เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ดิฉันจึงขอเชิญชวนให้ชาวเรือนไทยร่วมกันรำลึกถึงท่าน ด้วยการซักถาม/บอกเล่า/ จดจำผลงานหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในชีวิตของท่าน มาถ่ายทอดสู่กันฟัง เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับน้องๆนักศึกษาและนักเรียนที่อาจจะเปิดเข้ามาอ่าน ค่ะ
ส่วนที่ดิฉันเก็บรวมรวมสิ่งละอันพันละน้อยมา มีดังนี้
- สุนทรภู่ได้รับการประกาศเกียรติคุณจากองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นกวีดีเด่นของโลก เมื่อพ.ศ. ๒๕๒๗
- ลูกหลานเชื้อสายสุนทรภู่ ใช้นามสกุลว่า " ภู่เรือหงส์"
- แต่เดิม เราทราบแต่ว่าบิดาสุนทรภู่ไปบวชอยู่ที่อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มารดาเป็นแม่นมพระธิดากรมพระราชวังบวรเสนาภิมุข แต่อาจารย์ล้อม เพ็งแก้วไปได้ต้นฉบับนิราศเมืองเพชรของสุนทรภู่ในหอสมุดแห่งชาติ เป็นท่อนที่ขาดหายไปจากฉบับเต็ม บอกว่า บรรพบุรุษของท่านเป็นพราหมณ์เมืองเพชรบุรี
มาลงเรือเมื่อจะล่องแรมสองค่ำ.................ต้องไปล่ำลาพราหมณ์ตามวิสัย ไปวอนท่านยายคำให้นำไป......................บ้านประตูไม้ไผ่แต่ไรมา เป็นถิ่นฐานบ้านพราหมณ์รามราช.............ล้วนโคตรญาติย่ายายฝ่ายวงศา เทวสถานศาลสถิตอิศวรา.........................เสาชิงช้าก็ยังเห็นเป็นสำคัญ ทั้งโบสถ์บ้านฐานที่ยังมีอยู่........................แต่ท่านผู้ญาติกานั้นอาสัญ เพราะกรุงแตกแยกย้ายพลัดพรายกัน.........จึงสิ้นพันธุ์พงศาเอกากาย ที่เหล่ากอหลอเหลือในเนื้อญาติ.................เป็นเชื้อชาติชาวเพชรบุรียังมีหลาย แต่สิ้นผู้ปู่ย่าพวกตายาย............................ญาติทั้งหลายมิได้รู้เรื่องบูราณ
- สุนทรภู่ เคยได้แต่ง พระราชนิพนธ์รามเกียรติ์ในรัชกาลที่ ๒ ด้วย ต่อจากสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงค้างเอาไว้ในการบรรยายรถทรงของทศกัณฐ์ ตอน ศึกสิบขุนสิบรถ ว่า
รถที่นั่ง..............................บุษบกบัลลังก์ตั้งตระหง่าน กว้างยาวใหญ่เท่าเขาจักรวาล.....ยอดเยี่ยมเทียมวิมานเมืองแมน ดุมวงกงหันเป็นควันคว้าง.........เทียมสิงห์วิ่งวางข้างละแสน สารถีขี่ขับเข้าดงแดน................พื้นแผ่นดินกระเด็นไปเป็นจุณ
กล่าวกันว่าทรงพรรณนามาถึงตอนนี้ก็หยุดค้างไว้ ยังติดขัดเรื่องจะบรรยายต่อไปอย่างไรให้เห็นความยิ่งใหญ่ของรถทรงของทศกัณฐ์ สุนทรภู่ก็แต่งต่อให้ว่า
นทีตีฟองนองระลอก..................กระฉอกกระฉ่อนชลข้นขุ่น เขาพระเมรุเอนเอียงอ่อนละมุน.....อานนท์หนุนดินดาลสะท้านสะเทือน ทวยหางกัมปนาท......................สุธาวาสไหวหวั่นลั่นเลื่อน บดบังสุริยันตะวันเดือน...............คลาดเคลื่อนจัตุรงค์ตรงมา
