NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 165 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 08:06
|
|
พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง แม้จะทรงเจริญพระชนมายุเกินกว่าข้าราชการสามัญชนวัยเกษียณอายุแล้ว คนก็ยังดูว่าพระองค์ยังจะทรงงานหนักได้อีกหลายสิบปี ยิ่งได้ฟังมาว่าทรงปรารภพระราชฉันทะว่าจะทรงอยู่ให้ถึง ๑๒๐ ปีด้วยแล้ว คนก็ดูเหมือนจะเบาใจว่าพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้จะเสด็จอยู่เป็นมิ่งขวัญประชาชาติอีกนาน แต่ความไม่เที่ยงแท้แน่นอนคือสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน ครั้นพระชนมายุเลยหกสิบพระชนษาไปไม่เท่าไร พระองค์ก็ทรงพระประชวรหนักเป็นครั้งแรกจากเชื้อไมโครพลาสม่าที่ทรงได้รับจากสะเมิง อำเภอที่อยู่บนดอยสูงแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่จากการที่ได้เสด็จไปที่นั่นบ่อยๆ หลังทรงพบว่าชาวบ้านจำนวนมากเป็นโรคคอพอก แม้ทางการสาธารณสุขจะเอาเอาเกลือเสริมไอโอดีนมาแจกประจำ แต่เจ้าหน้าที่กราบบังคมทูลว่าชาวบ้านไม่ยอมใช้ เพราะกลัวจะเป็นอันตราย พระพุทธเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้นำเกลือเสริมไอโอดีนมาใหม่ แล้วเสด็จทรงแจกประชาชนด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพราะเป็นเกลือพระราชทาน ชาวบ้านจึงยอมเชื่อว่าเกลือชนิดนี้กินแล้วจะดีจึงยอมรับ จนต่อมาไม่พบคนป่วยโรคคอพอกที่สะเมิงอีกเลย
ทรงเสด็จขึ้นๆลงๆสะเมิงอีกหลายครั้ง ทรงนำพันธ์สตรอเบอรี่หลวงไปแนะนำให้คนที่นั่นปลูก ผมไปทำงานเอาวัสดุภัณฑ์ของผมไปติดตั้งที่สะเมิงอยู่พักใหญ่ ในระยะที่เป็นหน้าสตรอเบอรีพอดี ทุกหนทุกแห่งชาวบ้านหน้าตาแจ่มใส พ่อค้ามารับซื้อผลผลิตถึงหน้าบ้านทุกวัน แต่ก่อนที่สะเมิงจะมีวันนั้น พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงตรัสว่า "ฉันขึ้น-ลงสะเมิงอยู่หลายปี จนได้รับเชื้อไมโครพลาสม่า ซึ่งในที่สุดทำให้ฉันเป็นโรคหัวใจเต้นไม่ปกติ จนเกือบต้องเสียชีวิต"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 166 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 08:16
|
|
เชื้อไมโครพลาสม่าที่ทำให้ทรงพระประชวรหนักเป็นครั้งแรกทำให้ทรงมีพระหทัยเต้นผิดปกติเรื้อรัง แม้คณะแพทย์จะพยายามเท่าใด ก็ไม่อาจถวายการรักษาให้หายขาดได้ ทำได้เพียงถวายพระโอสถประคองพระอาการมาตลอดเท่านั้น แต่เรายังคงเห็นพระพุทธเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่ จนกระทั่งประมาณแปดปีต่อมาทรงต้องเสด็จเข้าทรงรับการรักษาอาการพระประชวรทางพระหทัย เนื่องจากขาดเลือดเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ คณะแพทย์ถวายการรักษาโดยขยายหลอดเลือดเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๓๘ แต่ก็ทรงต้องเสด็จกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งในเดือนกันยายน ปีเดียวกัน เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเส้นเดิมที่ได้ขยายไว้แล้วนั้นตีบ คณะแพทย์จึงถวายการรักษาโดยขยายหลอดเลือดด้วยวิธีเดิมคือ ใส่สายสวนที่มีลูกโป่งเข้าหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเพื่อขยายจุดที่ตีบนั้น
แต่ครั้งนั้นคือครั้งที่ระทึกใจที่สุด ผมมาได้ฟังหลังจากปากผู้ใกล้ชิดพระองค์ที่สุดคนหนึ่งว่า ทุกคนพากันกลั้นใจรอฟังผลจากหมอ เพราะโอกาสที่จะสำเร็จมีเพียงห้าสิบห้าสิบเท่านั้น
พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงผ่านจุดวิกฤตนั้นมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะทรงงานหนักได้ดังเดิมอีกแล้ว การที่พระองค์ทรงต้องประทับอยู่แต่ในวัง หรือโรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ เด็กที่โตในช่วงนี้หลายคนจึงไม่ได้เห็นพระองค์ท่าน ไม่ได้เข้าใจว่าทำไมคนรุ่นพ่อรุ่นปู่จึงรักในหลวงกันขนาดนั้น คนรุ่นใหม่บางคนที่คิดว่าตนฉลาดเลิศประเสริฐศรีถึงกับกล่าวหารุนแรงว่าคนไทยเป็นทาษที่ไม่ยอมถูกปลดปล่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 167 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 08:55
|
|
ในปี ๒๕๕๓ เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ผมได้เห็นพระพุทธเจ้าอยู่หัว เมื่อวันหนึ่งได้รับการติดต่อมาจากกรมชลประทาน ให้เอาว้สดุภัณฑ์ที่บริษัทของผมผลิตไปติดตั้งในวังสวนจิตรลดา
ช่วงนั้น พระสุขภาพพลามามัยของพระองค์อยู่ในระดับดี แพทย์ยอมให้เสด็จกลับจากโรงพยาบาลศิริราชมาประทับที่พระตำหนักเปี่ยมสุขได้ ทรงทอดพระเนตรเห็นเกาะเล็กๆที่อยู่กลางสระน้ำหลังพระตำหนักกลายเป็นที่ยึดครองของนกกระทุง นกนี้ไม่มีใครเลี้ยง แต่มันได้มาอาศัยใบบุญในพระราชฐานดำรงชีพ ขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานมาเป็นจำนวนมาก และจำเพาะจะชอบขึ้นไปวางไข่บนเกาะนั้นเสียด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 168 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 08:57
|
|
แต่การขึ้นไปบนเกาะของมันต้องใช้เล็บตะกุยขึ้นไปทำให้ตลิ่งพังเสียหาย จึงทรงมีพระราชกระแสให้กรมชลช่วยดูแลตรงนี้ให้ นายช่างกรมชลจึงออกแบบตลิ่งใหม่และจะปรับหน้าดินปลูกหญ้าให้สวยงามดังเดิม ผลิตภัณฑ์ “ผ้าห่มดิน”ของผมเป็นที่ต้องการในจุดนี้ เพื่ออนุบาลหญ้าใหม่ที่รากยังไม่เดิน ไม่ให้ถูกนกจิกกินเสียหายหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 169 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 08:59
|
|
ผมไปกันแต่ช่วงสายๆ ถึงแล้วก็ทำงานกันไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 170 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 09:01
|
|
แล้วเวลาอันเป็นศิริมงคลแก่ทุกคนก็มาถึง ในยามบ่ายประมาณสามโมงเศษ ผมได้ยินเสียงคนงานของผู้รับเหมาของกรมชลที่ทำงานในส่วนอื่นส่งเสียงว่ามาแล้วๆ มองขึ้นไปเห็นนางพยาบาลเข็นรถพระที่นั่งออกมายังระเบียงที่เงาตึกกำบังแดดให้แล้วในยามนั้น ระยะห่างจากจุดนั้นมาที่เกาะเพียง ๑๔๐ เมตรเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 171 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 09:08
|
|
ผมก็บอกให้คนของผมให้เตรียมพร้อม นั่งลงคุกเข่า พอนางพยาบาลเข็นรถพระที่นั่งเข้าที่สนิท ผมก็ส่งเสียงสัญญาณเบาๆแล้วเราทั้งสี่คนก็ถวายบังคมพร้อมกัน หลังจากนั้นคนของผมก็ไปทำงานต่อ ส่วนผมก็นั่งสำรวมกายอยู่ ณ ที่นั้น เห็นว่าทรงยกกล้องส่องทางไกลขึ้นทอดพระเนตรลงมา สักพักก็รับสั่งให้พยาบาลเข็นรถพระที่นั่งไปทางอื่น
เห็นพระอิริยาบทแล้ว ความสุขกับความทุกข์ในใจมันก้ำกึ่งกัน พระพุทธเจ้าอยู่หัวของผมมิได้เหมือนกับองค์ที่ผมเคยเห็นในครั้งที่แล้วๆเลย
