แต่เรื่อง "มงกุฎ" นี้ก็ยังมีผู้ที่เห็นต่าง อย่างเช่นที่ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดมเคยวิเคราะห์เอาไว้ครับ
เลยยกมาให้ทุกท่านลองอ่านประกอบด้วย
ทำไม ร.๓ ไม่สวมมงกุฎ?ศรีศักร วัลลิโภดม
ข้าพเจ้าเป็นคนชอบเที่ยวและชอบสังเกต จึงทำให้คำถามอะไรต่างๆ นานาทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม มักเป็นสิ่งที่มาจากการพบเห็นมากกว่าจากการอ่านหนังสือ ดังเช่นเรื่องของพระปรางค์ที่พบเห็นในเมืองหลวงของไทยแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาถึงกรุงเทพฯ
พระปรางค์เป็นพระสถูปรูปแบบหนึ่งในทางพุทธเถรวาท ที่เกิดจากการนำเอารูปปรางค์หรือศิขรของปราสาทขอมแต่สมัยลพบุรีอันเป็นศาสนสถานฝ่ายฮินดูและพุทธมหายาน มาสร้างให้เกิดรูปแบบใหม่ขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลงมา พระปรางค์ต่างจากพระสถูปแบบอื่นโดยเฉพาะสถูปทรงกลมในลักษณะที่ว่า สถูปทรงกลมมีวิวัฒนาการมาจากพูนดินหรือเนินดินที่ฝังศพและอัฐิธาตุ แต่พระปรางค์มาจากศิขรหรือยอดเขาสูงซึ่งเชื่อกันว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้า โดยที่หน้าที่ความสำคัญของปรางค์ก็เช่นเดียวกันกับสถูปทรงกลมนั่นเอง คือเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุ ต่างจากปราสาทอันเป็นที่ประดิษฐานรูปเคารพ เช่น ศิวลึงค์ เทวรูป หรือพระพุทธรูป แต่โดยระบบสัญลักษณ์ ทั้งพระสถูปที่บรรจุพระบรมธาตุและปราสาทที่ประดิษฐานรูปเคารพต่างก็เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุมาศ อันเป็นศูนย์กลางจักรวาลของฮินดู - พุทธ เช่นกัน
พระปรางค์นับเป็นอัตลักษณ์ทางศิลปสถาปัตยกรรมของกรุงศรีอยุธยาโดยตรง เพราะมีสร้างมากกว่าเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะในสมัยอยุธยาตอนต้น ที่เห็นได้จากปรางค์วัดมหาธาตุ วัดพระราม วัดราชบูรณะ มาแผ่วไปบ้างในสมัยอยุธยาตอนกลางที่มีพระสถูปทรงกลมมากกว่า แต่พอถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย คือรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองลงมา ความนิยมในการสร้างพระปรางค์ก็กลับมาอีก แม้ว่าจะมีรูปแบบแตกต่างไปจากสมัยแรกๆ ก็ตาม มักนิยมสร้างคละไปกับบรรดาเจดีย์ทรงกลมที่ย่อไม้สิบสองหรือยี่สิบ มีทั้งสร้างเป็นปรางค์ประธานและปรางค์ราย
แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นพระปรางค์ประธานและเมรุรายที่วัดไชยวัฒนาราม ที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองสร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นนิวาสสถานเดิมและที่ถวายพระเพลิงพระศพของพระชนนี ก่อนขึ้นครองราชย์ พระปรางค์นี้สูงสง่าโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฟากใต้ของเกาะเมือง เป็นปรางค์ที่เห็นชัดในภาพเขียนเกาะเมืองอยุธยาที่ฝรั่งเขียนขึ้นแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ลงมา
ความโดดเด่นอย่างสำคัญของปรางค์วัดไชยวัฒนารามที่แตกต่างไปจากปรางค์วัดอื่นๆ ก็คือ มีการจัดผังพุทธาวาสเป็นมณฑลจักรวาลที่ได้สัดส่วนตามเรขาคณิตเหมือนกับผังปราสาทขอม เช่นปราสาทนครวัดของกัมพูชา เพราะเป็นสิ่งที่เกิดจากการนำเอาศิลปสถาปัตยกรรมขอมมาปรุงแต่งขึ้นใหม่ในรัชกาลนี้