- บั้นปลายชีวิต สุนทรภู่มีชีวิตรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ได้เป็นพระสุนทรโวหารเจ้ากรมอาลักษณ์ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว อยู่ในตำแหน่งนี้จนถึงแก่กรรม เมื่อประมาณพ.ศ. ๒๓๙๘
- น.ม.ส. (กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์) ทรงเล่าเกร็ดว่า ในรัชกาลที่ ๓ มีเจ้านายทรงกรม(ระดับพระองค์เจ้า)องค์หนึ่งเกิดไปชอบหญิงสาวสวยคนหนึ่งเข้าโดยไม่ทรงทราบว่าเจ้าฟ้าน้อย(ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ)ทรงติดพันหล่อนอยู่เหมือนกัน ก็เลยส่งเพลงยาวไปเกี้ยว แม่สาวคนนี้คงจะเอนเอียงมาทางเจ้าฟ้าน้อยเลยนำเพลงยาวไปถวายให้ทรงอ่าน เจ้าฟ้าน้อยก็ทรงมอบให้สุนทรภู่แต่งเพลงยาวตอบเป็นทำนองว่าผู้หญิงเขียนเอง เจ้าต่างกรมได้รับเพลงยาวตอบก็ดีพระทัยนึกว่าหล่อนมีไมตรีตอบ เปิดขึ้นมาอ่านพบสำนวนกลอนหญิงสาวที่เฉียบแหลมเผ็ดร้อนที่สุด จนครั่นคร้ามไม่กล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับสาวรายนี้อีก
- สุนทรภู่มีภรรยาหลายคน คือจัน นิ่ม งิ้ว แม่ศรีสาหง ลูกอิน มีลูกชาย ๒ คนเท่าที่รู้คือนายพัดและนายตาบ ในจำนวนนี้แม่จันภรรยาคนแรกดูจะเป็นที่รักมากที่สุด แต่ก็มีเรื่องเลิกร้างกันไป มีสามีใหม่
- สุนทรภู่ชอบเล่นกลบท มักแฝงเอาไว้ในนิราศอย่างนิราศวัดเจ้าฟ้าและนิราศสุพรรณ
(กลบทสกัดแคร่ - ใช้คำเดียวกันในคำต้นและท้ายสุดของแต่ละบาท)
หนาวลมห่มผ้าห่อน..................หายหนาว ฟ้าพร่ำน้ำค้างพราว..................พร่างฟ้า เด่นเดือนเกลื่อนกลาดดาว............ดวงเด่น ใจเปล่าเศร้าซบหน้า...................นึกน้องหมองใจ
- สุนทรภู่เป็นนักอ่านเรื่องจีนตัวยง เพราะในผลงานหลายเรื่องได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจีน เช่น บทละครอภัยนุราช ได้โครงเรื่องจาก ห้องสิน วิชาปี่ของพระอภัยมณีได้จากวิชาปี่ของเตียวเหลียว วิชากระบี่กระบองของศรีสุวรรณได้จากวิชาของพระเจ้าฌ้อปาอ๋อง (อยู่ในเรื่องไซ่ฮั่น) ผู้หญิงที่เก่งการรบ ขี่ม้ามีอาวุธประจำกาย อย่างตัวเอกหญิงชาวเมืองลังกาในพระอภัยมณี ก็ได้เค้ามาจากนางในเรื่องจีนหลายคนด้วยกัน
- สุนทรภู่เป็นคนท้าทายการเล่นคำยาก คำที่ถือกันว่าสัมผัสยากที่สุดของไทยคือเสียง "อีน" เพราะมีเพียง ๔ คำ คือศีล จีน ปีน ตีน สุนทรภู่ก็เอามาใช้ได้ครบถ้วนเพื่อบรรยายชีเปลือยในพระอภัยมณี
ตัวอะไรไยหนอไม่นุ่งผ้า..............จะเป็นบ้าหรือว่าจะถือศีล หนวดถึงเข่าเคราถึงนมผมถึงตีน....จะเจ๊กจีนอย่างไรก็ใช่ที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
วรวิชญ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 13:18