นั่นแหละครับ คือครั้งสุดท้ายที่ผมได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายงานไว้ยังพระตำหนักที่ทรงถือเป็น “บ้าน” ของพระองค์ ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นก็ทรงต้องกลับไปประทับยังโรงพยาบาลอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 172 เมื่อ 14 พ.ย. 16, 09:19
|
|
หลังจากนั้นแล้ว ผมก็มีโอกาสจะได้เห็นพระองค์อีกก็จากจอทีวีเพียงอย่างเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 173 เมื่อ 15 พ.ย. 16, 09:19
|
|
เรื่องของผมก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านอื่นจะมีเรื่องเล่าคล้ายกันมาลงก่อนที่ท่านอาจารย์เทาชมพูจะกลับมาจากญี่ปุ่น ก็เชิญนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ธสาคร
|
ความคิดเห็นที่ 174 เมื่อ 17 พ.ย. 16, 13:34
|
|
วิฬาร์สถิตถิ่นด้าว อาทิตย์ อุทัย มุสิกพลันฟุดฟิด ลั่นเหย้า ใคร่สนองตอบลิขิต ให้ครั่น ครื้นเครง ทว่าเรื่องเล่าเข้าเฝ้า แทบไท้ ไป่มี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 175 เมื่อ 17 พ.ย. 16, 20:54
|
|
กลับมาแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 176 เมื่อ 17 พ.ย. 16, 21:34
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 177 เมื่อ 25 พ.ย. 16, 19:08
|
|
เรื่องของผมก็มีเพียงเท่านี้ หากท่านอื่นจะมีเรื่องเล่าคล้ายกันมาลงก่อนที่ท่านอาจารย์เทาชมพูจะกลับมาจากญี่ปุ่น ก็เชิญนะครับ
กระทู้ใกล้ตกหน้ากระดาน ดูเงียบๆไป ก็เลยจะขอนำเรื่องความทรงจำที่ประทับใจเป็นอย่างมากของผมมาเล่าสู่กันฟังบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 178 เมื่อ 25 พ.ย. 16, 20:28
|
|
เป็นเพื่อนรักกับคุณ NAVARAT C. ร่วมโรงเรียนกินนอนมาด้วยกันนานอยู่หลายปี ช่วงเป็นเด็กก่อน พ.ศ. 2502 อยู่ต่างคณะกัน (หอพัก) แต่หลังจากนั้นก็ข้ามมาเป็นเด็กโตอยู่คณะเดียวกัน ก็เลยมีเรื่องราวความประทับใจไม่ต่างกันนัก
พอจะจำได้ว่า ประมาณ พ.ศ. 2498 หรือ '99 ผมได้ว่าผมถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 4 สำหรับผู้แสดงชุด "แย้ลงรู" แสดงต่อหน้าพระพักตร์ในงานที่โรงเรียนจัดถวายเพื่อความสำราญพระราชหฤทัยเช่นเดียวกับที่คุณ NAVARAT C. ไปแสดง (คห.45-48) ผมต้องใส่ชุดเป็นอาหมวย ใส่เสื้อแพร กางเกงแพร อีกคนใส่ชุดแขก แต่อีกสองคนนั้นจำไม่ได้ ไม่ชอบเลยที่ต้องแต่งตัวในลักษณะนั้น และโกรธมากที่เกื่อนล้อเลียน จำได้ว่าการแสดงชุดของผมนี้เป็นในช่วงบ่ายแก่ๆ (คงจะประมาณบ่าย 4-5 โมงเย็น) จำได้ว่ามีกลุ่มคนยืนส่งเสียงเชียร์อยู่และได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์และสมเด็จนางเจ้าพระบรมพระราชินีนาถยิ้มแย้ม ผมแพ้ในการแสดงชุดนี้ ไม่สามารถดึงเชือกไปคว้าธงที่ปักอยู่ได้ ครับ ใส่ชุดอาหมวยแต่ใส่รองเท้าหนังผูกเชือกตามเครื่องแบบของโรงเรียน แข่งกันบนสนามหญ้า ก็ลื่นไถลกันไปมาทั้งสี่คนที่แสดงกันนั้นแหละครับ ก็คงจะเป็นภาพที่น่าจะดูเอ็นดูดีไม่น้อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 179 เมื่อ 26 พ.ย. 16, 08:14
|
|
ผมเข้าใจเอาเองว่า หลังจากที่เด็กวชิราวุธเข้าไปแสดงการละเล่นถวายทอดพระเนตรตามที่ผมและคุณนายตั้งเล่า เด็กโรงเรียนจิตรลดาก็คงจะพอแสดงเองได้แล้ว พวกเรารุ่นหลังๆจึงไม่มีประสบการณ์เช่นนั้นอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|