วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๖ เวลาบ่ายสองโมงตรง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเครื่องบรมขัตติยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลา เสด็จออกเกยพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท ประทับพระราชยานพุตตานทอง ขณะนั้นทหารบกยิงปืนใหญ่เฉลิมพระเกียรติ ๒๑ นัด ขบวนเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราเคลื่อนตัวออกช้าๆท่ามกลางเพลงสรรเสริญพระบารมี เสียงประโคมแตรสังข์และมโหรทึกดังกึกก้องโสตประสาท บัดนั้นปรากฏเมฆใหญ่เคลื่อนตัวเข้าแทรกพระสุรีย์ศรี บังเกิดร่มเงาปกป้องขบวนเสด็จและไพร่ฟ้าประชาชนที่มาชุมนุมกันแน่นชนัดเพื่อชื่นชมพระบารมี ตั้งแต่หน้าพระราชวังไปตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนิน
ผมมีความรู้สึกเหมือนเดินลอยไปข้างหน้า วันซ้อมกับวันจริงเป็นคนละเรื่อง ทั้งเสียงและภาพที่กระทบอายตนะโสตประสาทมันสุดที่สัญชาติญาณของมนุษย์จะรับได้ ภาพของประชาชนที่เฝ้ารอรับเสด็จและใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆ แต่คุณคงนึกภาพออกนั่นแหละ มันเป็นภาพของความรักระหว่างประชาชนกับพระราชาที่ไม่มีที่ไหนในโลก
ขออนุญาตท่านอาจารย์ NAVARAT C. ร่วมระลึกประวัติศาสตร์วันนั้นด้วย
วันนั้นผมและน้องสาวอีก 2 คนก็เป็นส่วนของประชาชนที่เข้ามารับเสด็จด้วย นั่งกันอยู่ริมท้องสนามหลวง เยื้องๆศาลพระหลักเมือง ตรงหัวขบวนวงโยธวาทิตย์ของกองทหารมหาดเล็กพระองค์พอดี จำไม่ได้ว่าพวกปี่ กลองชนะ มโหระทึก อยู่หน้าหรือหลังวงโยฯ ก็ตื่นตาตื่นใจเพราะไม่เคยเห็นกระบวนพระราชพิธียิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน พอกระบวนเริ่มเคลื่อนเพลงที่บรรเลงนำจำได้ว่าคือเพลงคลื่นกระทบฝั่ง จังหวะสโลว์มาร์ช(จำติดหูถึงทุกวันนี้) ด้วยรู้สึกต่างๆประดังเข้ามาถึงกับขนลุก ขบวนเริ่มเคลื่อนผ่านช้าๆเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อ จนกระทั่งขบวนพระราชยานคานหามซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระทับบนพระที่นั่งพุดตานทอง ทรงครุยราชภูษิตาภรณ์ ทรงพระมหามาลาเส้าสะเทินประดับขนนกวายุภักษ์ ค่อยๆผ่านมาโดดเด่นและงามสง่ายิ่ง ได้เฝ้าชมพระบารมีของพระองค์ได้อย่างจุใจ เพราะกระบวนเคลื่อนไปช้าๆเห็นพระองค์ท่านชัดเจน สมกับที่ตั้งใจมาเฝ้า ด้วยว่าตอนนั้นเป็นนักเรียนมัธยมชานเมือง ได้แต่ยืนเข้าแถวรับเสด็จเวลาที่ขบวนเสด็จฯกลับจากพระราชภารกิจทางจังหวัดภาคตะวันออก ขบวนเสด็จจะผ่านแว้บไปอย่างเร็ว ต้องคอยจ้องจับรถเก๋งที่มีธงมหาราชให้ดี
พสกนิกรที่มาเฝ้ารับเสด็จเวลานั้นน่าจะในกรุงเทพฯเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เนืองแน่นเรียงรายสองฟากถนนที่กระบวนพยุหยาตราฯผ่าน
น้องสาว 2 คน ตอนนั้น คนหนึ่ง 12 ขวบ อีกคน 9 ขวบ ที่พาทั้งสองคนไปด้วย ก็เพื่อจะได้มีโอกาสอยู่ในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งร่วมกับพระเจ้าอยู่หัวของเรา ซึ่งโอกาสต่อไปไม่รู้จะมีอีกเมื่อไร
ล่าสุดได้พบทั้งสองคนเมื่อ 20 ต.ค. 2559 ที่ผ่านมา มาร่วมยินดีกับหลานสาวที่ได้รับพระราชทานปริญญาบัตร(รุ่นสุดท้ายในรัชกาลที่ 9) ได้ถามถึงเหตุการณ์วันนั้น คน 12ขวบตอบว่าค่อนข้างเลือนลาง คน 9ขวบบอกว่า จำได้ แต่มีเลือนไปบ้าง ก็เวลาตั้ง 53 ปีมาแล้ว
สำหรับตัวผมเองเป็นความระลึกแจ่มชัดอยู่ในจิตวิญญาณจนวาระที่สุดของชีวิต