เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 11732 การสืบราชสมบัติ
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


 เมื่อ 16 ก.ค. 16, 11:49

คุณหมอ JFK แสดงความปรารถนาใคร่จะทราบเรื่องการที่รัชกาลที่ ๓ ทรงรับราชสมบัติสืบต่อจากรัชกาลที่ ๒ นั้น  เรื่องนี้หม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล ทรงเล่าไว้ใน “พระราชวงศ์จักรี” หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อ “สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น” ว่า
เรื่องเก่าๆ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ เรื่อยมาจนได้ทรงพบเห็นด้วยพระองค์เองนั้น  ทรงฟังมาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ซึ่งทรงฟังคำบอกเล่ามาจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ อีกชั้นหนึ่ง

ในตอนที่ว่าด้วยรัชกาลที่ ๓ ทรงรับราชสมบัตินั้น  ทรงเล่าไว้ว่า
“เนื่องสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงมีพระชันษาแก่กว่าเจ้าฟ้ามงกุฎฯ พระอนุชาถึง ๑๗ ปี  และได้ทรงว่าราชการแทนพระองค์สมเด็จพระราชบิดามาแล้วหลายคราว  ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีผู้นับถือเลื่อมใส  ทั้งพวกเจ้านายและขุนนางจาม Crawford เล่าไว้  ในหมู่เจ้านายชั้นผู้ให
ญ่ที่เป็นชั้นพระเจ้าอาว์ที่มีพระนามปรากฏเด่นต่อมาก็คือ กรมหมื่นศักดิพลเสพฯ และกรมหมื่นีกษ์รณเรศ  ที่ได้ทรงทำคำมั่นสัญญาไว้ว่าจะถวายราชสมบัติกับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์  ทั้งฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่มีสมเด็จเจ้าพระยา ๒ องค์พี่น้องก็เห็นสมควร  ฉะนั้นในวันสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๒ เสด็จสวรรคต  จึงตกลงเชิญเสด็จกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ซึ่งเสด็จเข้าไปประทับอยู่ในพระที่นั่งพร้อมด้วยเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  ในเวลาทรงพระประชวรหนักเป็นราชประเพณีอยู่แล้ว  ให้เสด็จออกให้เจ้านายและข้าราชการอื่นๆ เฝ้าบนพระแท่นที่ประทับและถวายให้ทรงถือพระแสงอาญาสิทธิ์ไว้บนพระเพลาเป็นการแสดงให้คนทั้งหลายที่เฝ้านั้นเข้าใจว่าได้ทรงรับราชสมบัติแล้ว  ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ก็เหมาะเวลาพระชันษาครบที่จะทรงอุปสมบท  และได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุแล้ว  เมื่อก่อนสมเด็จพระราชบิดาสวรรคตเพียง ๗ วัน  สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ โปรดให้ไปทูลถามว่าจะต้องพระราชประสงค์ราชสมบัติหรือไม่  และได้ทรงกราบทูลตอบไปว่า  ไม่ต้องพระประสงค์  จะขอทรงผนวชเล่าเรียนต่อไป  เหตุที่จริงมีอยู่เท่านี้”
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 11:50

