naitang
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 09 ก.พ. 17, 18:32
|
|
คำ(เสียง)ที่พ่วงท้ายประโยคแล้วทำให้เปลี่ยนความหมายไปเป็นคำถาม ก็มีอยู่หนึ่งที่ออกเสียงคล้าย เอ๋ (eh ?) เสียงนี้หรือคำนี้ได้ยินเป็นปรกติในการสนทนาของผู้คนชาวแคนาดา และมีการใช้อยู่ในผู้คนชาวออสเตรเลียอยู่ไม่น้อย ในปัจจุบันนี้เราเริ่มได้ยินจากปากของนักท่องเที่ยวไม่น้อยแล้ว ซึ่งคนไทยก็ใช้กับนักท่องเที่ยวเช่นกัน ก็เป็นคำหรือเสียงที่ใช้เปลี่ยนความหมายของเรื่องราวได้ง่ายๆ ผู้คนชาว ASEAN ก็มีการใช้กันอยู่พอสมควรแล้วในถิ่นของตนเอง คิดว่าไม่นานก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของภาษาปรกติในการสื่อสารกันในยุค AEC
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 09 ก.พ. 17, 19:21
|
|
สำหรับวลี เช่น sort of ที่นิยมใช้เป็นปรกติในภาษาอังกฤษของชาวมาเลเซียและสิงคโปร์นั้น ไม่น่าจะเป็นที่นิยมใช้ของผู้คนใน AEC ในอนาคต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 10 ก.พ. 17, 19:26
|
|
ก็มีศัพท์เป็นจำนวนมากที่ออกเสียงมากกว่าสองพยางค์ ในเรื่องที่ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็มีอาทิ photography, chocolate, terminal ...ฯลฯ ในเรื่องทางวิชาการก็มี อาทิ chronology, sophisticated หรือ gas chromatograph ...ฯลฯ
คำหลายพยางค์ดังเช่น ตย. นี้ หากออกเสียงไม่ตรงกันหรือไม่คุ้นกับการออกเสียงของกันและกัน ก็เป็นอันวาฟังกันเกือบจะไม่รู้เรื่องเอาเลยทีเดียว การเน้นเสียงพยางค์ที่ถูกต้องเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งกับคำประเภทหลายพยางค์นี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 10 ก.พ. 17, 19:42
|
|
ท่านทั้งหลายที่เคยเข้าประชุมนานาชาติคงพอจะสังเกตเห็นได้อยู่บ้างว่า ในบรรดาคำกล่าวบนเวทีของบุคคลที่มาจากประเทศที่มิได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่และที่มิใช่เป็นนักวิชาการในศาสตร์นั้นๆ (นักการเมือง, หัวหน้าส่วนงาน) ในคำกล่าวเหล่านั้นเกือบจะไม่มีคำที่ออกเสียงมากกว่าสองพยางค์เลย ซึ่งแม้จะเป็นนักวิชาการบรรยายในทางวิชาการ คำศัพท์ทางวิชาการเช่นนั้นก็จะถูกเขียนให้ปรากฎอยู่ใน slide show เสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 10 ก.พ. 17, 20:28
|
|
ครับ.. เมื่อนายก็อยากแสดงว่าฉันก็มีความสามารถทางภาษานะ ผู้ใต้บังคับบัญชาก็อยากแสดงว่าฉันมีความรู้นะ แสดงร่วมกันเพื่อให้ภาพออกมาในองค์รวมว่าเรา (หน่วยงาน องค์กร ..) ก็มีเรื่องราวและความคิดเห็นที่ดีๆนะ
แต่ผลลัพท์มันไม่ใช่เลย ที่พูดได้ก็เพราะตนเองเคยมีประสบการณ์ต้องเข้าไปช่วยปรับคำกล่าวที่มีคำหลายพยางค์เยอะแยะไปหมด จะยึดถือร่างเดิมก็ได้ แต่หากออกเสียงไม่ถูกก็จะทำให้สาระดีๆที่จะสื่อความออกไปมันคงอยู่แต่ในกระดาษ คือ สื่อออกไปไม่ได้ กว่าจะถึงบางอ้อเหล็กก็หายร้อนตีขึ้นรูปไม่ได้เสียแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 11 ก.พ. 17, 20:06
|
|
นอกจากการเรื่องของการเน้นเสียงแล้วก็ยังมีเรื่องของความเร็วมาเกี่ยวข้องด้วยแล้ว การพูดช้าหรือเร็วมากไปก็มักจะฟังไม่ค่อยออกเช่นกัน ยิ่งหากผนวกกับการออกเสียงที่ราบเรียบและขาดเสียงของ ร (เช่น พีเมียร์ ..premier) หรือ ล (ค๊อก ..clock) ควบกล้ำเข้าไปอีก หรือมีจนมากเกินไป ก็เพิ่มความเป็นเป็นงงได้อีกไม่น้อย และยิ่งบวกคำที่ออกเสียงผิดเพี้ยนไปจากพยัญชนะตัวสะกดอีกด้วย (วัง ..one )
