ลิตร ตัวอย่างหินและอื่นๆ
ปริมาณคนและสัมภาระดังกล่าวนี้ต้องใช้ช้าง 2 เชือกในการขนย้าย ซึ่งเป็นความลงตัวที่มีสภาพสมดุลย์ที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 123 เมื่อ 03 เม.ย. 17, 18:43
|
|
ความลงตัวและความสมดุลย์เป็นดังนี้ครับ
คนของคณะสำรวจที่ออกมาจากส่วนกลางนั้น มีอยู่เพียง 3 คนกับรถ 1 คัน คือ ตัวนักธรณีฯ ผู้ช่วยสำรวจ และพนักงานขับรถ หากเป็นการเดินสำรวจในลักษณะมี Base camp หรือเดินไปไม่ไกลนักเพียงชั่วคืนหรือสองสามวัน คนที่ออกเดินสำรวจจริงๆก็จะมีจำนวนระหว่าง 3-4 คน ก็มีนักธรณีฯ ผู้ช่วยฯ และชาวบ้านที่ต้องจ้างในลักษณะเป็นคนงานอีก 1 หรือ 2 คน หรืออาจจะมีที่ขอตามไปด้วยอีกคนหรือสองคน ที่ต้องจ้างชาวบ้านนั้นก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิต (เพราะทำงานอยู่ในพื้นที่อันตราย_สีแดง) เขาเป็นคนที่ผู้ใหญ่บ้านเลือกสรรมาให้ อย่างน้อยที่สุดเขาก็จะเป็นผู้ที่สามารถเล่าในรายละเอียดได้อย่างลึกกับวิธีการทำงานและลักษณะของการเดินสำรวจ ข้อมูลข่าวสารในพื้นที่อันตรายดังกล่าวนี้ ผมว่ากระจายรวดเร็วไม่แพ้ยุคการสื่อสารด้วยระบบคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
ส่วนชาวบ้านที่ขอเดินตามไปด้วยนั้น ก็เพราะว่าเมื่อเดินทำการสำรวจนั้น จะเป็นการเดินไปในที่ต่างๆที่พวกชาวบ้านเขาไม่เคยเข้าไป หรือไม่กล้าเข้าไป หรือกลัวหลง พวกเขาเห็นเรามีแผนที่ มีเข็มทิศ ก็เลยมั่นใจว่าจะไม่มีทางหลงและกลับบ้านได้แน่ๆ สำหรับตัวผมนะครับ ก็มีความพอใจที่มีชาวบ้านขอเดินตาม แสดงว่าข่าวสารในการทำงานด้วยความความบริสุทธิ์ใจของเราได้แพร่กระจายและเป็นที่ยอมรับกันไปทั่วแล้ว แต่ก็ต้องระวัง กลัวถูกหมกป่าเหมือนกัน ปืนพกจึงต้องมีติดอยู่ที่เอวตลอดเวลา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 124 เมื่อ 03 เม.ย. 17, 19:07
|
|
เมื่อเราจะเดินไกลหลายๆวัน และคิดจะเดินด้วยการจ้างคนแบกหาม ด้วยปริมาณสัมภาระดังกล่าว เราก็จะต้องจ้างคนอย่างน้อยก็ 10+ คน เพื่อการแบกหามโดยเฉพาะ ก็มิใช่ไม่เคยนะครับ ประเด็นสำคัญก็คือ หาคนที่จะไปกับเราจำนวนขนาดนั้นได้ยาก ด้วยไม่ยอมห่างบ้านไปไกลๆหลายๆวัน ร้อยพ่อพันแม่หลากหลายความคิด หลายปาก หลายอารมภ์ หาที่นอนก็ยาก และที่สำคัญเดินได้ไม่กี่วันเสบียงก็จะหมด แต่ความกลัวที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือการถูกล่อลวงและถูกหมกป่า
ต่างกับการใช้ช้าง ที่จะมีจำนวนคนน้อยกว่า ความเหนื่อยไปตกอยูที่ช้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 125 เมื่อ 04 เม.ย. 17, 19:17
|
|
เขียนไปว่า ความเหนื่อยไปตกอยู่ที่ช้าง แต่ในการทำงานจริงนั้น ไม่ใช่เลย ตัวช้างเองกลับดูจะรู้สึกว่าทำงานแบบมีความสุข เป็นงานสบายๆ ทำไปเรื่อยๆไม่เร่งร้อนและไม่ต้องใช้พละกำลังมาก