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มาจากสามัญชนที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ผู้เป็นทั้งอัครมหาเสนาบดีและผู้สำเร็จราชการ ทรงมีพระราชอำนาจยิ่งใหญ่และนำความมั่งคั่งรุ่งเรืองทางการค้าขายกับต่างประเทศให้แก่ราชอาณาจักร จึงได้ใช้ความมั่งคั่งนี้ในการฟื้นฟูวัดวาอาราม ปราสาทราชวัง รวมทั้งการสร้างประเพณีวัฒนธรรมใหม่ๆ ให้กับบ้านเมือง อาทิ ประเพณีการถวายพระเพลิงพระบรมศพในสนามหลวงหรือทุ่งพระเมรุ สร้างพระโกศและรูปแบบสัญลักษณ์ของยศถาบรรดาศักดิ์ของเจ้านายและขุนนาง และทำพิธีลบศักราช เป็นต้น เพื่อแสดงพระองค์เป็นธรรมราชาจักรพรรดิราช ซึ่งแสดงออกด้วยการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นพุทธบูชาตามวัดสำคัญต่างๆ เช่นในซุ้มเมรุรายวัดไชยวัฒนารามและที่พระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุเป็นต้น
โดยเฉพาะที่วัดหน้าพระเมรุนั้น พระประธานซึ่งเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องมีความงดงามยิ่งกว่าพระทรงเครื่องใดๆ ในสยามประเทศก็ว่าได้ อีกทั้งพระอุโบสถวัดหน้าพระเมรุก็เป็นอาคารขนาดใหญ่เก้าห้อง ที่แต่เดิมมักทำเฉพาะพระวิหารเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งก็นับเป็นการให้ความสำคัญกับการสร้างพระอุโบสถให้เป็นอาคารสำคัญกว่าพระวิหารในเขตพุทธาวาสทีเดียว
ถ้าจะให้จินตนาการแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าพระประธานของวัดหน้าพระเมรุนี้ก็คือพระพุทธรูปฉลองพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าปราสาททององค์หนึ่งก็เป็นได้
เมื่อแลเปรียบเทียบความโดดเด่นในทางสถาปัตยกรรมและความนึกคิดในเรื่องสัญลักษณ์ของจักรวาลแล้ว ข้าพเจ้าค่อนข้างเห็นว่าพระปรางค์วัดไชยวัฒนารามอันประกอบด้วยเมรุทิศ เมรุราย และผังภูมิมณฑลจักรวาลนั้น คือสัญลักษณ์ความรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรมของกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ที่ส่งอิทธิพลมายังพระปรางค์วัดแจ้งหรือวัดอรุณราชวรารามที่สร้างเสร็จในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
วัดแจ้งเป็นวัดในเมืองธนบุรีที่มีมาแต่สมัยอยุธยา ตั้งอยู่บนฝั่งน้ำเจ้าพระยาที่เป็นคลองขุดลัดแม่น้ำอ้อมครั้งรัชกาลสมเด็จพระชัยราชาธิราชแต่พุทธศตวรรษ์ที่ ๒๑ โดยมีวัดระฆังหรือวัดบางหว้าใหญ่เป็นวัดสำคัญ เพราะมีพระปรางค์เก่าแก่แต่สมัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ของภูมิทัศน์ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสถาปนาเมืองธนบุรีให้เป็นราชธานี วัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ก็กลายเป็นวัดหลวงของราชสำนักทำนองเดียวกันกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ของกรุงศรีอยุธยา เมื่อย้ายพระนครมาฝั่งกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน วัดอรุณฯ ก็ได้รับการดูแลเรื่อยมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งก็มีการสร้างพระสถูปเพื่อบรรจุพระบรมธาตุให้เป็นสัญลักษณ์ของภูมิทัศน์ริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาในทำนองเดียวกันกับวัดไชยวัฒนาราม