ก็คงจะเคยได้ยินสำเนียงเสียงลักษณะดังกล่าวจากทางสื่อต่างๆ (ทีวี วิทยุ ประกาศ ประชาสัมพันธ์) แม้กระทั่งจากครูบาอาจารย์จนเป็นปรกติแล้ว แล้วจะมิทำให้ภาษาหลัก(ไทย) ภาษารอง(อังกฤษ...) ที่จะต้องใช้ในชีวิตและในสังคมจะมิปรับเปลี่ยนไปกระนั้นหรือ ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 12 ก.พ. 17, 18:17
|
|
ทั้งหมดที่กล่าวถึงเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อมภายนอกที่จะต้องค่อยๆปรับเข้าหากัน
ดูจากอีกมุมหนึ่ง เมื่อไทยเราเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในเกือบจะทุกเรื่อง ผู้คนที่เข้ามาท่องเที่ยว มาทำงาน เข้ามาสัมผัสหรือสัมพันธ์กับคนไทยเรื่องต่างๆ ต่างก็ย่อมอยากจะทำตัวให้กลมกลืนไปกับสังคมที่ตนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยการเรียนรู้จากคนท้องถิ่น สิ่งที่จะได้เรียนรู้ก็คือภาษาไทยแบบสังคมยุคใหม่ ซึ่งผมคิดว่าคนรุ่นๆผมก็คงจะมีสภาพคล้ายๆกันคือ มีบ่อยครั้งมากที่ฟังออกแต่ไม่รู้เรื่อง จะต้องคิดแว๊ปหนึ่งจึงจะเข้าใจ (ก็ซ้ำรอยกับสภาพเดิมสมัยพ่อแม่กับเรา) ภาษาไทยที่ตัดให้สั้นลงเช่น วินาที เป็น วิ .. ก็ยังพอจะเดาออกได้ในทันใด แต่หากเป็นภาษาอังกฤษที่นิยมใช้คละเคล้าอยู่ในประโยคคำพูด ออกเสียงอย่างรวบ(ครับ..รวบ)เร็ว ไม่เต็มคำ เน้นเสียงไปอีกแบบหนึ่ง สนุกเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 12 ก.พ. 17, 19:19
|
|
คนต่างชาติเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานก็เรียนรู้ แล้วก็กลับไปสอนเพื่อนฝูงลูกหลานเพื่อจะได้เข้ามาหางานทำง่ายขึ้น ภาษาสื่อสารที่เป็นลักษณะเดียวกันในวงกว้างก็เกิดขึ้น
ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างการใช้ภาษาของชาวบ้านรวมทั้งเด็กที่ได้ร่ำเรียนมาหรือที่กำลังเรียนอยู่ ซึ่งเป็นภาษาที่ตั้งอยู่บนความถูกต้องตามหลัก กับ ภาษาของกลุ่มผู้คนอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่าคนอยู่ในเมือง
ครับ no right, no wrong แต่ภาษาพูด (colloquial language) กำลังจะเบียดเข้ามาเป็นหลักแทนภาษาเขียน (written language)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 13 ก.พ. 17, 18:20
|
|
ผมได้มีโอกาสเล็กน้อยไปทำงานอยู่ในช่่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่กำลังเริ่มขยับในบางประเทศ
ในประเทศแคนาดา ก็ในช่วงที่ผู้อพยพชาวเวียดนามและลาวกำลังผสมกลมกลืนกับคนเจ้าของประเทศในพื้นที่ทางฝั่งตะวันออก และชาวจีนจากฮ่องกงในพื้นที่ฝั่งตะวันตก ในยุโรป ก็ในพื้นที่ตะเข็บระหว่างยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออกในช่วงเวลาที่ EU กำลังขยายเขต(สมาชิก) ก็เป็นช่วงเวลาที่กำลังมีการเคลื่อนไหลของผู้คนข้ามภูมิรัฐศาสตร์ไปมา ในประเทศเราเองก็ในช่วงเวลาช่วงแรกๆที่ชาวไทยภูเขากำลังได้รับการเปลี่ยนบัตรประจำตัวจากสีฟ้าเป็นสีขาว
ก็เลยได้เห็นในบางสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในลักษณะ assimilation และ dissemination
ที่เล่ามานั้น ก็เพียงพยายามจะฉายภาพเล็กๆน้อยๆที่ได้สัมผัสมา ว่าจะพอจะมีเรื่องใดเกิดขึ้นบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 13 ก.พ. 17, 19:37