ช้างสามารถลากของที่มีน้ำหนักได้หลายตัน และก็สามารถบรรทุกของได้ประมาณ 200-300 กก. แต่เมื่อจะใช้ในการขนของเดินทางไกลอย่างต่อเนื่อง เราก็จะต้องลดน้ำหนักบรรทุกให้เหลือประมาณ 100 กก.(+เล็กน้อย)
ในการใช้ช้างบรรทุกของนั้น เขาจะไม่ใช้แหย่งที่ใช้เป็นที่นั่งของคนดังที่เราเคยเห็นกันทั่วๆไป เขาจะใช้ไม้ทำเป็นโครงสำหรับใส่ของวางพาดคร่อมหลังช้างลงไปข้างลำตัว ลดน้ำหนักจากการใช้แหย่งนั่งไปไม่น้อยเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 126 เมื่อ 04 เม.ย. 17, 20:02
|
|
นอกจากเรื่องของน้ำหนักบรรทุกแล้ว ก็จำเป็นจะต้องมีความรู้ในแง่มุมอื่นๆอีกด้วย
เรื่องแรก คือ ช้างนั้นเป็นสัตว์ตัวโตที่กินทั้งวัน ในช่วงเวลางานที่เราใช้เขานั้น เขาไม่มีโอกาสได้กิน ทำได้ก็เพียงใช้งวงเก็บเกี่ยวใบไม้ในระหว่างที่เดินผ่าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 127 เมื่อ 05 เม.ย. 17, 18:25
|
|
เนื่องจากพื้นที่รับผิดชอบในการสำรวจทำแผนที่ของผมนั้น ค่อนข้างจะเป็นพื้นที่ๆเกือบจะไม่มีหรือไม่เคยมีคนเดินทางเข้าไปในพื้นที่นั้นๆมาก่อน ทำให้การเดินสำรวจของผมจึงมีลักษณะเป็นการตัดสินใจว่าจะทำอะไรและอย่างไรเป็นวันต่อวัน ขึ้นอยู่กับข้อมูล สภาพและสถานะการณ์ที่ผ่านมาของแต่ละวัน
เรื่องดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากที่จะจ้างใครๆให้เดินไปทำงานกับเราโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร ....ฯลฯ แถมยังไปกับคนประหลาด เดินไป ต่อยหินไป เอาแว่นขยาย(hand lens หรือ loupe)มาส่องดูเนื้อหิน(mineralogical composition) พลิกไปพลิกมา เดินจ้องดูและเอามือลูบหินที่ปรากฎอยู่ที่นั้น (Out crop) เอาเข็มทิศไปทาบวัดทางนั้นทีตะแคงทางนี้ที (วัด attitude_strike & dip ของหน้าระนาบต่างๆ) นั่งคิด นั่งจดบันทึก บางทีก็วาดรูป บางทีก็ถ่ายรูปหิน กระเทาะหินออกมาเป็นก้อน เอาปากกาแมจิกเขียนลงบนก้อนหินนั้น แล้วก็เก็บใส่เป้สะพายข้าง แล้วก็เดินแบกไป ทำแบบนี้เกือบทั้งวัน ตกเย็นก็เอาตัวอย่างหินมากองรวม เอามาส่องกล้องดูซ้ำอีก คัดทิ้งบ้าง แต่ส่วนมากจะเก็บ ขนกลับ วันรุ่งขึ้นก็ทำแบบเดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 128 เมื่อ 05 เม.ย. 17, 19:22
|
|
ครั้งแรกสุด กว่าจะได้จ้างช้าง ต้องเสียเวลานั่งคุยกับกำนันอยู่สองสามวัน แถมไม่สำเร็จอีก ได้แต่คนมาเดินนำทาง(ว่าจ้าง) มาลองดูว่าเราพูดจริงหรือไม่ อาทิตย์ต่อมาจึงได้รู้ว่ากำนัน OK จะหาช้างให้สองตัวตามที่ต้องการ ยังจำชื่อควาญช้างได้เลยครับ คนหนึ่งชื่อจรูญ เจ้าของช้างพลายวัยหนุ่ม อีกคนหนึ่งชื่อ เกล้า เจ้าของช้างพังวัยสาวใหญ่ (ควาญช้างทั้งสองคนนี้อายุอ่อนกว่าผมไม่มากนัก คนหนึ่งในภายหลังได้เป็นผู้ใหญ่บ้าน อีกคนหนึ่งไม่ทราบข่าวคราวเลย) แล้วก็ยังต้องจ้างคู่หูประจำช้างแต่ละตัวอีกตัวละหนึ่งคน ที่เราเรียกว่า ตีนช้าง ?? เป็นอันว่า จ้างช้าง 2 ตัว ได้คนมา 4 คน