นอกจากนั้นหม่อมเจ้าพูนพิศมัย  ดิศกุล ยังได้ทรงเล่าไว้ในพระราชวงศืจักรีอักว่า

“ต้นตระกูลของเจ้าพระยารามฯ คือ (the very) กรมหลวงรักษ์รณเรศ (พระองค์เจ้าไกรสร)  พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑  และเป็นผู้ที่คิดยึดราชสมบัติจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔  ไว้ถวายแก่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓...  เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๓) ได้เสด็จขึ้นเสวยราชย์แล้วก็โปรดให้พระเจ้าอาว์ผู้ร่วมคิด ๒ พระองค์  เลื่อนพระยศขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรฯ พระองค์หนึ่ง  คือกรมหลวงศักดิพลเสพ.  ส่วนพระองค์เจ้าไกรสร  ทรงเป็นกรมหลวงรักษ์รณเรศว่าการกระทรวงวังและกรมพระตำรวจหลวง  ซึ่งในเวลานั้นมีอำนาจชำระคดีและตัดสินความผู้ถวายฎีกาได้ด้วย,  นับว่าเป็นผู้มีอำนาจไม่ใช่น้อยในเวลานั้น.  เจ้านายทรงเล่าต่อๆ กันมาว่า กรมหลวงรักษ์ฯ ทรงสามารถปราดเปรื่องมีอำนาจมากในรัชกาลที่ ๓.  มีคนกลัวและเกลียดมากในสมัยของท่าน.  ได้ทรงว่าการหลายแผนกซึ่งรวมขึ้นอยู่ในกระทรวงวัง.  และเป็นผู้รู้พระราชหฤทัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เป็นยอดเยี่ยม   เช่นครั้งเมื่อกรมหมื่นอับสรสุดาเทพ พระราชธิดาซึ่งทรงพระเสน่หาเป็นพิเศษสิ้นพระชนม์,  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ เสด็จลงพระราชทานสรงน้ำพระศพตามประเพณี  ทรงเศร้าโศกสลดเป็นอย่างยิ่ง  ครั้นถึงเวลาเบิกกระบวนแห่ให้เดินเข้าไปเชิญพระศพออกมาไว้ข้างหน้า  พอประตูวังเปิดเดินกระบวนเข้ามา  ก็เป็นกระบวนสำหรับพระเกียรติยศเจ้าฟ้าทุกประการ.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงนิ่งตะลึงหายทรงพระกำสรดไปทันที  ทั้งนี้เพราะกรมหลวงรักษ์ฯ ทรงจัดตามที่กะว่าจะเป็นที่พอพระราชหฤทัยหายเศร้าโศก.  แต่รู้ดีว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงถ่อมพระยศจะไม่ทรงสั่งเองเป็นอันขาด.  น่าเสียใจที่ว่าต่อมาต้องทรงแตกกันด้วยมีเรื่องให้ขุ่นเคืองกันหลายครั้งหลายหน  จนในที่สุดถึงมีคดีว่ากรมหลวงรักษ์ ทรงซ่องสุมผู้คนและเครื่องสาตราวุธไว้ที่วัง,  และมีพระยามอญคนหนึ่งถวายฎีกาว่าลูกชายของตนถูกกรมหลวงรักษ์ ทรงตัดสินให้ฆ่าด้วยเบิกพยานเท็จ.  โปรดให้ชำระไต่สวนได้ความว่าจริง.  กรมหลวงรักษ์ จึงถูกถอดพระยศลงมาเป็นหม่อมไกรสร (คือพ้นตำแหน่งเกี่ยวข้องกับเจ้า)  แล้วถูกตัดสินให้สำเร็จโทษตามความผิดนั้น.  เล่ากันว่าหม่อมไกรสรว่าสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ว่า “ตึกสำเร็จแล้วก็รื้อนั่งร้านเป็นธรรมดา”  และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ โปรดให้เอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา (fogive and forget) ว่าสิ่งไรที่ได้ทำร้ายต่อพระองค์ท่านมา  ท่านทรงยกโทษให้,  ขออย่าให้เป็นเวรเป็นกรรมกันต่อไปอีกเลย.  แต่หม่อมไกรสรกำทรายตอบว่า จะขอผูกเวรไปทุกชาติ์เท่าเม็ดกรวดเม็ดทราย!   พวกเจ้าๆ ชั้นข้าพเจ้าได้เคยฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่องนี้มาแต่เล็กๆ  และเคยร้องไห้สงสารปู่ของตัวเองมาเสมอ,  จึงจำได้ดี”.
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 11:52

อนึ่งมีข้อที่น่าสังเกตว่า เมื่อรัชกาลที่ ๓ ทรงรับราชสมบัติแล้ว  ในรัชกาลนี้ไม่มรงรับพระเจ้าน้องนางเธอเป็นพระมเหสีตามพระราชประเพณี  ในรัชกาลนี้จึงไม่ทรงมีพระราชกุมารชั้นสมเด็จเจ้าฟ้าทีจะทรงรับรัชทายาทเสด็จดำรงสิริราชสมบัติต่อไป  ฉะนั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวร 
“พระอาการมีแต่ทรงกับทรุดเรื่อยมา  จึงมีพระบรมราชโองการให้เจ้าพระยาพระคลัง สมุหพระกลาโหม (สมเด็จองค์ใหญ่)  พร้อมด้วยขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อย  ปฤกษากันว่าจะถวายราชสมบัติแก่ผู้ใด  เพราะจะทรงมุ่งเจาะจงพระราชทานราชสมบัติแก่ใคร  ก็จะไม่เป็นการสามัคคี  ทรงขอให้ปฤกษากันโดยดี  เพื่อเห็นแก่ความเจริญของประเทศเป็นใหญ่”

ด้วยเหตุนี้บรรดาเจ้านายและขุนนางจึงได้พร้อมกันไปอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ ให้ทรงสละสมณเพศ  แล้วเสด็จดำรงสิริราชสมบัติเป็นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ แห่งพระราชวงศ์จักรีต่อมา
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 12:09

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต  ทรงมีพระราชโอรสที่เป็นอุภโตสุชาต ประสูติแต่พระราชมารดา คือ สมเด็จเทพศิรินทราบรมราชินี ด้วยกัน ๓ พระองค์
การสืบราชสมบัติจึงตกแก่พระราชโอรสพระองค์โต คือ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ โดยไม่มีข้อสงสัย

แต่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นทรงมีพระอัครมเหสีที่ถวายการประสูติพระราชโอรสถึง ๓ พระองค์ คือ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี  สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระระชรมราชินีนาถ  และพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี  โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชโอรสในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี ทรงเป็นพระราชกุมารพระองค์ใหญ่  พระองค์ที่มีพระชันษารองลงมาคือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ กรมขุนเทพทวาราวดี  ซึ่งประสูติแต่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินันาถ  พระองค์ที่มีพระชันษาต่อลงมาคือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมขุนมไหสุริยสงขลา (ต่อมาเฉลิมพระยศใหม่เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต)

ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อทรงพระมหากรุณาสมเด็จเจาฟ้ามหาวชิรุณหิศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงศักดินา ๑๐๐๐๐๐ แล้ว  ต่อมาได้โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็นกรมขุนเทพทวาราวดี ทรงศักดินา ๕๐๐๐๐ เป็นพิเศษ  ด้วยทรงมีพระเกียรติยศเป็นที่สองรองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ  ส่วนสมเด็จเจ้าฟ้าฯ พระองค์อื่นๆ นั้นทรงศักดินา ๔๐๐๐๐ ตามพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ  แต่เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ เสด็จสวรรคต  และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนเทพทวาราวดี ได้ทรงรับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ แล้ว  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมักจะทรงออกพระโอษฐ์เรียกสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ว่า "เจ้าฟ้าเบิร์สอง"  เพราะทรงมีพระชันษาเป็นที่สองรองจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้าฟ้ามหาวชิราวุธ  เพราะเหตุดังกล่าวจึงเชื่อกันต่อๆ มาว่า รัชกาลที่ ๕ มีพระราชประสงค์ให้การสืบราชสมบัติเป็นไปตามลำดับพระชันษาของพระราชโอรส
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 12:13