|
|
บทละครเรื่องรามเกียรติ์ที่สุนทรภู่แต่งตามที่ยกมาเหมือนบทอัศจรรย์เลยนะครับ จะรบกวนเรียนถามครับว่ากลอนบทนี้อยู่ในเรื่องอะไร แมลงภู่เป็นคู่กับบุบผา โบราณว่าเห็นจริงทุกสิ่งสม หญิงกับชายย่อมเป็นคู่ชูอารมณ์ ชั่วปฐมกัปกัลป์พุทธันดร ฯลฯ ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์ อันลอยลิบเลิศมนุษย์สุดปฐม แต่ไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์ จะเตรียมตรมตรึกหาเป็นอาจินต์ บทที่ละไว้ผมนึกไม่ออก ช่วยเติมให้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 17:31
|
|
ค่ะ บทละครที่ว่าสุนทรภู่แต่งคล้ายๆบทอัศจรรย์ระหว่างพระอภัยมณีกับนางเงือก
กลอนที่ยกมา ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันก็เป็นฝีมือนายมี ศิษย์สุนทรภู่ ในนิราศพระแท่นดงรัง ค่ะ บทที่ละไว้ จำได้แค่ โอ้สงสารสุริยาฟ้าพยับ..........จะเลื่อนลับยุคุนธรสิงขรเขา พระอาทิตย์ดวงเดียวเปลี่ยวเหมือนเรา.....กำสรดเศร้าโศกมาเอกากาย ถึงมีเพื่อนก็เหมือนพี่ไม่มีเพื่อน.............เพราะไม่เหมือนนุชนาฏที่มาดหมาย มีเพื่อนเล่นก็ไม่เหมือนกับเพื่อนตาย.....มีเพื่อนชายก็ไม่เหมือนกับเพื่อนชม ถึงจะมีวิมานสถานทิพย์...........อันลอยลิบเลิศมนุษย์สุดปฐม แต่ไม่มีคู่เคียงเรียงภิรมย์.........จะเกรียมตรมตรึกหาเป็นอาจิณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
วรวิชญ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 18:00
|
|
ขอบคุณมากครับ น่าเสียดายที่นิทานกลอนเรื่องโคบุตร ไม่ใคร่มีใครสนใจสักเท่าไร ทั้งที่สุนทรภู่เป็นผู้แต่ง เนื้อเรื่องก็น่าสนใจ และเป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านโดยแท้ มีอยู่ตอนหนึ่งที่โคบุตรทำลายค่ายกลรูปสัตว์ประจำราศี ซึ่งคล้ายกับเรื่องในนิทานต่างชาติ แต่นึกไม่ออกว่าเป็นเรื่องใด พอจะเสาะหาคำตอบได้ไหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 18:04
|
|
วันก่อนนี้จับอ่านพระอภัยมณีอีกหน ตอนพระอภัยเป่าปี่สังหารนางผีเสื้อสมุทรได้แล้ว นางผีเสื้อตายกลายเป็นหินแล้ว กำลังจะเอาไฟเผาศพ แต่พอดีเทวารักษ์ชื่อ เทพมหิงขสิงขร มาห้ามไว้ แล้วเล่าประวัตินางผีเสื้อสมุทรให้ฟัง อ่านแล้วเกิดสะกิดใจขึ้นมาว่า ท่านสุนทรภู่ได้เค้านางผีเสื้อสมุทรมาจากเห้งเจียหรือซึงหงอคง หรือซุนอู๋คง ในเรื่องไซอิ๋วนั้นเอง
เพราะ .... "นางผีเสื้อเมื่อก่อนเป็นก้อนหิน อยู่กระสินธุ์สมุทรมหาชลาไหล... ...ถูกไอน้ำซึ่งได้ไอแผ่นดิน บันดาลหินนั้นให้งอกออกทุกที เป็นหน้าตาขาแข้งอันแรงฤทธิ์ ด้วยพรอิศรารักษ์พระลักษมี นับอนันต์วันคืนได้หมื่นปี จึงเป็นผีเสื้อสมุทรผุดทะยาน..."
