ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
สาวไทยวัยใกล้กลางคนกวาดสายตาไปรอบๆ ร้านสะดวกซื้อซึ่งตั้งอยู่ ณ ชั้นล่างของอาคารสำนักงานที่ตนทำงานอยู่ ก่อนจะส่งยิ้มให้พนักงานสาวน้อยที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์และเอ่ยปากทักทายตามปกติวิสัยว่า
“สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ”
ถ้าเป็นวันอื่นๆ สาวน้อยคนเดิมจะส่งยิ้มอ่อน ๆ มาให้แต่เพียงอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรอีก อันเป็นที่เข้าใจกันได้ เนื่องจากการทักทายแบบนี้มิได้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดั้งเดิมของสังคมไทยเสียทีเดียว แต่เป็นสิ่งที่สาววัยกลางคนทำจนติดเป็นนิสัยเนื่องจากหน้าที่การงานและชีวิตประจำวันนั้นทำให้ต้องคลุกคลีตีโมงกับชาวต่างชาติอยู่ตลอดเวลา
ทว่าวันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ เพราะไม่เพียงแค่สาวน้อยหลังเคาน์เตอร์จะส่งเสียงตอบว่า “ไม่ค่อยสบายค่ะพี่” กลับมาให้คนถามแปลกใจเล่นเท่านั้น เธอยังอธิบายเสียยืดยาวด้วยว่า “หนูรู้สึกเบื่อๆ เศร้าๆ อย่างไรก็ไม่รู้ บางทีก็รู้สึกอยากร้องไห้ ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้เสียใจหรือกังวล พี่ว่าหนูบ้าหรือเปล่าคะ”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 10:57
|
|
เนื่องจากวันนั้นเป็นวันซึ่งอุณหภูมิในตอนเช้าลดต่ำลงกว่าปกติ และมีลมเย็นๆ พัดผ่านพอให้รู้สึกว่าฤดูหนาวที่รอคอยกำลังจะเดินทางมาถึงแล้ว บทสนทนาต่อจากนั้นจึงหันเหไปยังเรื่องที่เกี่ยวกับอิทธิพลของภูมิอากาศต่ออารมณ์ของมนุษย์ ด้วยเหตุที่สาวผู้สูงวัยกว่าเคยไปใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างเมืองมาหลายปี ทำให้ได้เคยสัมผัสกับเรื่องดังกล่าวมาแล้วด้วยตัวเอง จึงสามารถอธิบายจากประสบการณ์ส่วนตัวได้ถึงบทบาทที่ฤดูกาลต่างๆ มักจะมีต่อความรู้สึกของผู้คน และให้คำแนะนำที่อาจช่วยให้สาวน้อยคนนั้นสามารถบริหารจัดการกับอารมณ์และความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามฤดูกาลได้ในภายหลัง
เรื่องอิทธิพลของดินฟ้าอากาศต่ออารมณ์ของมนุษย์นี่เป็นเรื่องที่ฝรั่งเขาตื่นตัวและให้ความสำคัญมาก ถึงขนาดมีการบัญญัติคำศัพท์ทางจิตวิทยามาเรียกภาวะซึมเศร้าตามฤดูกาลว่า Seasonal Affective Disorder หรือ SAD เลยทีเดียว
ผู้รู้ฝรั่งเขาอธิบายว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้คนเรารู้สึกซึมเศร้ามากกว่าปกติในฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวนั้นน่าจะมาจากการที่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีแสงแดดน้อยกว่าปกติ เวลาที่แสงแดดตกต้องร่างกายของคนเรานั้นมันจะทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีในสมองซึ่งช่วยเสริมสร้างความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าหรือร่าเริงให้แก่เราได้ ดังนั้น การที่ร่างกายได้รับแสงแดดน้อยลงตามฤดูกาลจึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกซึมเศร้ามากกว่าปกติในช่วงเวลาดังกล่าว และหากเราไม่สามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าทำไมตัวเองถึงรู้สึกเช่นนั้น เราก็อาจจะยิ่งรู้สึกซึมเศร้ามากกว่าเดิมก็เป็นได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 10:57
|
|
ในสำนวนภาษาอังกฤษนั้นมีการนำดินฟ้าอากาศมาใช้อธิบายอารมณ์หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตเราอยู่เนืองๆ ที่จั่วหัวไว้ข้างบนว่า Under the Weather นั่นก็เป็นสำนวนหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ เวลาที่ชาวต่างชาติเขาพูดว่าเขากำลังรู้สึก “under the weather” แปลว่าเขาไม่ค่อยสบาย อาจจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัวเป็นไข้ อะไรทำนองนั้น (ส่วนมากมักจะได้ยินฝรั่งเขาพูดกันเวลาที่ใครคนใดคนหนึ่งเป็นหวัด)
