เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 7957 น้อมถวายความอาลัย พระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 10:59

ฟ้ายังไม่สาง ผมมาถึงสนามหลวง แปลกใจที่เห็นประชาชนหนาตา ถึงกำแพงพระบรมมหาราชวังจึงได้ประจักษ์ว่าทุกคนมุ่งมาทำอะไร


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 11:04

ตื้นตันในความรักของคนไทยที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่พยายามจะแสดงออกเท่าที่ทุกคนจะกระทำได้ เพื่อสนองพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงเคยมีต่อพศกนิกรของพระองค์


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 12:10

แต่เขาสั่งห้ามเสียแล้วครับ อ้างว่าเขม่าเปื้อนกำแพง
บันทึกการเข้า
ninpaat
ชมพูพาน
***
ตอบ: 167


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 14:28

จากรูปแรกของท่านอาจารย์ จะเห็นยอด พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท
ห่างออกไปทางทิศตะวันออกไม่ถึง 100 เมตร

นี่ น่าจะเป็นที่ ที่ใกล้ทีสุดแล้ว
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 16:24

ใกล้กว่านั้นก็มีครับ แต่มันคนละเรื่องกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 17:55

               

ตื่นขึ้นมาวันนี้ ไม่มี " พ่อ"
รันทดท้อหัวใจไม่รู้จบ
ทั้งแผ่นดินท่วมท้นล้นทำนบ
ด้วยน้ำตาไหลพบบรรจบกัน

ทศพิธราชธรรมทรงบำเพ็ญ
ทั่วโลกเห็นประจักษ์ล้นทุกคนนั่น
พระเกียรติคุณส่องสว่างดั่งตะวัน
บัดนี้พลันตะวันดับไปกับตา

ก่อนหน้านี้ ขุนเขาใดไม่เคยเฝ้า
มีหมู่บ้านใดเล่าไม่เห็นหน้า
พื้นดินไหนไม่ได้รองพระบาทา
ใต้แผ่นฟ้าแดนไทย ย่อมไม่มี

รอยพระบาทยาตราทั่วหล้าแหล่ง
ดับร้อน ดับแล้ง ทุกแห่งที่
ที่ไหนไหนก็ด้วยพระจักรี
พลิกชีวีชนฟื้นให้ชื่นบาน

โอ้วันนี้ รอยพระบาทมาขาดหาย
สิ้นจันทร์ฉาย สิ้นดวงสุรีย์ฉาน
เหลือแต่ความมืดมนอนธกาล
เย็นยะเยือกดวงมานอีกนานนัก

เห็นแต่เทียนพระทรงชัยใสสว่าง
เป็นเส้นทางสร้างไว้ให้เป็นหลัก
จะเดินตามพระปณิธานสานใจภักดิ์
เพื่อถวายความจงรักและภักดี

กุศลกรรมใดใดทั้งใหญ่น้อย
ที่บังเกิดเมื่อตามรอยพระบทศรี
ขอถวายด้วยใจภักดิ์พระจักรี
เพื่ออยู่ใต้พระบารมีทุกชาติไป

ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้

บทประพันธ์โดยรองศาสตราจารย์ ดร. คุณหญิงวินิตา ดิถียนต์(แก้วเก้า/ว.วินิจฉัยกุล)
ศิลปินแห่งชาติ
บันทึกการเข้า
paganini
องคต
*****
ตอบ: 406

ทำงาน


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 18:21

วันที่ 16 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง แจ้งให้ทราบเรื่องการออกพระนาม โดยยกเลิกการใช้พระนาม "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" ด้วยการเปลี่ยนเป็น

1.ใช้พระนามเต็ม:

- พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร หรือ

2.ใช้พระนามย่อ:

-พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช



http://www.isranews.org/isra-news/item/50871-kingbhumibol_50871.html
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 16 ต.ค. 16, 19:06