พระสถูปนี้สร้างไม่เสร็จในสมัยรัชกาลที่ ๒ แต่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างต่อจนสำเร็จอย่างงดงามเพื่อฉลองเป็นพระราชกุศลถวายสมเด็จพระราชบิดา พระสถูปมีรูปแบบเป็นพระปรางค์ มีปรางค์ทิศและมณฑปรายในระบบมณฑลจักรวาลคล้ายกันกับพระปรางค์วัดไชยวัฒนารามและแลเห็นโดดเด่นเป็นสัญลักษณ์ที่งดงามริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาเหมือนกัน พระปรางค์วัดอรุณฯ มีรูปแบบเพรียวกว่าปรางค์วัดไชยวัฒนาราม ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยชามเบญจรงค์อย่างงดงาม ที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นอัตลักษณ์อย่างหนึ่งของศิลปกรรมสมัยรัชกาลที่ ๓ ก็ว่าได้ เพราะวัดสำคัญอื่นๆ บรรดาที่สร้างในรัชกาลนี้ให้ความสำคัญกับการประดับกระเบื้องสีเกือบทั้งนั้น นับเป็นศิลปะนิยมแบบใหม่ที่นำอาวัสดุกระเบื้องถ้วยชามเบญจรงค์อันเป็นสินค้ามาจากจีน มาตกแต่งขึ้น
เรื่องนี้ถ้ามองให้ลึกลงไปก็สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งรุ่งเรืองของบ้านเมืองในการค้าขายทางทะเลกับต่างประเทศนั่นเอง โดยเฉพาะกับทางจีนที่ทำให้มีการนำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมจีนและลายเครือเถาดอกไม้ พืช สัตว์ ที่เป็นมงคล มาประดับซุ้มประตูหน้าต่าง ผนังอุโบสถและวิหาร ที่ทำให้แตกต่างไปจากของในสมัยก่อนๆ แม้แต่ภาพที่แสดงความหมายทางศาสนาที่อยู่ตามผนังภายในพระอุโบสถหรือพระวิหาร ก็มีรูปแบบใหม่ขึ้นมาหลายวัด เช่นภาพลายรดน้ำแสดงเรื่องสามก๊ก หรือแสดงสัญลักษณ์ของพระจักรพรรดิราชที่วัดหนังและวัดนางนองเป็นตัวอย่าง
แต่ทว่า ความแปลกใหม่และโดดเด่นที่สุดก็คือ พระปรางค์ประธานวัดอรุณราชวรารามไม่มียอดเป็นนภศูล เช่นบรรดาพระปรางค์ทั้งหลาย หากมีมงกุฎสวมเป็นยอดแทน จึงดูน่าพิศวงว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะในอดีต ทั้งยอดของพระสถูปหรือยอดปราสาทในคติฮินดู – พุทธ มักจะทำเป็นรูปดอกบัวบานหรือบัวตูม อันเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาล จึงน่าจะมีเจตนาอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่
การตั้งคำถามในเรื่องนี้ก็คงมีเกิดขึ้นในคนหลายชั่วหลายยุคแล้ว จึงทำให้มีการเฉลยโดยผู้รู้และปราชญ์ของราชสำนัก ที่มีโอกาสได้รับรู้อะไรต่างๆ จากภายใน ว่าเป็นการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงต้องการจะยกย่องและประกาศว่าเจ้านายที่จะทรงครองราชย์ต่อจากพระองค์ก็คือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามงกุฎ (รัชกาลที่ ๔ ในเวลาต่อมา) ผู้เป็นพระราชโอรสอันประสูติแต่พระอัครมเหสีของรัชกาลที่ ๒ ผู้ทรงเป็นพระบรมชนกนาถ อีกทั้งรัชกาลที่ ๓ เองก็ไม่ทรงสวมพระมหามงกุฎ เพราะต้องการแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงทำหน้าที่เสมือนผู้สำเร็จราชการเพื่อรอเวลาการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามหามงกุฎ
ข้าพเจ้าได้เรียน ได้ยิน และได้ฟังมาจากนักประวัติศาสตร์ทั้งอาวุโสและไม่อาวุโสแห่งสกุลดำรงราชานุภาพ จนต้องเชื่ออย่างเดียว (เพราะการเรียนประวัติศาสตร์ของสกุลนี้ต้องท่องต้องเชื่ออย่างเดียว เถียงและถามก็ไม่ได้) แต่ชั้นแรกข้าพเจ้าก็ไม่สนใจอะไร จนต่อมาเมื่อได้อ่านงานชีวประวัติของสุนทรภู่ซึ่งปราชญ์ผู้ใหญ่ของสกุลดังกล่าวนี้ เขียนว่าสุนทรภู่เคยเป็นกวีราชสำนักที่รุ่งเรืองและเป็นที่โปรดปรานของรัชกาลที่ ๒ พอถึงรัชกาลที่ ๓ ก็ตกอับ ไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ เพราะเหตุว่าเคยแต่งกลอนขัดแย้งกับรัชกาลที่ ๓ ในที่ประชุมกวีราชสำนักที่รัชกาลที่ ๒ ทรงเป็นประธาน เลยไม่เป็นที่พอพระทัยเรื่อยมา ทำให้สุนทรภู่ต้องตกอับและร่อนเร่ไปตามที่ต่างๆ แต่งกลอนแต่งนิยายเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เรื่องนี้ดูสมจริงเพราะสุนทรภู่มักจะสะท้อนให้แลเห็นชีวิตที่ตกอับของตนอยู่บ่อยๆ ในวรรณคดีต่างๆ ที่แต่งขึ้น โดยเฉพาะนิราศภูเขาทองและอื่นๆ