ถ้าฝรั่งคนไหนเรียกเพื่อนคนใดคนหนึ่งของเขาว่า “fair-weather friend” ก็เท่ากับเขากำลังบอกเป็นนัยๆ ว่าเพื่อนคนนั้นคบไม่ค่อยได้ เพราะจะเป็นเพื่อนกับเขาก็เฉพาะเวลาที่เขาประสบความสำเร็จหรือมีความสุข แต่จะหายหัวทันทีที่เพื่อนต้องการความช่วยเหลือหรือมีความทุกข์ เพราะ fair-weather day นั้นคือวันที่อากาศค่อนข้างดี มีเมฆน้อย มีแสงแดดส่องสว่างพอประมาณ ไม่มีฝน อุณหภูมิหรือแรงลมอยู่ในระดับปกติ ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไปนั่นเอง
ฤดูหนาวอันยาวนานนั้นทำให้คนในแถบตะวันตกเขาให้ความสำคัญกับวันหยุดในช่วงฤดูร้อนมาก นี่เป็นสาเหตุให้ร้านรวงต่างๆ ในแถบยุโรปตอนเหนือบางประเทศเขาปิดให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคมทั้งเดือน แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วง high season ของปีก็ตาม ทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าเจ้าของร้านเองเขาก็อยากไปพักผ่อนรับสายลมและแสงแดดของฤดูร้อนเช่นดียวกับคนอื่นบ้างเหมือนกัน และถ้าไม่รีบไปตั้งแต่สิงหา เดี๋ยวพอถึงเดือนกันยาหรือตุลาประเทศเขาก็อาจจะไม่มีแสงแดดให้นอนอาบแล้ว เวลาเขาพักร้อนกันทีเขาก็ไปกันนานเป็นเดือน ไม่ใช่แค่สามสี่วันก็กลับมาทำงานด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 10:59
|
|
เขียนมาถึงตรงนี้แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า อเมริกันชนเขาไม่มีธรรมเนียมปิดร้านหนีนักท่องเที่ยวในช่วงปลายฤดูร้อนเหมือนคนยุโรป ตรงกันข้าม ฤดูร้อนคือฤดูทำเงินของคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการหรือท่องเที่ยว ดังนั้น เจ้าของหรือผู้บริหารกิจการต่างๆ ในอุตสาหกรรมนี้จึงไม่ใคร่จะอยากให้พนักงานลาหยุดกันยาวๆ สักเท่าไหร่ในช่วงนั้น (สมัยที่สาวใหญ่ไปเป็นโรบินฮู้ดอยู่ที่เมืองนอก จำได้ว่ารายได้จากการเป็นสาวเสริฟในร้านอาหารไทยในช่วงฤดูร้อนจะมากกว่าในฤดูหนาวอยู่โขทีเดียว เพราะคนที่นั่นมักจะออกมาทำกิจกรรมหรือทานอาหารนอกบ้านกันมากกว่า ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าในหน้าหนาวนั้นกว่าจะออกจากบ้านแต่ละทีก็ต้องมีพิธีรีตองนานมาก ตั้งแต่ต้องติดเครื่องยนต์ไว้ล่วงหน้าสัก 5 ถึง 10 นาทีเพื่อให้เครื่องทำความร้อนมันเริ่มทำงานก่อนเราจะขึ้นรถ แถมยังอาจต้องเสียเวลาโกยหิมะออกจากทางเข้าบ้าน หรือขูดหิมะออกจากกระจกรถทั้งหน้าและหลังอีก ในขณะที่ในหน้าร้อนนึกอยากไปไหนก็กระโดดขึ้นรถติดเครื่องยนต์แล้วออกไปได้เลย)
สาเหตุอีกข้อหนึ่งที่ทำให้คนอเมริกันเขาไม่ปิดร้านหนีนักท่องเที่ยวในช่วงปลายฤดูร้อนเหมือนคนในแถบยุโรป อาจมาจากทัศนคติต่อการทำงานที่แตกต่างกันก็เป็นได้ คนอเมริกันที่เกิดก่อนรุ่น Gen Me นั้นส่วนใหญ่จะบ้างานมาก โดยเฉพาะพวกที่ทำงานกับรัฐบาลกลางในกรุงวอชิงตัน ดีซี ถึงขนาดที่คนใกล้ตัวของสาวใหญ่ยังเคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนร่วมงานของเขาที่กระทรวงการต่างประเทศนั้นจะมองคนที่กลับบ้านก่อนสองทุ่มว่าเป็นพวก nobody คือพวกที่ไม่มีความสำคัญต่อนโยบายของรัฐ (เพราะถ้าเขาสำคัญจริง เขาจะมีงานให้สะสางยันดึกถึงแม้ว่าเวลาเลิกงานปกติคือห้าโมงเย็นก็ตาม)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 11:32
|
|
