เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
อ่าน: 5086 ครู นักเรียน และการศึกษาในชนบทห่างไกล
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


 เมื่อ 16 ม.ค. 16, 19:12

ภาพหนึ่งที่ฝังอยู่ในตัวผมมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งผมถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติทุกครั้งโดยไม่รู้สึกเคอะเขินใดๆเลย ก็คือการแสดงการเคารพตอบต่อการแสดงความเคารพที่เขาแสดงต่อเรา และการแสดงความเคารพต่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว   

ผมได้เรื่องนี้มาจากคุณพ่อของผมที่จะต้องถอดหมวกแนบหน้าอกทุกครั้งที่เดินทางผ่านขบวนแห่ศพของชาวบ้าน (ไปเผาในป่าเหี้ยว_ฌาปนสถาน/สุสาน) และทุกครั้งที่เด็กยืนแสดงความเคารพอยู่ข้างทางที่รถผ่านไป 

เป็นเรื่องของการให้เกียรติต่อกันและกัน โดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องเห็นหรือไม่ 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 16 ม.ค. 16, 19:38

เมื่อตนเองทำงานในวิชาชีพที่ต้องเดินทางและคลุกคลีอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากเมืองมากๆ   ก็ได้สัมผัสโดยตรงกับภาพของเด็กนักเรียนที่ต้องใส่ชุดนักเรียนแบบกะรุ่งกะริ่ง ที่เสื้อขาวมีสีใกล้จะเป็นสีน้ำตาลและชุดลูกเสือ ไม่ต้องพูดถึงรองเท้าที่ใส้แบบมีนิ้วโผล่หรือไม่ก็เท้าเปล่าเลยทีเดียว     

ภาพดังกล่าวนี้พบเห็นได้ทั้งในบริเวณหมู่บ้าน และตามเส้นทางถนนสายรองระหว่างจังหวัด และสายที่เชื่อมระหว่างตำบลและหมู่บ้าน   ซึ่งบ่อยครั้งมากที่จะเห็นเด็กไม่น้อยกว่าสามสี่คนเดินเป็นแถวเรียงตามกันอยู่ข้างถนน และก็มักจะเห็นครูผู้หญิงเดินนำเป็นหัวแถว  ซึ่งครูก็แต่งชุดสีกากี  ก็ดูไม่ออกครับ ว่าเป็นชุดลูกเสือหรือชุดข้าราชการ

ถนนที่กล่าวถึงนี้  ในสมัยก่อนนั้นเป็นถนนลูกรัง รถวิ่งกันฝุ่นคลุ้งตลบอบอวนไปหมด  และรถก็จำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็วมากพอเพื่อที่จะให้ล้อลอยแตะอยู่บนยอดคลื่นของหินที่ถมถนน (ซึ่งจะทำให้ลดแรงกระแทกในรถ นั่งสบายขึ้น)   ยิ่งวิ่งด้วยเร็ว ฝุ่นก็ยิ่งเกิดมากและหนาแน่นไปหมด รวมทั้งเศษหินก้อนเล็กๆอีกด้วย     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 16 ม.ค. 16, 19:58

ฝุ่นนั้นก็มากมาย ขนาดเรานั่งอยู่ในรถผมเผ้าก็ยังเป็นสังกะตัง ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลโดยไม่ต้องย้อมด้วยยาย้อมผมดังที่นิยมกันในปัจจุบัน

ภาพที่ทำให้ใจหดหู่ก็คือ เด็กๆและคุณครูจะต้องหยุดยืนมองรถและแสดงความเคารพ คือแทนที่จะหันหน้าออกไปจากถนนเพื่อหลบฝุ่น  สะเทือนใจครับ สุดจะบรรยาย

มาเข้าใจในเวลาต่อมาไม่นานว่า ก็เพราะเราใช้รถแลนด์โรเวอร์นั่นเอง   รถนี้มีแต่ส่วนราชการใช้ และหน่วยที่ใช้มากที่สุดก็มีไม่กี่หน่วยหรอกครับ แถมยังไม่ใช่ส่วนราชการท้องถิ่นอีกต่างหาก     ฝ่ายครูและนักเรียนถูกระบบกำกับว่า พวกใช้รถนี้เป็นพวกนายเท่านั้น แสดงความเคารพไว้ก่อน ไม่เสียหายอะไร ดีกว่าถูกตำหนิในภายหลัง
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 16 ม.ค. 16, 20:18