แต่เมื่อพิจารณาความในพระราชบันทึก "ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖" ก็พบว่า  

ก่อนที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร จะเสด็จสวรรคตนั้น  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงพระประชวรหนักมาแต่ครั้งวิกฤติ ร.ศ. ๑๑๒  จนทรงหวั่นเกรงในพระราชหฤทัยว่า อาจจะไม่สามารถดำรงพระชนม์ชีพให้ยืนนานต่อไปได้  จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาแสดงพระราชประสงค์ในการจัดการพระบรมศพไว้ว่า

“ถ้าพระองค์ทูลกระหม่อมเสด็จสวรรคตลงก็ให้ฉันเปนผู้ถวายน้ำสรงพระบรมศพและถวายทรงพระชฎามหามหากะฐิน,  แต่ถ้าหากฉันยังไม่กลับจากยุโรปก็ให้น้องชายเล็กเปนผู้กระทำกิจนั้นๆ แทน  ดังนี้จึ่งเห็นว่าไม่มีทางอื่นนอกจากที่เลือกให้พระโอรสร่วมพระมารดาเดียวกับฉันเปนรัชทายาทต่อๆ ไป  ฉะนั้นในระหว่างเวลาที่ฉันยังไม่มีลูก, ขอให้ถือว่าน้องที่ร่วมอุทรกันเปนรัชทายาทตามลำดับอายุพรรษกาล, จำเดิมแต่น้องชายเล็กลงไป.
เหตุใดพระเจ้าหลวงจึ่งต้องทรงมีคำสั่งเช่นนี้  ผู้ที่ไม่รู้เรื่องเดิมคงจะแลไม่เห็นเปนแน่  เพราะเมื่อฉันเป็นรัชทายาทของทูลกระหม่อมอยู่แล้ว  ทำไมจะต้องสั่งด้วยว่าให้เปนผู้ถวายน้ำสรงพระบรมศพ?  ขออธิบายว่า เมื่อทรงเขียนพระราชหัตถ์ฉบับนั้น  ฉันยังหาได้เปนยุพราชไม่, เพราะทูลกระหม่อมใหญ่ ยังมีพระชนม์อยู่  แต่โดยเหตุที่ทูลกระหม่อมใหญ่ไม่ใคร่จะเอื้อในการเข้าไปเฝ้าและพยาบาลทูลกระหม่อมในเวลาที่ทรงพระประชวรอยู่, ทูลกระหม่อมท่านจึ่งทรงหาว่าทูลกระหม่อมใหญ่มิได้มีความจงรักภักดีต่อพระองค์,  เปนแต่คอยเปนเจ้าแผ่นดินเท่านั้น, และทรงหาความว่าจะทอดทิ้งพระบรมศพ, จึ่งได้ทรงสั่งไว้ให้ฉันเปนผู้ถวายน้ำสรง”

ครั้นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงสำเร็จการศึกษาและเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครใน พ.ศ. ๒๔๔๕ แล้ว

“ฉันได้รับพระราชทานพระชัยนวโลหะในพระที่นั่งไพศาล, ต่อหน้าเจ้านายเปนอันมาก, เมื่อพระราชทานพระชัยองค์นั้น  ทูลกระหม่อมได้มีพระราชดำรัสว่า พระชัยองค์นั้นได้ทรงหล่อที่พระราชวังบางปะอิน  เมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖) และเดิมตั้งพระราชหฤทัยว่าจะพระราชทานแด่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส, แต่สมเด็จพระบรโอรสาธิราชพระองค์นั้นสวรรคตเสียก่อนที่ได้รับพระราชทาน  บัดนี้ได้ทรงตั้งแต่งให้ฉันเปนพระยุพราชรัชทายาทแล้ว, จึ่งพระราชทานพระชัยองค์นั้นไว้ให้เปนสวัสดิมงคลสืบไป”
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 12:18

เมื่อพระราชทานพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๕ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธไว้สำหรับพระองค์นั้น  ได้มีพระราชกระแส

“ทรงกำชับว่าให้พึงเข้าใจว่าพระราชทานไว้สำหรับพระราชโอรสของเสด็จแม่ทุกคน, เมื่อใครเปนผู้มีอายุมากที่สุดในพวกพี่น้องก็ให้เปนผู้รักษาพระชัยองค์นั้นไว้จนกว่าจะสิ้นอายุ, แล้วจึ่งให้รับรักษากันต่อๆ ลงไปตามลำดับ  อาศัยข้อความตามที่ได้กล่าวมานี้  จึ่งเห็นว่าพระบรมราโชวาทของทูลกระหม่อมพอมีเค้าสังเกตได้ว่า พระโอรสของเสด็จแม่ควรที่จะได้เปนผู้สืบสันตติวงศ์เปนลำดับตามอาวุโส”

ส่วนพระชัยนวโลหะรัชกาลที่ ๔ นั้น  สมเด็จพระราชปิตุลา บรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงษ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช  มีรับสั่งให้หม่อมเจ้าดำรัสดำรง  เทวกุล ทรงบันทึกไว้ในพระประวัติส่วนพระองค์จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงซ์วรเดช ว่า