ทัศนคติแบบนี้เพิ่งจะมาเปลี่ยนได้ก็ตอนพลเอกคอลิน พาวเวลล์เข้ามาเป็นรัฐมนตรีนี่เอง โดยในวันแรกที่เข้ามารับตำแหน่งนั้นท่านรัฐมนตรีก็ได้ให้นโยบายกับลูกน้องไว้ว่า “ถ้าคุณไม่สามารถทำงานของคุณให้เสร็จลงได้ภายในเวลาทำการแปดชั่วโมงที่คุณมี นั่นอาจเป็นเพราะสาเหตุสองประการ ประการแรกคือมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับงานของคุณ ถ้าเป็นเพราะสาเหตุนี้ ขอให้มาพบผม ผมจะดูว่าจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเป็นเพราะประการที่สอง คือคุณเป็นคนทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ อันนั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องแก้ไขด้วยตัวคุณเอง” แปลสั้นๆ ว่ากรุณาหาสมดุลย์ระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้เจอ อย่าให้งานมาบงการชีวิตหรือแย่งเอาเวลาที่มีอยู่ทั้งหมดของตัวเองไป
นอกจากนี้ สภาพสังคมที่แตกต่างก็อาจเป็นสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ทัศนคติต่อการลาพักร้อนของอเมริกันชนแตกต่างไปจากคนในแถบยุโรป พลเมืองของหลายประเทศในยุโรปนั้นได้รับสวัสดิการสังคมที่ดีเยี่ยม พ่อแม่ไม่ต้องเสียเงินส่งลูกหลานให้เล่าเรียนจนจบปริญญาตรีเพราะรัฐออกให้หมด เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ไปหาหมอได้ฟรีเพราะเป็นส่วนหนึ่งของสวัสดิการที่รัฐจัดหาให้ บางประเทศก็มีการอุดหนุนนายจ้างเพื่อให้พนักงานที่เป็นแม่สามารถลาหยุดหลังคลอดบุตรได้นานถึงหกเดือนโดยได้รับค่าจ้างเต็มหน่วย ทำให้นายจ้างไม่ต้องกังวลว่าถ้ารับพนักงานผู้หญิงเข้ามาแล้วจะมีภาระค่าใช้จ่ายเยอะกว่าพนักงานชาย
หลังจากกลับมาทำงานแล้ว พ่อแม่ที่มีบุตรเกิดใหม่ยังสามารถลางานได้ปีละสองเดือนจนลูกเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายอีก เช่นที่สวีเดน ซึ่งให้พนักงานลาเลี้ยงลูกได้นานถึง 480 วันนับตั้งแต่วันที่ลูกเกิดจนลูกอายุครบแปดปี แถมระหว่างพ่อกับแม่นั้นจะแบ่งกันใช้วันหยุดเหล่านี้อย่างไรก็ได้ คนเป็นพ่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระคนเป็นแม่เพื่อให้ผู้หญิงสามารถแสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพการงานได้เช่นเดียวกับผู้ชาย ไม่ต้องกลัวว่าพอลาไปเลี้ยงลูกนานๆ แล้วจะถูกนายหมายหัวว่าทำงานไม่คุ้มค่าจ้าง อะไรทำนองนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 11:33
|
|
แต่เมื่อเราหันมาดูในอเมริกาเราก็พบว่า เพิ่งจะมาไม่กี่ปีมานี้เองที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ออกกฎหมายมาบังคับให้พลเมืองทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ และเปิดโอกาสให้ใช้เงินภาษีไปอุดหนุนคนจนหรือคนที่มีรายได้ปานกลางเพื่อให้เขาสามารถจ่ายค่าประกันสุขภาพรายเดือนได้ ส่วนเรื่องการศึกษานั้น ถ้าใครส่งลูกไปโรงเรียนของรัฐก็ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่พอถึงระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ตัวใครตัวมัน แถมค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยของอเมริกาก็ไม่ถูกเสียด้วย (ถึงได้มีคำพูดที่ว่า เด็กที่เพิ่งจบปริญญาตรีในอเมริกานั้นส่วนมากจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยการเป็นหนี้) ยิ่งเรื่องลาคลอดนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง อเมริกาอยู่ในสถานะที่ล้าหลังกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มาก เพราะถึงกฎหมายที่นั่นเขาจะให้พนักงานหญิงสามารถลาคลอดได้สามเดือนเหมือนในเมืองไทยก็จริง แต่ก็เป็นสามเดือนที่ไม่ได้รับค่าแรง แถมคนที่จะมีสิทธิลาคลอดได้สามเดือนโดยที่ไม่ได้รับค่าแรงนี้ยังต้องเป็นพนักงานของหน่วยงานรัฐหรือเอกชนที่มีลูกจ้างไม่น้อยกว่า 50 คนเสียอีก และต้องทำงานกับหน่วยงานหรือองค์กรนั้นๆ มาแล้วอย่างน้อยหนึ่งปี จึงเท่ากับว่าร้อยละ 40 ของคนทำงานในอเมริกาที่เป็นสตรีไม่เข้าข่ายนี้ไปโดยปริยาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 11:34