เรื่องสุนทรภู่ตกอับเพราะไม่เป็นที่พอพระทัยของรัชกาลที่ ๓ เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าคล้อยตามไม่ได้ เพราะได้อ่านวรรณคดีเรื่องต่างๆ ของสุนทรภู่แล้ว ถึงแม้ว่าจะยอมรับว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ของยุค ซึ่งนอกจากจะมีการใช้ถ้อยคำไพเราะเพราะพริ้งสวยงามแล้ว ยังมีจินตนาการที่เป็นอิสระในเรื่องประโลมโลกย์เหนือบรรดากวีทั้งหลายด้วยก็ตาม แต่ข้าพเจ้าก็เห็นว่าสุนทรภู่ใช้จินตนาการที่เกินความจริงไปหน่อย เพราะสุนทรภู่ไม่ได้ถึงตกอับแบบร่อนเร่พเนจรเช่นคนยากไร้ เวลาเดินทางด้วยเรือจะไปที่ไหนก็มีขี้ข้าพายเรือไปตามที่ต่างๆ จนสามารถแต่งโคลงกลอนได้อย่างสบายใจ แถมยังบอกความจริงให้รู้เสมอว่าเป็นกวีขี้เมา แตกแยกกับเมีย โดยที่เมียไม่ทิ้ง แต่เป็นฝ่ายทิ้งเมียเสียด้วยซ้ำ
ข้าพเจ้าเริ่มแลไม่เห็นภาวะความตกอับของสุนทรภู่ ว่าเป็นเพราะรัชกาลที่ ๓ ไม่โปรด แต่เผอิญรัชกาลที่ ๓ ทรงมีภารกิจในการบริหารปกครองบ้านเมืองมากกว่าที่จะไปนั่งแต่งกลอนกับบรรดานักปราชญ์ราชกวีทั้งหลายบ่อยครั้งเหมือนสมัยรัชกาลที่ ๒ นั่นเอง
ต้องอย่าลืมว่ารัชกาลที่ ๒ นั้นทรงสนพระทัยในเรื่องวรรณคดี ศิลปวัฒนธรรมมากกว่าการบ้านการเมือง และทรงปล่อยให้รัชกาลที่ ๓ ครั้งดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงรับหน้าที่แทน ทรงเอาพระทัยจดจ่อกับกวีนิพนธ์จนเป็นที่รู้กันดี จนสะท้อนให้เห็นในเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนพลายงามถวายตัวว่า
“ให้เคลิ้มพระองค์ทรงกลอนละครนอก นึกไม่ออกเวียนวงให้หลงใหล
ลืมประภาษราชกิจที่คิดไว้ กลับเข้าในแท่นที่ศรีไสยาฯ”
แม้กระทั่งในเวลาใกล้จะสวรรคต รัชกาลที่ ๒ ก็ประชวรนิ่ง ไม่ทรงตรัสอะไร ทำให้รัชกาลที่ ๓ ต้องทรงทำหน้าที่ต่างๆ แทนจนสิ้นรัชกาล เลยเป็นเหตุให้ทรงเป็นผู้เหมาะสมที่สุดใน “อเนกนิกรสโมสรสมมุติ” ในการขึ้นครองราชย์แทน
ข้าพเจ้าไม่คิดว่ารัชกาลที่ ๓ จะทรงมีเวลาอะไรไปคิดอคติกับกวีขี้เมาอย่างสุนทรภู่ ดังจะเห็นได้ว่าสุนทรภู่เองก็ได้อาศัยพระบารมีกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ พระราชธิดาองค์โปรดของรัชกาลที่ ๓ ในวัดเทพธิดาราม อันเป็นวัดสำคัญที่รัชกาลที่ ๓ ทรงสร้าง เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ได้คิดว่ารัชกาลที่ ๓ ย่อมไม่ทรงพิศวาทอะไรกับสมเด็จฯ เจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งผนวชอยู่ ถึงแก่ทรงนำมงกุฎไปครอบยอดพระปรางค์วัดอรุณฯ เพื่อประกาศความเป็นผู้เหมาะสมในการดำรงราชย์ต่อจากพระองค์ ทำนองตรงข้าม พระองค์ก็ไม่ทรงคิดร้ายเพื่อขจัดให้พ้นไปจากสิทธิในการได้ครองราชย์ ทั้งๆ ที่ไม่ทรงพอพระทัยอะไรนักในเรื่องที่รัชกาลที่ ๔ ขณะทรงเป็นพระภิกษุทรงนิยมพุทธแบบมอญ จนถึงทรงเปรยๆ ว่า ถ้าหากได้ครองราชย์แล้วอาจทำให้พระสงฆ์ไทยห่มจีวรแบบมอญไป เพราะรัชกาลที่ ๓ ดูทรงเป็นห่วงพุทธศาสนามากกว่าอย่างอื่น ดังเห็นได้ว่าทรงสร้างวัด ปฏิสังขรณ์วัดมากมายแทบทุกแห่งหนในราชอาณาจักร เพื่อทำให้ผู้คนที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เข้ามาเป็นคนสยามหรือคนไทย ได้นับถือศาสนาเดียวกัน และเกิดสำนึกร่วมของการอยู่ร่วมปฐพีเดียวกัน จนกระทั่งมีคำกล่าวว่าทรงมั่งคั่งร่ำรวยจากการค้าสำเภากับต่างประเทศ แต่ก็ทรงใช้เงินจนหมดท้องพระคลังในการสร้างวัดวาอารามและบำรุงพระพุทธศาสนา มากกว่าการสร้างสิ่งอลังการเพื่อแสดงพระเกียรติยศของพระองค์