ที่มา   FB ของ   วรรณคดีพระราชหัตถเลขา

ว่าด้วยคำว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ"
คำนี้เกิดขึ้นเพราะธรรมเนียมโบราณแต่เดิมของไทย ผู้น้อยจะไม่บังอาจเอ่ยชื่อของผู้ใหญ่ หรือเอ่ยพระนามพระเจ้าแผ่นดินหรือเจ้านายออกมาเป็นอันขาด ถือว่าเป็นการล่วงเกิน ไม่เคารพ
ทั้งพระนามพระมหากษัตริย์ในอดีตก็ไม่มีการขนานพระนามเป็นการเฉพาะ คนจะเรียกกษัตริย์พระองค์ใดก็ตามใจคนเรียก เช่น พระเจ้าเสือ ขุนหลวงหาวัด อย่างนี้เป็นต้น ความรู้นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงอธิบายไว้ในหนังสือ "พระราชกรัณยานุสร"
ตัวอย่างสำคัญของการที่คนสมัยก่อนไม่ออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินตรงๆ อีกก็เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 3 คนเรียกแผ่นดินรัชกาลที่ 1 ว่า แผ่นดินต้น เรียกแผ่นดินรัชกาลที่ 2 ว่าแผ่นดินกลาง รัชกาลที่ 3 ทรงเห็นว่าไม่เป็นมงคล เพราะเรียกเช่นนี้ แผ่นดินของพระองค์ก็จะกลายเป็นแผ่นดินปลาย
ก่อนหน้าที่คนจะเรียกแผ่นดินต้น แผ่นดินกลาง คนก็เอ่ยถึงพระเจ้าอยู่หัวที่สวรรคตว่า ในพระบรมโกศบ้าง พระพุทธเจ้าหลวงบ้าง เหตุก็เพราะธรรมเนียมโบราณที่ผู้น้อยไม่ออกชื่อผู้ใหญ่นี้เอง
ต่อมาพระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงเปลี่ยนธรรมเนียมนี้ เริ่มจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูป 2 องค์คือ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วโปรดเกล้าฯ ให้คนขานพระนามแผ่นดินรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ตามนามพระพุทธรูปทั้งสองนั้น
หลักฐานอ้างอิงในเรื่องนี้ ดังในหนังสือ "พระราชพิธีสิบสองเดือน" ว่าด้วยพระราชพิธี เดือน 5 พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงอธิบายว่า เหตุที่รัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระพุทธรูปสำคัญทั้งสอง และโปรดเกล้าฯ ให้คนเรียกขานพระนามตามพระพุทธรูปนั้น "เพราะเหตุซึ่งไม่โปรดคำที่คนเรียกนามแผ่นดินว่า แผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกศ และพระพุทธเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศอย่างหนึ่ง หรือเรียกว่าแผ่นดินต้นแผ่นดินกลางอย่างหนึ่ง"
เห็นได้ว่า คำว่า "ในพระบรมโกศ" ไม่ต้องด้วยพระราชนิยมมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 แล้ว
มาจนถึงรัชกาลที่ 4 เมื่อรัชกาลที่ 3 เสด็จสวรรคต เกิดปัญหาการเรียกขานนามแผ่นดินก่อนขึ้นมาอีก พระองค์จึงโปรดเกล้าฯ ให้เรียกขานแผ่นดินรัชกาลที่ 3 ว่า แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ส่วนแผ่นดินของพระองค์เอง ก็เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ใครๆ เรียก "ในพระบรมโกศ" เมื่อสวรรคตแล้วอีก
ดังนั้น ธรรมเนียมการเอ่ยเรียกพระนามแผ่นดินก่อนจึงเปลี่ยนแปลงแต่นั้นมา เห็นได้ชัดเจนจากหลักฐานข่าวการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 หน้า 1782-1788 วันที่ 30 ตุลาคม ร.ศ. 129 ไม่มีการใช้คำว่า "ในพระบรมโกศ" แต่เรียกขานพระนาม "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" และ "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"
อย่างไรก็ตาม คนทั่วๆ ไปที่ยังติดธรรมเนียมเดิมก็ยังปฏิบัติอยู่ คือเรียก ในพระบรมโกศ บ้าง พระพุทธเจ้าหลวง บ้าง ดังในสมัยรัชกาลที่ 6 คนก็เอ่ยเรียกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า พระพุทธเจ้าหลวง และยังติดเรียกมาจนถึงปัจจุบัน
หรือแม้ขณะนี้ ที่มีการออกพระนามพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสด็จสวรรคตนั้นว่า "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ" ตามความนิยมตามแบบโบราณดั้งเดิม แพร่หลายไปในสื่อมวลชน
แต่จากหลักฐานต่างๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่า ได้มีการเปลี่ยนธรรมเนียมการเรียกขานพระนามพระมหากษัตริย์มานานแล้ว การเอ่ยถึงพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเสด็จสวรรคตโดยพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช" หรือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช" จึงเป็นสิ่งสมควร ต้องด้วยพระราชนิยมที่เป็นมาตั้งแต่รัชกาลที่ 3
และที่สำคัญ พระนาม "ภูมิพลอดุลยเดช" นี้เป็นพระนามที่ทรงได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นพระนามที่มีความหมายว่า "พลังแห่งแผ่นดิน มีเดชไม่มีใดเสมอเมือน" อันลึกซึ้งตราตรึงใจเรา และเราปวงชนชาวไทยทั้งหลายได้เอ่ยเรียกพระองค์เช่นนี้ ด้วยความเคารพรักเทิดทูนไว้เหนือเกล้าฯ มาตลอดหลายสิบปีแล้ว
และย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปรเป็นอื่น
บันทึกการเข้า
DrJfk
อสุรผัด
*
ตอบ: 34