“เมื่อพระชนม์พรรษาได้ ๕๑ ปีนั้น  วันเสาร์ที่  ๒๒  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตเปลี่ยนรัชกาลใหม่  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มกุฎราชกุมารได้สำเร็จราชการเป็นพระเจ้าแผ่นดินสืบต่อสมเด็จพระบรมชนกาธิราช  พระองค์ได้ดำรงพระยศเปลี่ยนจากสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเป็นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  ตามราชประเพณี...
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลใหม่พระราชทานพระไชยนวโลหะ  กับพระเต้าศิลาบรรจุน้ำพระพุทธมนต์  แด่พระองค์ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท  เมื่อวันที่  ๒๖  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓  ก่อนที่จะพระราชทานได้มีพระราชดำรัสว่า “พระไชยเนาวโลหะพระองค์นี้ทูลกระหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) รับสั่งไว้ว่า  เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว  ให้ทรงมอบถวายแก่ทูลกระหม่อมอาว์ ทรงรักษาไว้  เพราะเป็นของทูลกระหม่อมปู่พระราชทานไว้เฉพาะพระราชโอรสของทูลกระหม่อมย่า  เมื่อมีการพระราชพิธีเมื่อใด  ขอให้ได้เชิญเข้าไปตั้งตามเคย”  แล้วทรงหลั่งน้ำพระพุทธมนตร์ในพระเต้าศิลา  พระราชทานให้สรงพระพักตร์และเสวยเพื่อเป็นสิริสวัสดิมงคลด้วย  เจ้าพนักงานกรมพระภูษามาลาได้เชิญพระพุทธรูปและพระเต้าศิลามาส่งประดิษฐานอยู่ ณ วังบูรพาภิรมย์  ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่  ๒๗  ตุลาคม  พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นต้นไป  และเมื่อถึงการพระราชพิธีใหญ่ๆ ในพระบรมมหาราชวัง  เจ้าพนักงานจะได้มาเชิญไปตั้งพระแท่นมณฑลตามเคย”
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 12:27

อนึ่ง เมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถเสด็จกลับจากทรงศึกษาที่ประเทศรัสเซียและทรงนำพระชายาชาวรัสเซียกลับมาด้วยนั้น  พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ผู้ทรงเป็นพระโอรสได้ทรงพระนิพนธ์ไว้ในเกิดวังปารุสก์ว่า

“ตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบเรื่องราวต่อมา  ปรากฏว่า ทูลกระหม่อมปู่ได้ทรงเรียกพ่อให้ไปเฝ้าสองต่อสองและได้ทรงต่อว่าถึงการแต่งงานกับผู้หญิงฝรั่ง  จริงอยู่บุคคลชั้นขุนนางได้เคยมีแต่งงานกับผู้หญิงฝรั่งมาก่อนนั้นแล้ว  แต่ชั้นเจ้านายยังไม่มี  ทูลกระหม่อมปู่ได้ทรงเตือนพ่อว่า  เป็นที่สองในการสืบสันตติวงศ์ต่อจากทูลกระหม่อมลุง  พ่อได้ทรงโต้เถียงว่ามิได้เคยทรงคิดเช่นนั้น  เพราะตามที่เข้าใจกัน  สมเด็จเจ้าฟ้าชั้นทูลกระหม่อมก็ย่อมมียศเท่ากันหมด  พ่อจึงได้ทรงคิดว่าที่สองต่อจากทูลกระหม่อมลุง คือ สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์  ขณะนั้นเป็นกรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต  ซึ่งแก่กว่าพ่อ”   

ดังนี้ย่อมเห็นได้ชัดว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวางลำดับสืบราชสมบัติตามแบบตะวันตก  โดยทรงกำหนดให้ถือพระเกียรติยศของพระชนนีเป็นสำคัญ  ฉะนั้นลำดับการสืบราชสมบัติตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์  ต่อจากรัชกาลที่ ๕ จึงเริ่มจากสายสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง (สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ)  แล้วจึงต่อด้วยสายสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี)  และสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (พระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระราชเทวี) เป็นลำดับ
บันทึกการเข้า
Jalito
องคต
*****
ตอบ: 478


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 13:57

มาลงชื่อเข้าเรียนครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 17:19

ขอบคุณคุณ V_Mee ที่ตั้งกระทู้มีสาระหาอ่านยากกระทู้นี้ค่ะ  คงจะถูกใจคุณหมอ JFK คุณ Praweenj และท่านอื่นๆ
ว่างเมื่อไหร่จะเข้ามาแจมค่ะ
บันทึกการเข้า
ศรีสรรเพชญ์
พาลี
****
ตอบ: 205



ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 18:55

ขออนุญาตเสริมเรื่องการสืบราชสมบัติหลังสิ้นแผ่นดินรัชกาลที่ ๒ บางประเด็นนะครับ


พิจารณาจากสถานการณ์ทางการเมืองในเวลานั้น อย่างที่ทราบกันดีว่ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นผู้ที่ทรงบารมีสูงสุด เพราะทรงช่วยราชการต่างพระเนตรพระกรรณเป็นที่ไว้วางพระทัยของรัชกาลที่ ๒ จนได้รับมอบหมายให้ว่าราชการกรมท่าดูแลกิจการต่างประเทศ รวมถึงกรมพระคลังมหาสมบัติ และกรมพระตำรวจว่าความฎีกา

