เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 3015 การรับผลบุญข้ามภพ
ดอกมะเดื่อ
อสุรผัด
*
ตอบ: 3


 เมื่อ 15 เม.ย. 16, 21:53

การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่บุคคลที่เสียชีวิตแล้ว สมมุติชื่อ นาย ก. ต่อมา นาย ก. ได้ไปเกิดในภพใหม่เป็น นาย ข. ไม่ทราบว่า นาย ข. จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากการอุทิศนั้นหรือไม่ครับ?
ขอขอบคุณทุกความเห็นครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 16 เม.ย. 16, 13:47

ต้องขอแรงท่านสมาชิกเรือนไทยที่เคยบวช  หรือเข้าวัดประจำละค่ะ    
ช่วยตอบหน่อย

อ่านกระทู้นี้ไปพลางๆก่อนนะคะ
http://pantip.com/topic/30426229
บันทึกการเข้า
ธสาคร
พาลี
****
ตอบ: 248


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 18 เม.ย. 16, 01:47

นาย ก. เกิดใหม่เป็นนาย ข. ==> แสดงว่าเกิดภพใหม่เป็นมนุษย์  ไม่ใช่สัตว์ เปรต หรือเทวดา
คำตอบคือ "ไม่ได้รับ" แน่นอนครับ  ไม่ว่าจะอ้างตำรา หรือ เกจิท่านใดๆ

ว่าแต่คุณมะเดื่อ  ทราบได้อย่างไรว่า นาย ก. เกิดใหม่แล้ว  และได้ชื่อว่า นาย ข.
อ้ะ...สมมติว่ารู้ก็แล้วกัน
คุณมะเดื่อทำบุญเสร็จแล้ว  ก็ไปบอกนาย ข. ให้ทราบกิจกรรมนั้น  เพื่อให้เขามีใจยินดีในกุศลกรรมของคุณ  เขาก็จะได้บุญจากการอนุโมทนา
แต่ถ้าคุณมะเดื่อทำบุญเสร็จแล้ว  ทำปากขมุบขมิบอุทิศบุญขณะกรวดน้ำ  นาย ข. ก็ไม่ได้รับน่ะสิครับ  เขาเป็นมนุษย์แล้วครับ..ไม่ใช่วิญญาณ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 18 เม.ย. 16, 17:50

ถ้าคุณธสาครเป็นฝ่ายถูกต้อง   ดิฉันจะเศร้ามากเลย
ทุกปี  ดิฉันทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อคุณแม่และบรรพชนทั้งสองฝ่าย    ถ้าท่านไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่มีปัญหา   
แต่ถ้าพวกท่านไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์กันหมดแล้ว ไปรษณีย์ระหว่างภพก็ปิด  นำส่งไม่ได้   ท่านก็จะไม่ได้รับ
แล้วลูกหลานก็ตั้งอกตั้งใจทำให้  ก็จะพบว่าพัสดุสูญหายระหว่างทาง หรือต่อให้ส่งคืนกลับมายังผู้ส่ง เราก็ไม่ต้องการ เพราะอยากให้ถึงผู้รับมากกว่า

ใจฝ่อหมดเลย

เพราะฉะนั้น   มันเป็นเรื่องของความเชื่อ   ไม่เคยมีใครตายแล้วกลับมายืนยัน   ก็ขอสมัครใจเชื่อว่าทำแล้วถึงพ่อแม่ดีกว่าค่ะ   
เผื่อมันถึงแล้วเราไปเชื่อว่าไม่ถึง  เลยงดทำบุญ   พ่อแม่ก็อดเปล่าๆ
บันทึกการเข้า
ธสาคร
พาลี
****
ตอบ: 248