การถ่อมพระองค์ในเรื่องความโอ่อ่านั้นสะท้อนให้เห็นจากบันทึกของราชทูตฝรั่งที่เข้ามาเจริญไมตรี ที่กล่าวว่าท้องพระโรงที่เสด็จออกรับแขกเมืองนั้นไม่โอ่อ่าและดูเก่าๆ รัชกาลที่ ๓ เองก็ทรงฉลองพระองค์ที่ไม่หรูหราและดูเก่าๆ ด้วย ทำให้แลเห็นความแตกต่างระหว่างวัดกับวังเป็นอย่างมาก เพราะบรรดาวัดวาอารามและศิลปกรรมที่ทรงสร้างให้กับพระพุทธศาสนานั้น ดูสวยงามเลอเลิศและราคาแพง เมื่อตอนใกล้จะสวรรคตก็ไม่ทรงกำหนดพระราชโอรสองค์ใดหรือผู้ใดเป็นผู้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ แต่กลับปล่อยให้เป็นหน้าที่ของมุขมนตรีและเสนาบดี ที่เลือกจากความเหมาะสมให้เป็น “อเนกนิกรสโมสรสมมุติ” เช่นเดียวกันกับการขึ้นครองราชย์ของพระองค์
ข้าพเจ้าจึงคิดว่าการที่มีผู้กล่าวว่าทรงเอามงกุฎไปครอบยอดพระปรางค์วัดอรุณฯ จึงไม่น่าจะเป็นการ “บอกใบ้” ว่าเป็นรัชกาลที่ ๔ ซึ่งทรงผนวชอยู่ หรือแม้แต่จะสนับสนุนพระราชโอรสองค์ใดให้ขึ้นครองราชย์ก็เกรงจะเกิดความขัดแย้งและเป็นที่ติฉินนินทา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาถึงคำถามว่า ทำไมทรงเอามงกุฎไปครอบยอดพระปรางค์ให้ผิดแผกไปจากยอดนภศูลของพระปรางค์โดยทั่วไป ซึ่งต้องมองหาคำตอบจากเรื่องอื่นแทน
ข้าพเจ้าจึงคิดว่ารัชกาลที่ ๓ ทรงมีอะไรที่คล้ายๆ กันกับสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะในเรื่องที่พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสนอกเศวตฉัตร ในขณะที่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงมาจากสามัญชน ทั้งสองพระองค์ต่างฟื้นฟูพุทธศาสนา สร้างวัด บูรณะปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งสร้างประเพณีพิธีกรรมใหม่ๆ และทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ทั้งสองพระองค์ทรงมีความมั่งคั่งจากการค้าทางทะเลเช่นกัน แต่ที่โดดเด่นเช่นเดียวกันคือสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องเป็นพุทธบูชา
ตามตำนานชมพูบดีสูตร พระพุทธรูปทรงเครื่องหมายถึงการเป็นจักรพรรดิแห่งโลกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การที่สร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องของพระมหากษัตริย์ ก็คือการถวายความเป็นจักรพรรดิของพระองค์แด่สมเด็จพระพุทธเจ้านั่นเอง
แต่สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงเน้นเพียงการสร้างพระพุทธรูปเป็นพิเศษ ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องอย่างเดียวไม่พอ หากยังทรงสร้างมงกุฎถวายพระบรมธาตุที่พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามด้วย นับได้ว่าทรงมีจินตนาการในเรื่องสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งไม่เหมือนใคร เพราะเป็นสิ่งที่อธิบายได้แจ่มแจ้งว่าทำไมไม่ทรงสวมมงกุฎ
http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=167