ทรงเป็นเจ้านายองค์สำคัญควบคู่ไปกับเจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์ที่เป็นพระมหาอุปราช กับเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีซึ่งกำกับกรมวังและกรมมหาดไทยอยู่ จนกระทั่งเจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ไป กิจการกรมวังและกรมพระตำรวจจึงตกมาอยู่กับกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทั้งหมด จึงทรงดูแลราชการแผ่นดินเรื่อยมาตราบจนสิ้นรัชกาลที่ ๒ ทำให้พระองค์ทรงมีอำนาจบารมีและประสบการณ์ทางการเมืองสูงมาก

ด้วยเหตุนี้หลังจากรัชกาลที่ ๒ สวรรคตอย่างกะหันหันโดยไม่สามารถตรัสสั่งเสียเรื่องราชสมบัติได้ จึงทรงได้ราชสมบัติในรูปแบบที่เรียกขานในสมัยหลังว่า "อเนกชนนิกรสโมสรสมมติ" หมายถึงทรงได้รับการยอมรับจากชนทั้งหลาย ซึ่งในที่นี้หมายถึงทรงได้แรงสนับสนุนจากพระสังฆราช พระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ ขุนนางและพระราชวงศ์ทั้งหลายนั่นเองครับ

ดังที่พระราชพงศาวดารได้ระบุไว้ว่า

"จึ่งอาราธนาพระสังฆราช พระราชาคณะผู้ใหญ่มาแล้ว พร้อมด้วยพระบรมราชวงศานุวงศ์ต่างกรมและท่านเสนาบดีและข้าทูลละอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ฯ ซึ่งเป็นประธานในราชการแผ่นดิน เห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้ว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาช้านาน พากันเข้าเฝ้า...เชิญเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ"


ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎหลังจากทรงปรึกษาพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ในเวลานั้น จึงทรงตัดสินพระทัยไม่รับราชสมบัติ แต่คงอยู่ในสมณเพศต่อไป โดย พระนิพนธ์ "ความทรงจำ ของสมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ" ได้อธิบายว่า

“ตรัสปรึกษาเจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ซึ่งเป็นพระเจ้าน้าองค์น้อย ทูลแนะนำว่าควรคิดเอาราชสมบัติตามที่มีสิทธิ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเห็นชอบด้วย ไปทูลปรึกษากรมหมื่นนุชิตชิโนรส พระปิตุลาซึ่งทรงผนวชอยู่ กับทั้งกรมหมื่นเดชอดิศร พระเชษฐาซึ่งทรงนับถือมาก ทั้งสองพระองค์ ตรัสว่าไม่ใช่เวลาควรจะปรารถนา อย่าหวงราชสมบัติดีกว่า เพราะฉะนั้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฟังคำถาม จึงตรัสตอบว่ามีพระราชประสงค์จะทรงผนวชอยู่ต่อไป”
บันทึกการเข้า
ศรีสรรเพชญ์
พาลี
****
ตอบ: 205



ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 19:07

แต่นอกจากเรื่องปัจจัยเรื่องความเหมาะสม ยังมีหลักฐานบ่งบอกไปอีกทางหนึ่งที่เจ้าฟ้ามงกุฎเองทรงโดน "ข่มขู่" ซึ่งไม่ค่อยมีผู้กล่าวถึงครับ

อย่างเช่นที่ปรากฏจากบอกเล่าของกรมหลวงมหิศวรินทรามเรศ พระเชษฐาของรัชกาลที่ ๔ ซึ่งถูกอ้างในบันทึกความทรงจำของพระยากสาปนกิจโกศล (โหมด อมาตยกุล) ที่ระบุว่า

“พระจอมเกล้าฯ เสด็จเข้าไปพอเห็นสวรรคตแล้วก็พระกรรแสงโฮขึ้น หม่อมไกรสรก็เข้าไปกอดไว้แล้วคลำดู ดูที่จีวรกลัวจะซ่อนพระแสงเข้าไป พระจอมเกล้าฯ ก็ตกพระทัยรับสั่งว่าขอชีวิตไว้อย่าฆ่าเลย พระนั่งเกล้ารับสั่งว่าท่านอย่ากลัว ไม่มีใครทำอะไรหรอกอย่างตกพระทัย พี่น้องกันทั้งนั้น ทำอย่างไรได้เวลานั้นโดยท่านตกพระทัย พระบังคนไหลออกมาเปียงสบงเป็นครึ่งผืน”



"ลิลิตมหามกุฎราชคุณานุสรณ์" ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระโอรสของรัชกาลที่ ๔ เอง ก็ทรงพระนิพนธ์เหตุการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไว้ว่า

เขาเชิญไปวัดพระแก้ว            มรกฎ อกอา
พัก ณ พระอุโบสถ               ก่อนเฝ้า
หับทวารส่งทหารปด              เป็นรัก ขานา
ฉุกละหุกกลับรุกเร้า               รอบรั้งขังคุม พระเอย

กุมไว้ในโบสถ์สิ้น                  สับดวาร พ่ออา
ไร้มิตรศิษย์บริพาร                พี่น้อง
คึกคักแต่พนักงาน                 สนมนิเวสะรักษ์ฤา
คอยพิทักษ์หรือคอยจ้อง          จับมล้างพรางไฉน ฯ