ด้วยรู้สำนึกแต่นั้นมา ผมไม่เคยไม่แสดงตอบต่อการเคารพของเด็กๆในชนบทอีกเลย   

แล้วก็เริ่มให้ความสนใจและพยายามที่จะเข้าไปเคาะประตูและเปิดม่าน (break barrier) เข้าไปเพื่อวิสาสะกับคุณครูที่อยู่ในท้องถิ่นห่างไกลทั้งหลาย    ได้ผลสำเร็จบ้างไม่ได้บ้าง    แต่ส่วนใหญ่จะไม่สำเร็จ เพราะครูก็จะพยายามไม่เปิดประตูรับ ก็เข้าใจหรอกนะครับว่า เราเป็นใครก็ไม่รู้ จะมาหรอกอะไรกันบ้าง ไม่รู้จักหัวนอนปลายตีน แถมไม่รู้หรือไม่เข้าใจสิ่งที่เราคิด และการกระทำของเราซึ่งผิดแผกไปจากประเพณีปฏิบัติหรือวัฒนธรรมองค์กรของเขา   
บันทึกการเข้า
Jalito
องคต
*****
ตอบ: 478


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 16 ม.ค. 16, 22:23

ย้ายจากห้องห้วย ตามมาเข้าห้องนี้อีก
หัวข้อกระทู้น่าสนใจครับ
อาจารย์naitangเล่าเรื่องวิชาการ ออกมาเป็นเรืองเล่าที่มีมิติทั้งด้านกว้างและด้านลึก
จึงได้ทั้งความรู้และเห็นภาพไปด้วยในขณะเดียวกัน
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 17 ม.ค. 16, 19:54

ขอบคุณครับ

ผมนำเอาเรื่องที่พบปะมาในชีวิตจริงๆมาเล่าสู่กันฟัง   ก็คิดว่าอย่างน้อยหากผู้ใดจะเก็บเอาไปโม้ ไปฝัน หรือไปมโนใดๆต่อไป ก็ยังพอจะตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงอยู่บ้างครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 17 ม.ค. 16, 20:29

นำไปดูทางด้านลักษณะและสภาพทางกายภาพนะครับ

โรงเรียนที่จัดตั้งขึ้นในท้องถิ่นชนบทห่างไกลทั้งหลายนั้น ส่วนราชการเขาก็จะต้องพิจารณาแล้วว่า จะสร้าง ณ จุดตรงใหนจึงจะดีที่สุด บรรลุวัตถุประสงค์ได้สูงสุด    ในสมัยก่อนนั้นเขาคงไม่คิดตั้งโรงเรียนบนฐานความคิดแบบว่า หนึ่งหมู่บ้าน(หรือหนึ่งตำบล)หนึ่งโรงเรียน  แต่อย่างน้อยก็น่าจะต้องมีการกระจายให้ได้เพื่อสนองต่อชุมชนในแถบถิ่นนั้นๆ
   
โดยลักษณะของการแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งใช้การพิจารณาจำนวนของประชากร และใช้การแบ่งเขตอำนาจทางการปกครองด้วยตัวลำห้วยหรือสันเขาเป็นเส้นกำหนดเขต  เหล่านี้ยังผลให้เกิดการซอยชุมชนหรือหมู่บ้านแยกกันออกไปสังกัดอยู่ในเขตการปกครองที่ต่างกัน 

ผลที่เกิดตามมาประการหนึ่งก็คือ ที่ตั้งของโรงเรียนจึงอาจจะอยู่ใกล้ชุมชนหนึ่งแต่อยู่ห่างจากอีกชุมชนหนึ่ง  แถมที่ว่างที่จะก่อสร้างโรงเรียนนั้นก็จะอยู่ห่างจากพื้นที่ๆชุมชนเขาอาศัยรวมกันอยู่     เกิดสภาพโรงเรียนตั้งอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน         
บันทึกการเข้า
unicorn9u
มัจฉานุ
**
ตอบ: 65