|
|
ส่งท้าย ก็อยากจะกล่าวว่า - แล้วในภาษากลางที่ใช้ในการสนทนาก็จะมีภาษาอื่นปนเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องปรกติที่ในระหว่างที่กำลังพูดกันออกรส ก็ดันนึกคำไม่ออกหรือไม่รู้จักคำศัพท์ ก็จะใส่ภาษาของตนเข้าไปแทน ฝ่ายผู้ฟังก็จะพยักหน้าเข้าใจ และก็มักจะเสนอคำของภาษากลางหรือคำของภาษาตัวให้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา ผมได้ฟังการสนทนาแบบคละนี้บ่อยมาก - แล้วภาษาเขียนก็เข้าใกล้กับการเขียนเป็นแบบโน๊ตสั้นๆ เป็นภาษาวลี มิใช่ภาษาเขียนตามปรกติ การเขียนแบบถูกต้อง เป็นประโยคสละสลวย ก็อาจจะสื่อความหมายกับอีกฝ่ายหนึ่งไม่ตรงกันก็ได้
- แล้วก็จะมีเรื่องของความหมายที่ลึกซึ้งของศัพท์ของภาษาหนึ่ง ที่ถูกแปลเป็นภาษากลาง(อังกฤษ)ในคำศัพ์หนึ่ง แล้วก็ถูกแปลมาเป็นอีกภาษาหนึ่ง ซึ่งให้ความลึกซึ้งไม่เหมือนกัน เช่น cute, pretty, beauty, gorgeous, elegance
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 07 ก.ค. 18, 07:52
|
|
ต่างชาติชมเด็กไทยที่ติดอยู่ในถ้ำว่าสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเยี่ยม แต่ผู้ใหญ่ไทยไฉนสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษแบบนี้ Thank you very much for you help. Robert Charles Harper (British cave-driver) ตัว r แรก จากคำว่า driver ควรไปอยู่ท้ายคำว่า you คำที่สอง จะดูดีขึ้นเยอะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 07 ก.ค. 18, 10:34
|
|
คนลอกลงแผ่นป้าย ตก r ไปตัวหนึ่งจากคำว่า you you help ไม่มี มีแต่ your help
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 07 ก.ค. 18, 11:01
|
|
cave driver นักขับรถในถ้ำ ก็คงไม่มี มีแต่ cave diver นักดำน้ำในถ้ำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 07 ก.ค. 18, 11:06
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 04 ต.ค. 18, 20:31
|
|
คำลงท้ายประโยคคำพูดว่า เนาะ ก็มีการใช้กันค่อนข้างจะแพร่หลายทั่วไปในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะกับคนในวิชาชีพแพทย์และอาจารย์ คำนี้ได้กลายเป็นคำต่อท้ายประโยคคำอธิบายหรือคำสอนต่างๆที่ทำด้วยความเมตตาเอ็นดู
คำนี้มีการใช้อยู่แล้วในภาษาพูดของภาคต่างๆ (ไม่รู้ว่ามีอยู่ในภาษาใต้หรือไม่ ?) เพียงแต่มีการออกเสียงต่างกันไปแยกกันชัดเจนเป็นถิ่นๆไป นะ ก็มี เน่อ ก็มี น่อ ก็มี เนาะ ก็มี ในยุคที่สังคมภูมิภาคต่างๆเริ่มคละกันก็ดูเหมือนจะฮิตออกเสียงเป็น เนอะ แต่ปัจจุบันนี้นิยมออกเสียงเป็น เนาะ เรื่อง เนอะ กับ เนาะ เป็นข่าวขึ้นมา ดาราใช้ เนอะ แต่แฟนคลับสับสนเพราะเข้าใจว่าใช้ เนาะได้อย่างเดียวถูกติงเรื่องใช้ภาษาไทยไม่ถูก ‘กบ สุวนันท์’ ถึงกับค้นข้อมูลมาแจงกบ สุวนันท์ ลงภาพลูกสาว น้องณดา พร้อมแจ้งข่าวแฟน ๆว่า หลังจากลูกชายคือน้องณดล ไข้ลด ตัวเธอเองก็อาการดีขึ้น ณดากลับมีไข้สูงเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังบอกทุกคนด้วยความเป็นห่วงว่าให้ดูแลสุขภาพให้ดี ซึ่งก็มีผู้เข้ามาท้วงติงเรื่องภาษาที่เธอใช้ เกี่ยวกับคำว่า 'เนอะ' กับ 'เนาะ' จนเจ้าตัวต้องเข้ามาเขียนชี้แจง https://www.matichon.co.th/entertainment/news_1161309
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|