จากบทประพันธ์ถอดความได้ความว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงถูกคุมอยู่ในพระอุโบสถวัดพระแก้วถึง ๗ วัน ทรงถูกเฝ้าดูอย่างเข้มงวดโดยอ้างว่าเป็นการอารักขา ทรงประทับอยู่โดยไม่มีผู้ใด และทำให้เกิดความระแวงว่าจะเกิดอันตรายกับพระองค์   หากความเป็นจริงก็บ่งชี้ว่าการสืบราชสมบัติในครั้งนั้นคงไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบร้อยราบรื่นอย่างที่กล่าวกันโดยทั่วไปครับ



แม้กระทั่งในพระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เองก็ทรงกล่าวอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงถูกฝ่ายของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์คุกคามมาตั้งแต่สมัยที่พระบิดายังไม่เสด็จสวรรคต จนต้องเสด็จออกผนวช และกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ก็มีพระทัยอยากจะได้ราชสมบัติอยู่เช่นกันครับ

“ในกาลก่อนแต่นี้ พระราชโอรสผู้ประเสริฐพระองค์ใหญ่ของพระราชเทวี เมื่อทรพิจารณาถึงกาลอันหนึ่งเทียว ทรงเห็นซึ่งพระราชบุตรผู้พี่ชายพระองค์ใหญ่กว่าพระราชบุตรทั้งปวง อันชนหมู่ใหญ่นับถือ แล้วปรารถนาอยู่แม้ซึ่งราชสมบัติของพระราชบิดา ครอบงำเสียซึ่งพระราชบุตรต่างพระมารดากัน กระทำอยู่แม้โดยพระกำลัง

แล้วทรงกำหนดซึ่งกาลใช่โอกาสของพระองค์ยังทรงพระเยาว์อยู่เทียว พระองค์มีพระชนม์พรรษาได้ยี่สิบปี แต่พระชาติทรงเห็นช่องทางซึ่งบรรพชาเป็นที่พ้นไปได้ จึงกราบทูลลาพระราชบิดา เข้าไปถึงแล้วซึ่งบรรพชา มีพระนามปรากฏโดยพระนามของพระภิกษุว่าพระผู้เป็นเจ้า วชิรญาณ ดังนี้”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 16 ก.ค. 16, 20:11

อ้างถึง
"ลิลิตมหามกุฎราชคุณานุสรณ์" ของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระโอรสของรัชกาลที่ ๔ เอง ก็ทรงพระนิพนธ์เหตุการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไว้ว่า

เขาเชิญไปวัดพระแก้ว            มรกฎ อกอา
พัก ณ พระอุโบสถ               ก่อนเฝ้า
หับทวารส่งทหารปด              เป็นรัก ขานา
ฉุกละหุกกลับรุกเร้า               รอบรั้งขังคุม พระเอย

กุมไว้ในโบสถ์สิ้น                  สับดวาร พ่ออา
ไร้มิตรศิษย์บริพาร                พี่น้อง
คึกคักแต่พนักงาน                 สนมนิเวสะรักษ์ฤา
คอยพิทักษ์หรือคอยจ้อง          จับมล้างพรางไฉน ฯ

จากบทประพันธ์ถอดความได้ความว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ ทรงถูกคุมอยู่ในพระอุโบสถวัดพระแก้วถึง ๗ วัน ทรงถูกเฝ้าดูอย่างเข้มงวดโดยอ้างว่าเป็นการอารักขา ทรงประทับอยู่โดยไม่มีผู้ใด และทำให้เกิดความระแวงว่าจะเกิดอันตรายกับพระองค์   หากความเป็นจริงก็บ่งชี้ว่าการสืบราชสมบัติในครั้งนั้นคงไม่ได้เป็นไปอย่างเรียบร้อยราบรื่นอย่างที่กล่าวกันโดยทั่วไปครับ

น่าจะเป็นการ "จุกช่องล้อมวง"  หรือเปล่าคะ คุณ V_Mee?
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 17 ก.ค. 16, 07:50

จุกช่องล่อมวง คือ การถวายอารักขาเจ้านายที่จะทรงรับรัชทายาท  เพื่อมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้น  แต่ในกรณีเจ้าฟ้ามงกุฎนั้น  น่าจะเป็นการควบคุมพระองค์ไว้ให้ผ่านเหตุการณ์สำคัญ คือ ถวายราชสมบัติแด่รัชกาลที่ ๓

เรื่องการสืบราชสมบัติในตอนปลายรัชกาลที่ ๒ คงจะไม่ราบรื่นดังที่คุณศรีสรรเพชญ์กล่าวไว้  เพราะพบความตอนหนึ่งในบันทึกของ John Crawford ที่เข้ามาเจริญทางพระราชไมตรีในตอนปลายรัชกาลที่ ๒ ว่า

"ในเวลานั้นพวกคนไทยแยกกันเป็น ๒ พวก  พวกหนึ่งนับถือในกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (รัชกาลที่ ๓)  อีกพวกหนึ่งนับถือเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ขัตติยราชกุมาร
แต่ตัวครอเฟิดเองได้ถามเจ้าพระยาพระคลัง (ที่เรียกกันว่าสมเด็จองค์ใหญ่)  ผู้ที่รับรองว่าควรจะไปเฝ้าเจ้านายพระองค์ใดบ้าง  เจ้าพระยาพระคลังได้แนะนำและพาไปเฝ้ากรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ที่วัง  จึงได้รู้จักพระอัธยาศัยว่าทรงเฉลียวฉลาดรอบรู้สมควรแก่ตำแหน่งเป็นอย่างยิ่ง  แต่ได้เฝ้าพระองค์เดียวไม่ได้รู้จักพระองค์อื่นอีก" 
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 17 ก.ค. 16, 08:04