เห้งเจียเอง ก็เป็นลิงที่ถือกำเนิดจากก้อนหินที่รับพลังแสงอาทิตย์แสงจันทร์นานๆ หลายหมื่นหลายแสนปี แก่กล้าเข้า กลายเป็นลิงหินเหมือนกัน
แถมเทพมหิงขสิงขรยังหน้าตาคล้ายๆ เซียนหรือนักพรตผู้สำเร็จในลัทธิเต๋าอีก อ่านแล้วนึกถึงขงเบ้งในสามก๊กด้วย เพราะ "...ดูสรรพางค์ร่างกายแก่ชรา แต่ผิวหน้านั้นละม้ายคล้ายทารก ทรงเสื้อโขมพัสตรานุ่งผ้าขาว ผมนั้นยาวย้อยสยายประปรายปรก ถือไม้เท้าเนารัตน์พัดขนนก..." พัดขนนกน่ะเป็นยี่ห้อหรือเครื่องหมายการค้าของขงเบ้งนะครับ ขงเบ้งตอนหลังไปอยู่กับเล่าปี่ กลายเป็นนักการเมืองนักการทหารไปแล้วก็จริง แต่ต้นตอดั้งเดิมนั้น ขงเบ้งนับตัวเองว่าเป็นนักปราชญ์หรือผู้ครองพรตในลัทธิเต๋า มากกว่าเป็นมหาอุปราชหรือเป็นแม่ทัพ
เพลงปี่พระอภัยเองก็มาจากเรื่องเตียวเหลียงอย่างที่คุณเทาชมพูว่า
ม้ามังกรนั่น หน้าตาเป็นกิเลนชัดเจนเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 18:14
|
|
ค่ายกลนั้นผมไม่แน่ใจว่าท่านสุนทรภู่ได้อิทธิพลมาจากไหน คนที่อ่านหนังสือเรื่องจีนแต่ก่อน หรือหนังสือจีนกำลังภายในเดี๋ยวนี้ คงทราบว่าทางจีนเล่นเรื่องทางนี้มานานมาก วิชาตั้งค่ายกลเป็นวืชาพิชัยสงครามของจีนอย่างหนึ่ง ตั้งแต่ใช้กองทัพทั้งกองใช้พื้นที่มหาศาลจนถึงใช้คนไม่กี่คน ที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็นค่ายกลอรหันต์หรือพยุหะอรหันต์ (ล้อฮั่นตึ่ง) ของวัดเสียวลิ้ม ซึ่งสามารถกักผู้กล้าหาญทั้งแผ่นดินมาได้แล้ว ยกเว้นอยู่แต่พระเอกของนิยายจีนเรื่องนั้นเท่านั้นที่จะต้องฝ่าทำลายค่ายกลอรหันต์ได้ทุกที กี่เรื่องๆ พอพระเอกจำใจบุกวัดเสียวลิ้ม ก็จะมีบทบรรยายว่าหลวงจีนตั้งค่ายกลอรหันต์อันเกรียงไกรที่สยบผู้กล้ามาแล้วมากต่อมาก แล้วพรเอกก็ทำลายได้ทุกที ไม่รู้จะตั้งไปทำไม น่าจะบรรยายว่า เป็นค่ายกลที่ถูผู้กล้าที่เป็นพระเอกแต่ละเรื่องทำลายได้แล้วมากต่อมากมากกว่า..