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 19 เม.ย. 16, 02:18

อย่าเศร้า อย่าฝ่อครับ  ทำดีแล้วก็ทำต่อไป
เราไม่ทราบว่าท่านเหล่านั้นจุติไปภพใด  หากท่านถือกำเนิดในมนุสสภูมิเช่นเดียวกับเรา  การอุทิศผลบุญส่งไปไม่ถึง  ผมก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน  น่ายินดีเสียอีกที่ท่านเหล่านั้นสามารถเลี้ยงชีพตนได้โดยเสรี  ดีกว่ารอรับผลบุญจากเรา  และผมคิดว่าไม่น่ามีใครสามารถอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับได้ทุกวัน  วันละ3มื้อ

อาจต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยว่า  การทำบุญอุทิศของเรานั้นสัมปยุตความอาลัยอาวรณ์ ความคะนึงหา ปนเข้าไปกี่เปอร์เซนต์
ความอาวรณ์นี้เป็นกิเลสล้วนๆ  หาใช่บุญไม่  เป็นไวรัสที่แฝงตัวไปกับไปรษณียภัณฑ์
ผมคิดว่าควรทำบุญอุทิศด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่วอกแวก ไม่ส่งจิตระลึกถึงอตีตารมณ์
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 19 เม.ย. 16, 16:59

คนเป็นพ่อเป็นแม่ เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เกิดจนโต ร่ำเรียนจบหางานทำเลี้ยงตัวเองได้ ก็มาจากน้ำพักน้ำแรงพ่อแม่
พอท่านจากไป   จะให้เลิกคิดถึงโดยถือว่าเป็นกิเลส   เลยไม่ต้องทำบุญส่งไปให้  ให้ท่านเกิดใหม่แล้วหาข้าวหาปลากินเอง จะอดอยากก็ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว
ยังทำใจตัดกิเลสถึงขนาดนั้นไม่ได้ค่ะ
ยังถือว่าความผูกพันระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน ที่มีต่อพ่อแม่  และญาติผู้ใหญ่  เป็นเหมือนการลงทะเบียนไปรษณีย์ภัณฑ์ให้ถึงผู้รับแน่ๆ  ไม่ใช่ฝากไวรัสใส่กล่อง

แล้วใครว่าเขาทำบุญกันวันละ 3 มื้อ ยังไม่เคยเห็นใครทำขนาดนั้น    แค่ปีหนึ่ง กำหนดวันรวมญาติ เพื่อทำบุญให้บรรพชนผู้ล่วงลับ  ก็เห็นเขาทำกันในกลุ่มพี่น้องลูกหลาน หรือไม่ก็กลุ่มเครือญาติร่วมนามสกุลเดียวกัน

ในเมื่อทุกคนที่ตอบกระทู้นี้ก็ยังไม่ตายกันสักคน   ก็ได้แต่แสดงความเห็นกันไป      ดิฉันขอตอบคนตั้งกระทู้ว่าถ้าอยากทำก็ทำเถอะ  ไม่เสียหายอะไร    นึกว่าถึงก็ถึง  นึกว่าไม่ถึงก็ไม่ถึง   เอาเจตนาของเราเป็นหลักก็แล้วกันค่ะ
บันทึกการเข้า
ดอกมะเดื่อ
อสุรผัด
*
ตอบ: 3


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 23 เม.ย. 16, 22:12

ตอนที่ตั้งกระทู้จะนึกถึงตัวเองเป็นผู้รับ พอมาอ่านความเห็นของอาจารย์เทาชมพูเลยรู้สึกซาบซึ้ง คิดได้ว่า "จิตที่ให้เป็นสุขกว่าจิตที่รับ"
ที่มาของกระทู้ คือการถวายกุศลแด่พระบุรพกษัตริย์ไทย ซึ่งพอทราบมาว่าบางพระองค์ได้มาเกิดเป็นคนธรรมดาในปัจจุบันชาติ ไม่แน่ใจว่าพระองค์ท่านจะได้รับหรือไม่ อย่างไร
ขอขอบคุณความเห็นของทั้งสองท่านครับ
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 24 เม.ย. 16, 06:43