มีข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนรัชกาล จากรัชกาลที่ ๒ เป็นรัชกาลที่ ๓ และจากรัชกาลที่ ๓ เป็นรัชกาลที่ ๔ จากหนังสือ "ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖" พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในต้นฉบับเขียนเป็นย่อหน้าเดียว ขออนุญาตแบ่งเป็นหลายย่อหน้าเพื่อจะได้อ่านสะดวกขึ้น)


เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าทรงประชวรหนักนั้น, มิได้มีเวลาที่จะทรงสั่งไว้ว่าให้ผู้ใดเปนพระเจ้าแผ่นดินต่อพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าในเวลานั้นทรงผนวชอยู่, และมีพระชนมายุเพียง ๒๐, แต่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเปนพระเจ้าลูกยาเธอผู้ใหญ่และเปนผู้กำกับราชการอยู่หลายตำแหน่ง, พอพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าเสด็จสวรรคต ท่านก็ทรงฉวยอำนาจไว้ได้หมด, ฉนั้นท่านจึ่งมิได้ให้ผู้ใดเรียกพระองค์ท่านว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" จนกว่าจะได้กระทำพิธีราชาภิเษกแล้ว.

ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าทรงพระประชวรหนัก ได้ทรงพระประชวรเรื้อรังอยู่นาน, แต่ก็หาได้ทรงมอบหมายราชสมบัติแด่พระองค์ ๑ พระองค์ใดไม่, ทั้งนี้เปนเพราะพระองค์ท่านทรงรู้สึกอยู่ว่า ได้ทรงแย่งราชสมบัติที่รู้กันอยู่ว่าเปนของทูลกระหม่อมปู่ของฉัน, โดยพระองค์ทรงเปนเจ้าฟ้าชายพระองค์ใหญ่ พระโอรสแห่งสมเด็จพระพุทธเลิศหล้ากับสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี. ส่วนพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าทรงเปนเพียงพระองค์เจ้าพระโอรสของพระสนม.

การที่ทรงแย่งครองราชสมบัตินั้นก็ได้เคยมีพระราชดำรัสอยู่ว่า "จะรักษาไว้ให้เขา" เท่านั้น. ฉนั้นที่ควรก็ควรต้องทรงสั่งไว้ว่าเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วให้ราชสมบัติตกเปนของทูลกระหม่อมปู่. แต่พระราชโอรสของพระองค์ท่านก็มีอยู่หลายพระองค์ที่กำลังทรงพระเจริญวัยขึ้น, เปนธรรมดาบิดาย่อมจะต้องอยากให้บุตรเปนทายาท, ฉนั้นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าจึงมิได้ทรงส่งมอบราชสมบัติแก่พระองค์ใด, เปนแต่มีพระราชกระแสรไว้ว่า เมื่อท่านเสนาบดีมุขมนตรีเห็นสมควรจะมอบราชสมบัติถวายแด่พระราชวงศ์พระองค์ใด ก็ให้ถวายแด่พระองค์นั้นเถิด.

เมื่อทราบกันว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าทรงพระประชวรหนักนั้น ก็ได้มีผู้ตระเตรียมการกันไว้พร้อม. แต่ไม่มีฝ่ายใดพร้อมเพรียงหรือมีกำลังมากเท่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ (ดิศ บุนนาค, ซึ่งเวลานั้นเป็นเจ้าพระยาพระคลังว่าที่สมุหกลาโหม) กับสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย (ทัด บุนนาค, ซึ่งเวลานั้นเปนพระยาศรีพิพัฒน์), และท่านทั้ง ๒ นี้ตั้งใจไว้มั่นคงว่าต้องให้ทูลกระหม่อมปู่ได้ราชสมบัติ, และไม่ยอมเปนอันขาดที่จะให้ลูกพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าได้.

ท่านทั้ง ๒ นี้มีความแค้นเคืองพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าอยู่, เพราะสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่นั้นได้เปนผู้ ๑ ในพวกที่สนับสนุนให้พระนั่งเกล้าขึ้นทรงราชย์, แต่มาครั้งเมื่อพระนั่งเกล้ากริ้วหม่อมไกรสรได้พลอยกริ้วสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่ด้วย, จนต้องหนีออกไปตั้งกองสักเลขอยู่ที่เมืองชุมพร จึ่งได้รอดภัย.

เมื่อครั้งหม่อมไกรสรรับพระราชอาญา สมเด็จองค์ใหญ่ร้องว่า พระนั่งเกล้าไม่ทรงซื่อตรงต่อผู้ภักดี. ใช้คำว่า "ท่านใช้เราเปนบรรไดขึ้นถึงที่สูงได้แล้ว ท่านจะเตะบรรไดเสีย" ดังนี้.

ข้างฝ่ายผู้ที่อยากให้ลูกพระนั่งเกล้าได้เปนพระเจ้าแผ่นดินออกจะไม่มีผู้ใดที่หลักแหลมและเจ้านายน้องยาเธอที่จะพอหวังให้ช่วยสนับสนุนลูกพระนั่งเกล้าได้ก็มีอยู่แต่กรมสมเด็จพระเดชาติศร (พระองค์เจ้าละมั่ง, เวลานั้นเปนกรมหลวงเดชอดิศร), เพราะพระนั่งเกล้าโปรดปรานท่านอยู่มาก, แต่พระองค์กรมสมเด็จพระเดชาดิศรเองท่านวางพระองค์เปนกลางเฉยอยู่, ฉนั้นก็ยากที่จะหวังให้ท่านเปนหัวหน้าได้.