นอกเรื่องไปไกล กำลังจะบอกว่า แต่ตำราพิชัยสงครามไทยก็มีวิชาตั้งค่ายคูประตูหอรบครับ ไม่ใช่มีแต่ทางจีน และทางไทยตั้งชื่อพยุหะต่างๆ เป็นชื่อสัตว์ด้วย จะสิบสองราศีหรือไม่ไม่แน่ใจ มีชัยภูมิแบบต่างๆ ที่ต้องตั้งค่ายลักษณะต่างๆ และแต่ละลักษณะก็ข่มและถูกข่มโดยลักษณะอื่นๆ อย่าง ครุฑนาม นาคนาม สีหนาม... ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เรไร
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 20:21
|
|
อันที่จริงหญิงกับชายย่อมหมายรัก มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี
จากสุภาษิตสอนหญิง ของสุนทรภู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เรไร
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 20:22
|
|
ของขวัญวันสุนทรภู่
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย ใครเขาขายขวัญหรือจะซื้อขวัญ แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทน์ จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง
บทนี้ให้คุณ นกข. ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เรไร
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 20:23
|
|
บทนี้ของคุณแจ้ง
บางระมาดมาดหมายสายสวาท ว่าสมมาดเหมือนใจแล้วไม่เหมือน แสนสวาทมาดหมายมาหลายเดือน มีแต่เคลื่อนแคล้วคลาดประหลาดใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เรไร
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 20:24
|
|
และสุดท้าย ให้คุณจ้อ... คนไกลบ้านค่ะ
โอ้หนาวอื่นพอขืนอารมณ์ได้ แต่หนาวใจยากแค้นนี้แสนเข็ญ ทั้งหนาวนอนไกลนุชสุดจะเย็น ใครจะเป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เรไร
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 20:40
|
|
มาแก้คำผิด บรรทัดสุดท้ายเมื่อกี้นี้ "ใคร ปะ เป็นเหมือนหนึ่งข้าจะว่าจริง"
มีบทนี้อีกบทหนึ่งค่ะ แม่หญิงเคยคิดว่าเป็นบทเดียวกับในเรื่อง พระอภัยมณี ที่ว่า
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน....
เพราะเนื้อความคล้าย ๆ กัน แต่กลับไม่ใช่ เพราะบทข้างล่างนี้มาจาก นิราศพระประธม
แม้นเป็นได้ให้พี่นี้เป็นนก ให้ได้กกกิ่งไม้อยู่ไพรสัณฑ์ แม้นเป็นนารีผลวิมลจันทร์ ขอให้ฉันเป็นพระยาวิชาธร
แม้เป็นบัวตัวพี่เป็นแมลงภู่ ได้ชื่นชูสู่สมชมเกสร เป็นวารีพี่หวังเป็นมังกร ได้เชยช้อนชมทะเลทุกเวลา
แม้นเป็นถ้ำอำไพใคร่เป็นหงส์ จะได้ลงสิงสู่ในคูหา แม้นเนื้อเย็นเป็นเทพธิดา พี่ขออาศัยเสน่ห์เป็นเทวัญ
ขอความรู้ค่ะ ว่าสองบทนี้บทใดแต่งก่อน และทำไมจึงคล้ายกัน (แม่หญิงชอบบทหลังจากนิราศมากกว่าบทแรกค่ะ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 21:41
|
|
ตอบแม่หญิง... ของขวัญเมื่อวันวานผ่านวันนี้ ขวัญกวีศรีสุนทรอาภรณ์สมัย ขวัญประดับวรรณศิลป์แผ่นดินไทย ขอขอบจิตคิดขอบใจเรไรเอย