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 18 ม.ค. 16, 10:20

มาลงชื่อว่าติดตามอ่านอยู่นะครับ ทั้งห้วยขาแข้งและกระทู้นี่
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 18 ม.ค. 16, 11:41

ถนนที่กล่าวถึงนี้  ในสมัยก่อนนั้นเป็นถนนลูกรัง รถวิ่งกันฝุ่นคลุ้งตลบอบอวนไปหมด  และรถก็จำเป็นต้องวิ่งด้วยความเร็วมากพอเพื่อที่จะให้ล้อลอยแตะอยู่บนยอดคลื่นของหินที่ถมถนน (ซึ่งจะทำให้ลดแรงกระแทกในรถ นั่งสบายขึ้น)   ยิ่งวิ่งด้วยเร็ว ฝุ่นก็ยิ่งเกิดมากและหนาแน่นไปหมด รวมทั้งเศษหินก้อนเล็กๆอีกด้วย      

ฝุ่นนั้นก็มากมาย ขนาดเรานั่งอยู่ในรถผมเผ้าก็ยังเป็นสังกะตัง ถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลโดยไม่ต้องย้อมด้วยยาย้อมผมดังที่นิยมกันในปัจจุบัน

เมื่อ ๓๐ ปีก่อนสมัยยังเรียนอยู่เคยไปออกค่ายของคณะฯกับหน่วยงาน ร.พ.ช. แถวภาคอีสาน ท่านจัดรถบรรทุกใหญ่ให้คันหนึ่ง เหล่าบรรดาชาวค่ายทั้งหลายเมื่อต้องออกไปทำกิจกรรมก็ต้องนั่งในส่วนท้ายรถบรรทุกนี้แหละ ดีหน่อยที่มีผ้าใบคลุมด้านข้าง เว้นไว้ที่ส่วนท้ายพอให้หายใจได้ รถวิ่งไปได้ไม่เท่าไรทุกคนถูกย้อมด้วยฝุ่นลูกรังเหมือนอย่างที่คุณตั้งบรรยายทุกประการ แต่ด้วยวัยขณะนั้นทุกคนไม่มีความรู้สึกทุกข์ร้อนกลับสนุกสนานกันเสียอีก

ไม่นานมานี้ได้เดินทางเข้าไปในหมู่บ้านแถวอีสาน ถนนหนทางแปรสภาพเป็นถนนคอนกรีตอย่างดี ไม่เห็นถนนลูกรังอย่างอดีต หรือเขาจะพาหลบเลี่ยงถนนลูกรังก็ไม่ทราบ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 18 ม.ค. 16, 19:42

เรื่องของฝุ่นที่เกิดมาจากการกระทำของคนนี้    เราท่านทั้งหลาย รวมทั้งวิศวกรที่กำกับงานก่อสร้างและบุคลากรในงานสาธารณสุขอาจจะไม่เคยได้คำนึงถึงเลยว่า มันทำให้เกิดโรคภัยชนิดหนึ่งที่เรียกกันสั้นๆว่า Silicosis   ซึ่งในภาพง่ายๆก็คือ เราหายใจเข้าไปพร้อมฝุ่นที่ประกอบไปผงฝุ่น (particle) ที่มีขนาดเม็ดใหญ่กว่าของฝุ่นที่เกิดเองตามธรรมชาติ   ผงฝุ่นที่หายใจเข้าไปในปอดนี้มันเป็นพวกสารและสารประกอบซิลิกา(Silica_SiO2 & silicate minerals)เหล่านั้น มันก็จะถูกจับด้วยเมือกให้อยู่ในปอดของเรา ไปอุดตันโพรงอากาศของปอด ความสามารถในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนน้อยลง   ง่ายๆก็คือปอดตัน   ผลก็เป็นอย่างที่พอจะเดาได้และพอรู้ๆกันอยู่ ก็คือหายใจได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่าย หมดแรง   อาการของโรคนี้จะค่อยๆเกิดก็ได้ (หลายปี) หรือจะเกิดอย่างรวดเร็วก็ได้ (หลายเดือน) 

ผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้ชายชาวบ้านตามปรกติจะมีผ้าขะม้าคาดเอว ใช้สารพัดตั้งแต่เป็นผ้าเช็ดตัว โพกหัวกันแดด ปูนอน ทำเปล ปิดจมูกกันฝุ่น ...ฯลฯ    แต่เด็กและครูผู้หญิงที่เดินอยู่ข้างถนนไม่มีอะไรเลย   แถมทั้งครูผู้ชาย ครูผู้หญิง และเด็กนั้น หากจะใช้ผ้าขะม้า(อย่างผู้ใหญ่ชายที่กล่าวมา)ก็คงเป็นเรื่องที่มิใช่มิใช่หรือ ก็อยู่ในชุดนักเรียนและชุดข้าราชการนี่...

วิชาชีพของผมที่เรียนมา ได้มีการผนวกเรื่องทางสาธารณสุขและโรคภัยต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ที่เกี่ยวเนื่องกับกิจกรรมและการกระทำที่จะเกิดต่อเนื่องต่อไปจากผลของงานที่เราได้สำรวจพบมา       
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 18 ม.ค. 16, 20:38

ต่อเรื่องโรงเรียนนะครับ

ความเป็นโรงเรียนที่มีชีวิตนั้น มันจะต้องประกอบด้วยการมีนักเรียน มีครู และมีการสอน     

...ในพื้นที่จริงๆนั้น พอจะเดาได้ใหมครับว่า หมู่บ้านหนึ่งๆนั้นจะมีเด็กในวัยทึ่ควรจะต้องได้รับการศึกษามากน้อยเพียงใด และเด็กเหล่านั้นเขาจะมีอายุเท่าๆกัน หรือไล่เรียงกัน หรือห่างกันอย่างไร 

ลองดูสภาพในปัจจุบันนะครับ ในหนึ่งหมู่บ้านประมาณ 100 หลังคาเรือน มีชาวบ้านประมาณ 500 คน จะมีเด็กในรุ่นอายุใกล้ๆกันอยู่เพียงประมาณ 25 คน     ก็เอาเป็นว่า ใน 1 หมู่บ้านจะมีเด็กเล็กประมาณ 25 คนที่มีอายุแก่อ่อนกว่ากันไม่มากนักเกินกว่าที่จะเรียนร่วมกันได้   ซึ่งก็คือ 1 ห้องเรียน    2 หมู่บ้านก็จะมี 50 คน ก็จะเป็น 1 หรือ 2 ห้องเรียน ....   

เมื่อเป็นลักษณะการณ์ดังกล่าวนี้ เราก็จะต้องมีโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้นที่สามารถรองรับการเรียนต่อของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น (ก็ด้วยต้องใช้ครูที่มีความสามารถในทางวิชาการหลากหลายสาขา)     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 18 ม.ค. 16, 21:01

ครับ  ก็เลยทำให้เราได้เห็นภาพของโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นโรงเรือนคร่อมพื้นดิน ใช้เสาไม้จริงหรือเสาไม้ไผ่มุงหลังคาด้วยหญ้าคา ไม่มีผนังอาคาร จะแบ่งออกเป็นสองส่วนพื้นที่(สองห้อง) คั่นด้วยกระดานดำ แต่ละห้องจะมีม้านั่งยาวเป็ยนแถวๆ สำหรับเด็ก 2-4 คนนั่งบนแต่ละม้านั่ง อาจจะมีหรือไม่มีโต๊ะเขียนหนังสือ     

ก็เป็นภาพของโรงเรียนแห่งแรกของชีวิตนักเรียนชาวบ้านป่า ครูที่มาสอนก็มีทั้งครูที่เดินมาสอนตามตารางเวลาประจำสัปดาห์ หรือครูที่เป็น ตชด. 