พูดไปตามจริงพระราชโอรสของพระนั่งเกล้าก็ไม่มีองค์ใดที่แหลมอยู่เลย. พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ, พระโอรสพระองค์ใหญ่ (เปนพระบิดาของสมเด็จพระนางโสมนัสวัฒนาวดี พระบรมราชเทวีในรัชกาลที่ ๔), กับกรมหมื่นมาตยาพิทักษ์(พระองค์เจ้าสิริวงศ์, เปนพระชนกของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี) ก็ได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้วทั้ง ๒ พระองค์.

พระโอรสพระองค์ที่ ๓ (ซึ่งได้เปนกรมหมื่นเชษฐาธิเบนทร์ในรัชกาลที่ ๔) ก็ไม่ใช่คนโปรดปรานและออกจะมืด ๆ อยู่, คงมีที่ค่อยยังชั่วอยู่ก็พระองค์เจ้าคเณจร (ซึ่งได้เปนกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร), แต่ก็มีคนนับถือน้อย, ฉนั้นพอพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเสด็จสวรรคตลง สมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่กับสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยก็รีบไปจัดการล้อมวงที่วัดบวรนิเวศ, และอัญเชิญเสด็จทูลกระหม่อมปู่เข้าไปในพระบรมมหาราชวังทั้ง ๆ ยังทรงพระผนวชอยู่, และทูลอัญเชิญให้เสด็จลาผนวชในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม, แล้วและจัดการให้มีการถือน้ำโดยเร็วด้วย
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 17 ก.ค. 16, 08:19

จากรัชกาลที่ ๔ เป็นรัชกาลที่ ๕

รัชกาลที่ ๖ ทรงกล่าวไว้ในหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ว่า

เมื่อทูลกระหม่อมปู่เสด็จสวรรคตนั้น, อันที่จริงก็ไม่ควรที่จะมีข้อสงสัยเลย, หากสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค, ซึ่งเวลานั้นเปนเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่สมุหพระกระลาโหม) ทำเหตุให้ยุ่งไปเองแท้ ๆ ในขณะที่ทูลกระหม่อมทรงพระประชวรหนักขึ้น พะเอินทูลกระหม่อมของฉันก็ทรงพระประชวรเปนไข้มีพระอาการมากอยู่ด้วยเหมือนกัน. อีกประการ ๑ ในเวลานั้นทูลกระหม่อมก็มีพระชนมายุเพียง ๑๕ เต็ม ๆ เท่านั้น, ทูลกระหม่อมปู่จึ่งได้มีพระราชดำรัสฝากให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ช่วยเปนผู้ประคับประคองด้วย สมเด็จเจ้าพระยาเห็นว่าเปนโอกาสเหมาะที่จะรวบรัดอำนาจไว้ในกำมือของตน, ฉนั้นเมื่อได้ไปเชิญเสด็จทูลกระหม่อมจากพระตำหนักสวนกุหลาบเข้าไปประทับที่ในพระฉากในพระที่นั่งอมรินทร์แล้ว, และได้จัดการถือน้ำตามประเพณีแล้ว, ก็ยังมิได้ให้เรียกทูลกระหม่อมว่า "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว", เพราะเขานึกว่าทูลกระหม่อมจะสวรรคตเสียก่อนที่จะได้ราชาภิเษก ที่ว่าสมเด็จเจ้าพระยานึกเช่นนี้ ไม่ใช่เปนการใส่ความ, เพราะมีสิ่งที่เปนพยานอยู่อย่าง ๑ คือสมเด็จเจ้าพระยาได้จัดการให้กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ (พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ, หรือที่เรียกกันอยู่ว่า "ยอร์ช วอชิงตั้น), พระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว, รับบวรราชาภิเษกเปนกรมพระราชวังบวรก่อนงานบรมราชาภิเษกของทูลกระหม่อม, ซึ่งเปนการนอกธรรมเนียมราชประเพณีโดยแท้, เพราะมิได้เคยมีเลยในรัชกาลใด ๆ, ทั้งครั้งกรุงเก่าและกรุงรัตนโกสินทร์, ที่วังน่าจะได้รับบวรราชาภิเษกก่อนที่พระเจ้าแผ่นดินในรัชกาลนั้นจะได้รับบรมราชาภิเษก.

รัชกาลที่ ๕ ก็ได้ทรงกล่าวเชิงประชดถึงเรื่องนี้ไว้ใน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิจารณ์เรื่องพระราชพงศาวดาร กับเรื่องพระราชประเพณีการตั้งพระมหาอุปราช ความว่า

ท่านเสนาบดีปฤกษาว่า พระองค์เจ้ายอร์ช วอชิงตัน กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ มีวิชาเป็นช่างเชาว์เกลาเกลี้ยงให้เป็นกรมพระราชวังบวรรับบัณฑูรเป็นที่ ๑๖ จะได้คุมข้าไทของวังหน้าต่อไป เป็นวังหน้าที่มิได้เป็นพระราชโอรสของกษัตริย์ และกษัตริย์มิได้ทรงเลือกเองเป็นที่ ๑ ตั้งแต่กรุงทวารวดีจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.089 วินาที กับ 20 คำสั่ง