|
|
ออกนอกเส้นทางยาวไปถึงเชียงใหม่แล้ว ขออนุญาตกลับเข้าเรื่องสำนวนที่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศต่อนะคะ อย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วว่าฝรั่งเขาให้ความสำคัญกับภูมิอากาศมาก ดังนั้นเวลาที่เขาจะพูดเปรียบเปรยหรืออธิบายถึงอะไรดีๆ เขาจึงมักจะนำคุณศัพท์ warm หรืออบอุ่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ เช่น warm welcome คือการต้อนรับอย่างอบอุ่น คนที่มี warm personality คือคนที่มีบุคลิกอบอุ่น ร่าเริง น่าเข้าใกล้ เวลาที่เรารู้สึก warm to someone คือเวลาที่เราเริ่มจะรู้สึกเป็นมิตรหรือผูกสมัครรักใคร่กับคนผู้นั้น ในทางกลับกัน คำหรือคุณศัพท์ว่า cold จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสำนวนที่ให้ความรู้สึกตรงกันข้ามกับ warm เอาไว้อธิบายถึงอะไรที่ไม่ดีไปโดยปริยาย
เมื่อไม่กี่วันมานี้มีการเผยแพร่รายงานเรื่องแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีที่กำลังจะมาถึง ซึ่งจัดทำโดยศูนย์วิจัยของธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ผู้จัดทำรายงานฉบับดังกล่าวได้แสดงออกซึ่งความมั่นใจในพื้นฐานอันแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ แม้จะยังขยายตัวในอัตราที่ต่ำสุดในภูมิภาค การพูดเช่นนี้อาจช่วยให้คนไทยบางกลุ่มรู้สึกมั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจของชาติจะยังไม่ล่มสลายแม้จะได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ แต่สำหรับคนที่ต้องถูกปลดออกจากงานเพราะกิจการเจ๊ง หรือคนหาเช้ากินค่ำซึ่งต้องเผชิญกับภาวะที่กำลังซื้อในประเทศลดลงอย่างฮวบฮาบมานานหลายปี และยังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้องขึ้น การพูดแบบนี้คงเป็นได้แค่ “cold comfort” หรือคำปลอบใจที่อาจฟังดูสวยหรู แต่ไม่ช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่เขาเผชิญอยู่ให้ดีขึ้นได้เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ปัญจมา
อสุรผัด

ตอบ: 100
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 10 ธ.ค. 16, 11:35
|
|
เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านบางท่านอาจจะอยาก turn cold shoulder ให้แก่ผู้เขียนก็เป็นได้ ในฐานะที่ไม่ยอมมองโลกในแง่ดีอย่างที่รัฐบาลอยากจะให้มอง to give หรือ to turn cold shoulder to someone แปลว่ามีอาการมึนตึงต่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือปฏิบัติต่อผู้ใดผู้หนึ่งอย่างไม่เป็นมิตร ในสมัยโบราณ การ give หรือ turn cold shoulder to someone นั้นคือการแล่เนื้อชิ้นที่วางทิ้งไว้จนเย็นชืดแล้วนำไปเสริฟให้แขกผู้มาร่วมทานอาหารด้วยทั้งๆ ที่ไม่ได้รับเชิญ หรือแขกที่อยู่นานจนเจ้าของบ้านอยากจะเสียมารยาทไล่กลับเสียเต็มแก่ แทนที่จะเสริฟอาหารที่เพิ่งออกมาจากเตาร้อนๆ ให้ตามธรรมเนียมของเจ้าบ้านที่ดี เพราะฉะนั้น ใครที่ไปเยี่ยมใครในเวลารับประทานอาหารเย็นโดยที่ไม่ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้า หรือแวะไปหาเพื่อนแล้วนั่งพล่ามกับเขาเป็นชั่วโมงโดยที่ไม่ได้สนใจอาการกระสับกระส่ายของเจ้าบ้านเลย ถ้าเจ้าของบ้านเขาเอาอะไรเย็นๆ ชืด ๆ มาเสิรฟให้ ก็ให้รู้ได้เลยว่าถึงเวลาที่จะต้องลากลับแล้ว ถ้าไม่อยากให้ friendship ของคุณกับบุคคลผู้นั้นต้อง turns cold ในภายหลัง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|