สำหรับอาหารนั้น เรื่องของช้างไม่ต้องห่วง แต่กลายเป็นว่าต้องมีภาระอาหารคนเพิ่มมากขึ้น ด้วยที่ผมพอจะรู้สภาพของการเดินสำรวจ และก็ให้บังเอิญว่าคนหนึ่งที่ยอมมาเดินเป็นตีนช้างนั้น เคยเป็นควาญช้างมา แถมยังเคยปราบช้างถึง 2 ตัวที่ดุขนาดเคยฆ่าคน มาแล้ว แล้วเขาก็ยังชอบเที่ยวป่าอีกด้วย ก็เลยได้คำตอบสำหรับการจัดทีมเดินสำรวจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 129 เมื่อ 05 เม.ย. 17, 19:55
|
|
คนที่เดินเป็นตีนช้างนั้น โดยพื้นฐานของการใช้งานช้างของชาวบ้านก็คือ เป็นผู้ช่วยควาญช้างในเรื่องที่ควาญช้างทำไม่ได้เนื่องจากนั่งอยู่บนคอช้างที่สูงจากพื้นดิน
ในภาวะการสู้รบที่เห็นภาพทหารประจำอยู่ที่ขาทั้งสี่ของช้าง ที่เรียกว่า จตุลังคบาท นั้น ผมมีความเห็นว่า น่าจะมาจากพื้นฐานว่า หนึ่งในจุดอ่อนของช้างที่มีอยู่นั้นก็คือ บริเวณรอยต่อของหนังที่หุ้มเล็บ เช่นเดียวกับที่รอยต่อของหนังที่หุ้มบริเวณโคนงา
ทหารทั้งสี่นายจึงมีหน้าที่ต้องป้องกันมิให้ผู้ใดสามารถเข้ามาใกล้เท้าช้างทั้งสี่ได้ ส่วนที่งวงนั้นไม่ต้องห่วง เพราะช้างเขาสามารถใช้งวงเล่นงานคนที่จะเข้ามาทำร้ายได้ด้วยตัวเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
heha
|
ความคิดเห็นที่ 130 เมื่อ 06 เม.ย. 17, 04:14
|
|
คห4 เรื่องเกี่ยวกับการพบแมวป่านี้ ทำให้ผมนึกถีงครั้งหนึ่งเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ.2515 ได้เห็นแมวตัวหนึ่งที่บริเวณชายป่าแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ช่วงเวลาเช้าประมาณ 7-8 โมงเช้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผมกำลังออกเดินลึกเข้าไปทำงานสำรวจในพื้นที่ป่า ก็ยังสงสัยว่าเป็นแมวป่าหรือแมวบ้าน เพราะว่า ณ พื้นที่นั้นในช่วง พ.ศ.นั้น ไม่มีหมู่บ้าน ไม่มีผู้คนเลย แถมอยู่ห่างจากพื้นที่ๆมีชุมชนอาศัยอยู่นับสิบๆ กม. จึงอาจจะเป็นเสือกระต่ายหรือแมวป่าก็ได้
นานมาแล้ว ข้างบ้านเป็นร้านขายกระสุนปืน เขาได้ขอลูกแมวป่าจากลูกค้า ลูกแมวลายเทาดำ ยังไม่ลืมตา เวลาป้อนนมใช้ขวดนม สลับกลับยืมแมวแม่ลูกอ่อนข้างบ้านมาเป็นแม่นม สัญชาตญาณป่าเข้มข้นเหลือหลาย ลูกแมวขู่ฟ่อทั้งที่ยังไม่ลืมตา เลี้ยงได้ไม่กี่วันก็เบื่อ ยกให้คนอื่นต่อ หากเลี้ยงต่อไป แมวป่าจะเคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดูเหมือนแมวบ้านหรีอเปล่าหนอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 131 เมื่อ 06 เม.ย. 17, 18:17
|
|
ที่คุณ heha ได้บรรยายว่า "ลูกแมวลายเทาดำ ยังไม่ลืมตา" นั้น