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 11:53

อาลัยรักในพระองค์ เช่นเดียวกับ คนไทยทั้งปวง

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ

น.พ.สมนึก ตปนียวรวงศ์ และครอบครัว
บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 12:57

ผมไม่รู้จะ Post อะไรดีเลยครับ ช่วงสอง-สามวันมานี้ ทำได้เพียงพยายามชวนลูกมานั่งดูโทรทัศน์แล้วสอนเขาว่า มีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้ ในอนาคตสักยี่สิบสามสีบปี เขาจะได้จำได้ว่า วันนี้ประเทศร้องไห้เพราะสาเหตุใด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 15:32

แนะนำให้คุณนริศเก็บภาพ เหตุการณ์ ข่าว ฯลฯ  ใน facebook และที่อื่นๆ ใส่ไฟล์ไว้เป็นพิเศษ   วันหนึ่งลูกคุณโตเป็นผู้ใหญ่  คุณพ่อให้ดูอีกครั้ง  เขาจะได้รู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของวันประวัติศาสตร์อันย่ิ่งใหญ่  และจะได้ย้อนรำลึกถึงวันนี้ได้ตลอดไปค่ะ
บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 16:17

ขอบพระคุณครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 17:46

http://pantip.com/topic/35705184

อยากจะบันทึกเอาไว้ให้ลูกหลานอ่าน ว่าวันนั้นทำอะไรอยู่

ไม่มีวันลืมวันที่ 13 ตุลาคม 2559 
วันนี้มีนัดเจรจาเรื่องงาน  ที่ร้าน the Terrace ในเซนทรัล   งานจบลงด้วยดี กำลังจะกลับบ้านตอนสี่โมงเย็น
มีไลน์เข้ามา    อ่านแล้วทำอะไรไม่ถูก  น้ำตาไหลออกมาเอง  ยืนร้องไห้อยู่บนทางเดินในห้าง  ใครจะเห็นก็ช่างเถอะ มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ
ลูกสาวไลน์เข้ามาหาแม่ ถ้อยคำบอกให้รู้ว่ากระวนกระวายเหมือนกัน  แม่บอกเพียงว่า "ขอให้เตรียมใจ"
ซื้อของเสร็จแล้วรีบกลับบ้าน รอฟังข่าวตอนหกโมง  ทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก   
หกโมงแล้วก็ยังไม่มีข่าว  เริ่มเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้งว่า เราอาจจะได้ยินข่าวผิดก็ได้
แต่ความหวังก็วูบหายไปตอนทุ่มตรง  เห็นโฆษกชายแต่งดำออกมา  ยังไม่ทันแถลงข่าวก็รู้แล้ว
ว่าวันที่ไม่เคยต้องการให้มาถึง  ก็มาถึงแล้ว  จะไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น  ไม่อยากได้ยินก็ต้องได้ยิน
รู้สึกเหมือนกลับเป็นเด็กอีกครั้ง   ร้องไห้อีกรอบหนึ่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ 

นึกถึงวันที่เสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราชกลับพระราชวังไกลกังวล    วันนั้นประชาชนรอเฝ้าสองข้างทางไชโยโห่ร้อง ได้ยินเสียงประชาชนร้องว่า "ทรงพระเจริญ" กันทุกระยะ     
ดูแล้วดีใจว่าทรงแข็งแรงดีแล้ว  ร้องไห้เสียจนลูกสาวงงว่าแม่เป็นอะไรไป   คราวนั้นเป็นน้ำตาแห่งความปีติ

ตรงกันข้ามกับครั้งนี้
คืนนั้นหลับๆตื่นๆทั้งคืน   
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 17 ต.ค. 16, 19:54

“ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้าหนุ่มสยาม เรือนไทย”
 


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
นางมารน้อย
พาลี
****
ตอบ: 306


ทำงานแล้วค่ะ


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 18 ต.ค. 16, 14:46

 ร้องไห้ :'(น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้
บันทึกการเข้า

สวัสดีทุกๆท่านค่ะ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 20 คำสั่ง