เด็กจากโรงเรียนลักษณะที่กล่าวมานี้ หากจะเรียนต่อก็จะต้องตื่นแต่เช่้าเพื่อเดินไปเรียนรวม ณ อีกโรงเรียนหนึ่ง ซึ่งเป็นอาคารที่ใช้ไม้จริง มีผนังอาคาร มีสนามเล็กๆและมีเสาธงหน้าโรงเรียน    ผมคิดว่าน่าจะเป็นโรงเรียนสำหรับระดับหมู่บ้านขนาดใหญ่
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 19 ม.ค. 16, 20:16

เด็กที่มาเรียนอยู่ในห้องเรียนของโรงเรียนหลังคาจากผนังโปร่งนี้ มีผสมผสานกันระหว่างเด็กตัวเล็ก เด็กตัวโตๆ บางทีก็มีแม่เฒ่ามานั่งเรียนอยู่ด้วย   จะว่าไม่เคยเห็นพ่อเฒ่ามาเรียนเลยก็น่าจะได้อยู่ครับ

เด็กนักเรียนทั้งหลายไม่แต่งชุดนักเรียน แถมมาด้วยเท้าเปล่าอีกต่างหาก คนที่แต่งชุดนักเรียนก็คงจะเป็นชุดลูกเสือของพี่ชายนั่นเอง กระดุมแทบจะไม่มีเหลือติดสาบเสื้อเลยสักเม็ด  หน้าตาเด็กอาจจะดูมอมแมมไปสักนิด แต่ก็เป็นความสะอาดแบบชาวบ้านป่านะครับ

เรื่องหนังสือเรียน หรือกระดาษนั้น ไม่ต้องกล่าวถึง  กระทั่งชอร์คที่ครูใช้เขียนกระดานนั้น ก็สั้นจุ๊ดจู๋เต็มทน

เท่าที่เห็นมา ครูทุกคนจะถือไม้เรียว แต่มิใช่ใช้เพื่อกำราบเด็กนักเรียนนะครับ  ใช้ตีโต๊ะเพื่อให้จังหวะสำหรับเด็กท่องอักขระต่างๆ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 20 ม.ค. 16, 19:04

ก็คงจะพอเห็นสภาพทั่วๆไปกันบ้างแล้วนะครับ

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องส่วนที่เป็นชีวิตของคุณครู

โดยหน้าที่ คุณครูจะต้องสอนให้เด็กอ่านออกเขียนได้  รู้จักความเป็นคนดี   รู้จักวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม   รู้จักในเรื่องสุขอนามัยของตนเองและส่วนรวม     ก็ลองพิจารณาดูเองนะครับว่า  เรื่องเหล่านี้ต้องการอุปกรณ์ประกอบการสอนเช่นใดบ้าง   

     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 20 ม.ค. 16, 19:22

สำหรับโรงเรียนแบบหลังคาจากผาโปร่งนั้น ผมเคยเห็นครูสะพายย่ามขนหนังสือที่เด็กจะใช้เรียนสำหรับวันนั้น สอนเสร็จก็ขนกลับไปใช้สอนอีกที่หนึ่ง

น่าภูมิใจนะครับ ที่ครูเหล่านี้มีความรับผิดชอบสูงมาก  รู้ว่าหน้าที่ของตนมีอย่างไรก็พยายามทำให้สัมฤทธิ์ผล  เราจึงเห็นเด็กบ้านป่ามีความเรียบร้อย รู้จักกาลเทศะพอสมควรแก่เหตุ มีสุขอนามัยพอได้  พอจะอ่านออกเขียนได้และพอจะสื่อสารผ่านทางหนังสือได้

ด้วยความน่ารักของความเป็นผ้าขาวพับไว้ ครูก็อดไม่ได้ที่จะต้องมีรางวัลให้กับเด็กบ้าง ก็จึงไม่แปลกนักที่จะเห็นครูใช้เงินของตนเองซื้อลูกอมบ้าง แปรงสีฟันบ้าง ยาสีฟันบ้าง ดินสอ ยางลบ (ก็ใช้ทั้งสอน และแจก) ฯลฯ     
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.049 วินาที กับ 19 คำสั่ง