ที่มาของกระทู้ คือการถวายกุศลแด่พระบุรพกษัตริย์ไทย ซึ่งพอทราบมาว่าบางพระองค์ได้มาเกิดเป็นคนธรรมดาในปัจจุบันชาติ ไม่แน่ใจว่าพระองค์ท่านจะได้รับหรือไม่ อย่างไร
ขอขอบคุณความเห็นของทั้งสองท่านครับ

รายละเอียดน่าสนใจ ขยายความเพิ่มเติมได้หรือไม่ครับ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 24 เม.ย. 16, 13:28

ที่มาของกระทู้ คือการถวายกุศลแด่พระบุรพกษัตริย์ไทย ซึ่งพอทราบมาว่าบางพระองค์ได้มาเกิดเป็นคนธรรมดาในปัจจุบันชาติ ไม่แน่ใจว่าพระองค์ท่านจะได้รับหรือไม่ อย่างไร

มีเรื่องเล่าว่าบางท่านยังอยู่ในอีกภพหนึ่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านบทความข้างล่าง  ยิงฟันยิ้ม

http://www.dharma-gateway.com/misc/misc-thongtue/misc-099.htm
บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 25 เม.ย. 16, 08:47

เข้ามาเช็คชื่อรอฟังด้วยคนครับ  ยิ้ม
บันทึกการเข้า
Naris
องคต
*****
ตอบ: 421


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 25 เม.ย. 16, 09:34

มาฟังอย่างแอบๆ  ตกใจ
บันทึกการเข้า
ดอกมะเดื่อ
อสุรผัด
*
ตอบ: 3


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 25 เม.ย. 16, 23:38

"กมฺมุนา วตฺตตี โลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณในการอ่านข้อมูลต่อไปนี้ เป็นการรู้โดยวิถีส่วนตน เป็นเรื่องปัจจัตตังนะครับ

พระมหากษัตริย์ไทยเปรียบดั่งสมมุติเทพ มีความเชื่อว่าบางพระองค์เกิดจากการอวตารของเทพ เช่น สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงเป็นผู้มีบุญบารมีมาก อีกทั้งยังได้ประกอบคุณงามความดีแก่ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาเป็นอันมาก เมื่อสวรรคตแล้ว ได้เกิดเป็นเทพประทับอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

ส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีบุญบารมีไม่มากนัก ก็ได้มาเกิดเป็นสามัญชนในปัจจุบันชาติ บางพระองค์ก็เป็นกษัตริย์ถึงสองภพ เช่น สมเด็จพระมหินทร์ เมื่อสวรรคตแล้วก็ได้มาเกิดเป็นสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร หลังจากได้มรณภาพแล้ว ก็ได้มาเป็นภิกษุในชาตินี้ เหมือนกับพระเชษฐา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ก็ได้เป็นสหธรรมิกอยู่วัดเดียวกัน เช่นเดียวกับกรมขุนเสนาพิทักษ์(เจ้าฟ้ากุ้ง) ก็เคยมาบวชที่วัดแห่งนี้ (ไม่ทราบว่าทำไมต้องเป็นวัดนี้) จะเห็นได้ว่าเป็นผลกรรมจากอดีตชาติ จากพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็กลับกลายมาเป็นคนธรรมดาสามัญ แต่จะต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ มิฉะนั้น ชีวิตจะหาความสุขมิได้...ธรรมะได้จัดสรรไว้แล้ว

ขอขยายความเพิ่มเติมที่ได้กล่าวไว้เพียงแค่นี้นะครับ เกรงจะผิดรูปแบบของเรือนไทย.วิชาการ.คอม ที่ต้องนำเสนอข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิงได้ แต่ข้อมูลนี้เป็นความรู้สึกล้วนๆ สุดท้ายขอนำข้อมูลของสองกษัตริย์มาสรุปให้อ่านกันเล่นๆ นะครับ   

สมเด็จพระมหินทราธิราช และสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร
ความคล้ายของความต่าง ในความเป็นอันเดียวกัน

สมเด็จพระมหินทราธิราช กษัตริย์องค์ที่ ๑๖ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ และสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร กษัตริย์องค์ที่ ๓๒ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ทรงมีปัจจัยที่คล้ายกันหลายอย่าง คือ