ลายสีเข้มที่วางพาดอยู่บนตัวลูกสัตว์ป่านั้น หากได้ติดตามดูภาพยนต์สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าต่างๆ ก็เกือบจะเห็นเป็นเรื่องปรกติ ซี่งสัตว์ป่าเหล่านั้นจะเป็นพวกสัตว์สี่เท้า ผมเคยเห็นลูกเจี๊ยบไก่ป่า ก็มีลายอยู่ข้างตัวเหมือนกัน และก็เคยเห็นงูที่มีลายดำพาดจากหัวยาวไปตามลำตัวแล้วก็ค่อยๆจางหายไปในกลุ่มเกล็ดที่เริ่มจะสะท้อนแสงจนสุดท้ายออกสีชมพูแวววับที่ส่วนปลายหาง งูนี้มีชื่ออะไรก็ไม่ทราบ เคยพบในพื้นที่ห้วยปะชิบนเส้นทางเข้าทุ่งใหญ่นเรศวร จ.กาญจนบุรี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 132 เมื่อ 06 เม.ย. 17, 19:06
|
|
สำหรับลายสีเข้มบนตัวลูกของสัตว์ป่านั้น ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่า เป็นเรื่องของระบบการพรางตัวเมื่อประสบกับผู้ล่าที่ใช้สายตาในการหาเหยื่อ ซึ่งผมมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้ กับลูกไก่ป่าครับ
วันหนึ่ง ขณะเดินอยู่ในห้วยขาแข้ง ก็ได้พบกับฝูงไก่ป่า 4-5 ตัว ไก่เหล่านั้นกำลังคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินโดยไม่มีอาการตระหนกตกใจ ไม่หนีพวกผม เมื่อเข้าไปใกล้มากพอในระยะประมาณ 4 ม. ก็ได้เห็นลูกเจี๊ยบอยู่หลายตัว จนเดินเข้าไปถึงฝูงแล้ว ไก่ใหญ่ทั้งหลายจึงบินหนีออกไป ทิ้งบรรดาลูกเจ๊ยบใว้ เราก็ช่วยกันหาลูกเจี๊ยบเหล่านั้น เริ่มต้นก็นั่งแล้วใช้มือกวาดใบไม้ตรงจุดที่เห็นว่ามีลูกเจี๊ยบอยู่ก่อนที่แม่ของมันจะบินหนีไป ควานหาในใบไม้ที่ร่วงปิดทับถมอยู่ก็ไม่มีเสียงเจี๊ยบๆใดๆเลย ในที่สุดก็ลุกขึ้นใช้เท้ากวาดไปกวาดมา หวังว่าจะได้จับลูกเจี๊ยบมาชมสักตัวหนึ่ง เหยียบตายไปสองตัวก็เลยต้องเลิก แสดงว่า ลายสีเข้มที่มีอยู่บนตัวของลูกสัตว์ป่านั้น ใช้ได้ผลอย่างดีเยี่ยมสำหรับการพรางตัว
สมัยที่ผมเดินทำงานอยู่นั้น สัตว์ป่าต่างๆจะไม่ตื่นหรือหนีคนในทันทีเห็น จะยืนจ้อง_มาแลดูกัน มาลันดูแก_กันสักพัก จนกว่าเราจะขยับใกล้เข้าไปจึงจะเดินหนี (ไม่ใช่วิ่งหนี) สำหรับเราเองก็มีสัตว์บางชนิดที่เราต้องเลือกที่จะเป็นฝ่ายหลบ ช้างนั้นแน่นอน กระทิง หมูป่า เสือ แล้วก็มีที่ต้องวัดใจกันคือ ลิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 133 เมื่อ 06 เม.ย. 17, 19:15
|
|
เรื่องของจตุลังคบาท กับจุดอ่อนของช้างที่มีอยู่บริเวณรอยต่อของหนังที่หุ้มเล็บและที่รอยต่อของหนังบริเวณที่หุ้มโคนงานั้น จะขอขยายความในวันพรุ่งนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 134 เมื่อ 07 เม.ย. 17, 18:10
|
|
ย้อนกลับไปที่ คห.132
สัตว์อีกชนิดหนึ่งที่เราต้องเลือกที่จะหลบ คือ หมี โดยเฉพาะในช่วงประมาณเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมที่มักจะพบเห็นเป็นคู่ เลยทำให้นึกถึงสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่จะต้องหลบเลี่ยงไปเลย คือ งูจงอาง โดยเฉพาะในช่วงเวลาประมาณเดือนเมษายน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|