เมื่อนานมาแล้ว รู้สึกยังกับสักชาติที่แล้วเห็นจะได้ ผมเคยเป็นนักเขียนสมัครเล่น (ตอนนี้ไม่ได้เขียนนานแล้วครับ) เขียนเรื่องสั้นชุดหนึ่งที่ผมให้ชื่อว่า นิทานยุคนิกส์ (ตั้งแต่สมัยฟองสบู่ยังไม่แตกครับ) สมัยนั้นรถติดเป็นบ้าเลย ดูเหมือนสมัยนั้นเราจะมีรองนายกอยู่ท่านหนึ่งที่บอกว่าจะแก้ปัญหาจราจรกรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 6 เดือน หรือ 600 ปี หรืออะไรนี่แหละลืมไปแล้ว ผมก็เอามาเขียนเป็นเรื่องสั้น ล้อปัญหาจราจรกรุงเทพฯ ว่า นายกเทศมนตรีนครในนิทานนครหนึ่ง เดือดร้อนมากกับปัญหารถแน่นเต็มเมือง แก้เท่าไหร่ก็ยังแน่น จึงต้องประกาศหาผู้อาสาแก้ปัญหา แล้วก็มีคนแปลกหน้ามาอาสาจริงๆ แต่เจ้ากรรมจริงๆ ผู้ที่มาแก้ปัญหาเข้าใจผิด นึกว่าเทศบาลต้องการกำจัดรถที่มีเต็มเมือง เลยใช้วิธีเดียวกับที่เขาเคยทำมาก่อนในนิทานเรื่องอื่น ... คือเอาปี่วิเศษมาเป่าสะกดให้คนขับรถตามกันไปลงทะเลหมด... กว่าอีตานายกเทศมนตรีแกจะนึกได้ว่าคนแปลกหน้าคนนั้นบอกว่าตัวเขามาจากเมืองแฮมลินก็ช้าไปเสียแล้ว... จบเรื่อง
นิทานยุคนิกส์ ภาค 2 ชื่อเรื่อง ประชันเพลง ได้ไอเดียสืบจากเรื่องแรก ย้ายที่จากเมืองสมมติในนิทานมาเป็นจังหวัดแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกของไทย รถติดเต็มเมืองเหมือนกัน (ตอนนั้นผมคาดคะเนให้จังหวัดนั้นเจริญทางเศรษฐกิจมากเนื่องจากโครงการพัฒนาอิสเทอร์นซีบอร์ด แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่าเจริญจริงแค่ไหน) มีชายแปลกหน้าอาสามาแก้เหมือนกัน แต่รายนี้เป็นผู้ร้ายจริงๆ เป็นภุตฝรั่งที่ชอบแกล้งคน จะแกล้งเป่าปี่ให้คนขับรถไปลงทะเลหมดเพราะเห็นสนุก ไม่ใช่เข้าใจผิด คนและรถทั้งเมืองกำลังจะจมทะเลตายหมดแล้ว ก็พอดีมีเสียงปี่อีกเสียงหนึ่ง เป่าทำลายมนต์สะกดลงได้ .... เสียงปี่เสียงนั้น ดังมาจากเมืองแกลงครับ ... อัดนตรีมีคุณทุกอย่างไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์...
เป็นการเล่านิทาน บูชาคุณครูท่านสุนทรภู่เล็กๆ น้อยๆ ตามสติปัญญาของผมครับ ทั้งสองเรื่องนิตยสารฉบับหนึ่งกรุณาตีพิมพ์ให้เมื่อสักเกือบสิบปีมาแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ยามะธิดา
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 26 มิ.ย. 01, 22:41
|
|
ตามเสียงกลอน... อันไพเราะของ ท่านกวีเอก สุนทรภู่มาจนเจอ " บรรยากาศเรือนไทย " ค่ะ น่าเพลินเพลินเสียจริง กะ...บทกวี ที่มีความหมายข้างบน.. ที่ท่านผู้รักงานวรรณกรรมไทย ช่วยกัน เรียบเรียงให้อ่าน ล้วนมีความไพเราะ เข้ากับบรรยากาศวันนี้จริงๆค่ะ
ทำให้นึกไปถึงกลอนบทนี้ค่ะ
โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างหรืออย่างพลอด นางสาวสาวเขาจะกอดได้ที่ไหน แต่น้องมีพี่ป้าที่อาลัย ท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง
นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอด หนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง ไม่เรียนเป็นเช่นนกแก้วแล้วจริงจริง จะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดีนว
นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วง จะโรยรวงรกเลี้ยวแห้งเหี่ยวหาย ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกาย อย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ลึกซึ้ง
เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรช ถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงส์ ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|