๑.   ลำดับองค์รัชทายาท   
-พระมหินทร์ทรงเป็นพระอนุชาของพระราเมศวร ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทลำดับแรกของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  ต่อมาพระราเมศวรได้ถูกนำไปเป็นองค์ประกันเมื่อคราวสงคราช้างเผือก พระมหินทร์จึงได้สิทธิในการครองราชบัลลังก์ต่อจากพระบิดา 
-เจ้าฟ้าอุทุมพรเป็นองค์รัชทายาทลำดับที่ ๓ ซึ่งมีโอกาสขึ้นครองราชย์น้อยมาก แต่ก็ได้เป็นกษัตริย์

๒.   ครองราชย์สองครั้งในระยะเวลาสั้นๆ 
-สมเด็จพระมหินทร์ได้ครองราชย์ จากการสละราชสมบัติของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเพื่อออกผนวชแล้ว  เมื่อคราวทำสงครามกับพม่า ได้กราบอาราธนาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิให้ลาสิกขาเพื่อเป็นแม่ทัพ โดยถวายราชสมบัติคืน ต่อมาได้ครองราชย์อีกครั้งหลังสมเด็จพระมหาจักรพรรดิสวรรคต รวมระยะเวลาครองราชย์ ๑ ปี
-หลังจากได้ครองราชย์จากการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศได้ไม่นาน ได้สละราชสมบัติให้เจ้าฟ้าเอกทัศ ต่อมาเมื่อมีข้าศึกมาประชิดเมือง  สมเด็จพระเจ้าเอกทัศได้กราบอาราธนาให้ลาผนวชกลับมาครองราชย์อีกครั้งเพื่อเป็นแม่ทัพ แต่เมื่อเสร็จศึกแล้วก็ได้สละราชสมบัติคืนให้พระเจ้าเอกทัศและกลับไปผนวชเหมือนเดิม รวมระยะเวลาครองราชย์ ๓ เดือน

๓.   ร้องขอ/ถูกร้องขอให้เป็นผู้นำทัพ
-สมเด็จพระมหินทร์ได้กราบอาราธนาสมเด็จพระมหาจักรพรรดิลาสิกขา เพื่อเป็นแม่ทัพรบพม่าในสงครามก่อนสงครามเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๑
-สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ได้ถูกสมเด็จพระเชษฐากราบอาราธนาให้ลาสิกขา เพื่อเป็นแม่ทัพรบพม่าในสงครามก่อนสงครามเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒

๔.   มีส่วนในการเสียกรุงศรีอยุธยา
-สมเด็จพระมหินทร์เป็นกษัตริย์ครองราชย์เมื่อคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๑
-สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร เป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ก่อนเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียกรุงในครั้งนี้

๕.   ถูกนำไปเป็นเชลย และสวรรคตในพม่า
-สมเด็จพระมหินทร์ถูกนำไปเป็นเชลยสงคราม บ้างว่าได้สวรรคตระหว่างการเดินทาง บ้างว่าได้สวรรคตในพม่าหลังเดินทางไปถึงได้ไม่นาน  ถือเป็นกษัตริย์สยามพระองค์แรกที่ถูกพม่าต้อนไปเป็นเชลยในการเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๑
-ส่วนสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรถูกนำไปเป็นเชลยสงครามในเพศบรรพชิต และได้มรณภาพหลังจากนั้นอีกหลายปี ถือเป็นกษัตริย์สยามพระองค์ที่สอง(สุดท้าย)

จะเห็นได้ว่าปัจจัยทั้งห้า เป็นความคล้ายคลึงที่เกิดขึ้นกับกษัตริย์คนละพระองค์ ต่างราชวงศ์ ที่ประสูติห่างกัน ๑๘๓ ปี  ถึงแม้ทั้งสองพระองค์จะมีรูปต่างกัน...แต่เป็นญาณเดียวกัน

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.077 วินาที กับ 19 คำสั่ง