พระธรรมศาสตร์ ตามตำนาน เชื่อว่า ตำรานี้เป็นตำรากฎหมายฉบับแรกๆของโลก ผู้แต่งไม่ทราบแต่ในว่ากันว่า ผู้แต่งชื่อพระมนู บางตำราจึงเรียกชื่อคัมภีร์นี้ว่า พระมนูธรรมศาสตร์ ครับ
สมัยผมเรียนกฎหมาย อ.ธงทอง จันทรางศุ เล่าเรื่องพระมนูให้ฟังว่า เดิมท่านเป็นอำมาตย์มีหน้าที่ตัดสินคดีความ มีคดีเรื่องเจ้าของไร่แตง สองไร่อยู่ในที่ดินติดกัน โดยธรรมชาติของเถาแตง ย่อมเลื้อยไปตามพื้น ที่กลายเป็นเรื่องเพราะเถาแตงจากไร่นาย A เลื้อยเข้าไปในเขตไร่ของนาย B แล้วไปออกผลแตงที่นั่น นาย B ก็ยึดถือเอาว่า แตงเกิดในที่ของตน ก็ย่อมเป็นแตงของตน นาย A ไม่ยอม ก็ไปขอให้พระมนูตัดสิน พระมนูก็ให้ไล่สายกลับไปจนพบว่า แตงผลนี้เกิดขึ้นจากต้นแตงในไร่ของนาย A แตงควรเป็นของนาย A แต่พอเปิดกฎหมายดู กฎหมายกลับบัญญัติว่าให้เป็นของนาย B พระมนูรู้สึกว่า กฎหมายที่ใช้อยู่ในสมัยนั้น วิปริตผิดเพิ้ยนไปหมด จึงรู้สึกท้อใจแล้วลาออกจากราชการ ท่านเดินทางไปจนสุดขอบจักรวาล แล้วได้ไปเป็นจารึกข้อกฎหมายอยู่ ณ กำแพงจักรวาลนั้น พระมนูเห็นว่า กฎหมายในจารึกนี้เป็นธรรมนัก จึงคัดลอกแล้วนำกลับมาใช้ในบ้านเมืองของท่าน ตำรากฎหมายนั้น จึงได้ชื่อว่า พระมนูธรรมศาสตร์
ในเมืองไทย เป็นชื่อคัมภีร์กฎหมายที่ว่ากันว่า ไทยเรารับเอามาจากชนชาติมอญ ซึ่งมอญก็รับเอามาจากอินเดียอีกทีหนึ่งครับสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงกล่าวไว้ในพระนิพนธ์ ของพระองค์เกี่ยวกับพระธรรมศาสตร์ว่า
“ข้าพเจ้าได้สดับเรื่องราวเล่ามาจากรามัญประเทศว่า เดิม มอญ ได้มาเป็นภาษาสันสกฤษมีพระภิกษุรูปหนึ่งแปลออกเป็นภาษามคธ ที่เมืองรามัญ(แล้วจึงมีผู้แปลออกเป็นภาษารามัญอีกทีหนึ่ง) ข้าพเจ้าได้ให้สืบหาหนังสือพระธรรมศาสตร์รามัญเพิ่งได้มาไม่ช้านัก เป็นหนังสือน้อยกว่าพระธรรมศาสตร์อินเดียโดยมาก มีภาษามคธชื่อเก่า พระยาโหราธิบดี (แหยม วัชรโชติ) เป็น มอญ บ้านบางตลาด ปากเกร็ด นนทบุรี มาติกากฏหมายนอกนั้น เป็นภาษารามัญได้วานพระยาโหราฯ แต่ยังเป็นหลวงโลกทีป ซึ่งเป็นผู้รู้ภาษารามัญ ตรงกับพระธรรมศาสตร์มัธยมประเทศ และตำนานที่กล่าวในพระธรรมศาสตร์รามัญ ถึงเรื่องพระมหาสมมติ ตรงกับในพระธรรมศาสตร์ของไทย แต่นอกจากนั้นไปคนละทางหมด”
(ที่มา :
http://www.openbase.in.th/node/10080)
คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ได้รับการนำมาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยคดีความต่างๆ ในฐานะความยุติธรรมดั้งเดิม แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ ก็อาจจะมีบทบัญญัติบางอย่างที่พระธรรมศาสตร์ไม่ได้เขียนไว้ ถ้ามีคดีความเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่มีเขียนไว้ พระมหากษัตริย์ก็จะทรงวางหลักเกณฑ์ต่างๆขึ้นใช้บังคับแทน หรือบางทีก็ไม่ได้ทรวงวางหลักเกณฑ์เป็นการทั่วไป แต่ได้ทรงวินิจฉัยคดีความ เรื่องใดเรื่องหนึ่งไว้เป็นการเฉพาะ แล้วคำวินิจฉัยนั้นมีเหตุผลที่ดี จนได้รับการหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ปฏิบัติกันสืบต่อมา ฉะนั้น บรรดากฎหมาย คำสั่ง ข้อบังคับ พระอัยการ ฯลฯ ที่พระมหากษัตริย์ทรงบัญญัติขึ้นเช่นนี้ จะได้รับการรวบรวมไว้ในคัมภีร์อีกเล่มหนึ่ง เรียกว่า “พระราชศาสตร์” ครับ