naitang
|
ความคิดเห็นที่ 690 เมื่อ 29 มี.ค. 16, 19:40
|
|
ด้วยเหตุใดจึงมีความเชื่อกันว่าน้ำผึ้งเดือน 5 เป็นน้ำผิ้งที่ดีที่สุด
ลองนั่งนึกดูว่ามีเหตุผลใดกันบ้างนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 691 เมื่อ 30 มี.ค. 16, 18:20
|
|
คำอธิบาย
เดือน 5 ตามเดือนสากล คือ เดือนพฤษภาคม เดือน 5 ตามเดือนไทย คือ ประมาณเดือนเมษายน เดือนเมษายนของทุกปีจะเป็นชวงที่มีอากาศร้อนและแห้ง ไม่มีฝนตก (แม้ในพื้นที่ภาคเหนือลงมาถึงภาคกลางตอนบนจะเป็นเดือนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองอยู่บ้างก็ตาม) เป็นเดือนที่ต้นไม้หลากหลายชนิดก็เกือบจะไม่มีการออกดอกเลย การเก็บน้ำผึ้งในช่วงประมาณเดือนนี้จึงได้น้ำผึ้งที่มีการสะสมมาแล้วตลอดทั้งปี ที่สำคัญก็คือเป็นน้ำผึ้งในเดือนที่ไม่มีน้ำ(ฝน)มาปนเปื้อนเลย จึงเรียกได้ว่าได้น้ำผึ้งบริสุทธิ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 692 เมื่อ 30 มี.ค. 16, 18:56
|
|
ผึ้งรวงใหญ่ๆหรือผึ้งหลวงที่พบในป่านั้น มักจะติดห้อยอยู่กับกิ่งก้านของต้นยางซึ่งสูงมาก การจะปีนขึ้นไปเก็บน้ำผึ้งนั้นจะต้องใช้ทอยดังที่กล่าวมาแล้ว
ในการปีนขึ้นไปเอารวงผึ้งจริงๆนั้น ผู้ปีนจะต้องทำการประมูลลูกทอย การประมูลลูกทอยก็คือ การประเมินว่าจะต้องใช้ไม้ทำลูกทอยจำนวนเท่าใด ซึ่งก็จะต้องไปตัดไม้เป็นท่อนๆ(ยาวประมาณ 30+/- ซม.)เท่ากับจำนวนที่ประเมินไว้ ทำการเสี้ยมปลายข้างหนึ่งให้แหลม แล้วใส่ย่ามสะพายข้างเตรียมให้พร้อม
รอจนคืนที่มืดพอเห็นได้รำไร รวมทั้งเป็นคืนที่ลมสงบอีกด้วย ก็เริ่มต้นด้วยการก่อไฟใต้ต้นไม้ ทำการรมควันเพื่อไล่ผึ้งให้ออกจากรัง จากนั้นก็จะลงมือปีนต้นไม้ ค่อยๆตีลูกทอยขึ้นไปทีละอัน จนไปถึงจุดที่สามารถเก็บเกี่ยวรวงผึ้งได้
เหตุที่ต้องเป็นคืนที่มืดก็เพราะ ผึ้งมันมองไม่เห็น มันก็ได้แต่บินชนเราเท่านั้น แม้จะใช้ไฟฉาย มันก็จะเห็นเฉพาะส่วนที่เป็นแสงไฟสว่างเท่านั้น ส่วนไอ้ที่มันจะต่อยเรานั้น ก็เพราะเราเอามือไปปัดมันหรือตบมันเข้านั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 693 เมื่อ 30 มี.ค. 16, 19:18
|
|
การสุมไฟที่ต้องการควันไฟมากๆนั้น ทุกท่านคงทำได้นะครับ เป็นหนึ่งในความรู้พื้นฐานของลูกเสือ
สำหรับเรื่องของลูกทอยนั้น มันมีทั้งวิทยาศาสตร์และความเชื่อทางจิตวิญญาณปนกัน คนที่ประมูลถูกต้องนั้น เราจะเห็นลูกทอยถูกตีติดต้นไม้ที่ระยะห่างเท่าๆกัน เป็นทิวตั้งแต่โคนต้นไปจนถึงจุดที่มีรวงผึ้ง ก็มีเยอะที่ประมูลผิด ปักขึ้นไปไม่ถึงจุดที่สามารถจะเก็บรังผึ้งได้ มีทั้งแบบยังห่างไกลและทั้งแบบใกล้เต็มที อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยเห็นแบบที่มีลูกทอยเหลือคงค้างมากเกินไป
ลูกทอยพวกนี้ ชาวบ้านเขาจะไม่ถอดออกมา จะปล่อยใว้ให้คาอยู่กับต่นไม้นั้นๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 694 เมื่อ 30 มี.ค. 16, 20:28
|
|
ความเชื่อประการหนึ่งก็คือว่า หากประมูลลูกทอยผิด (ซึ่งส่วนมากจะเป็นในลักษณะขาด) ก็แสดงว่า เจ้าที่เขายังไม่ให้ ค่อยมาเอาในอีกปีหนึ่ง ส่วนคนอื่นที่จะแอบมาต่อยอดก็ไม่ค่อยจะกล้า เพราะว่าการตอกลูกทอยนั้น แต่ละคนที่ตอกก็ลงน้ำหนักไม่เหมือนกัน คือก็จะตอกให้แน่นมากเพียงพอที่จะรับน้ำหนักตนเองได้เท่านั้น คนที่จะมาต่อยอดจึงไม่รู้ว่าลูกทอยนั้นจะรับน้ำหนักของตนได้หรือไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 695 เมื่อ 31 มี.ค. 16, 19:10
|
|
ผมเคยเห็นมหกรรมทำน้ำผึ้งป่าของหมู่บ้านกะเหรี่ยงในเขตพม่า ในพื้นที่ปากนกแก้วระหว่าง บ.วาเลย์ อ.แม่สอด กับ บ.กล้อทอ อ.อุ้มผาง (อ่านว่า บ.กะล้อทอ) มีทั้งกระทะใบบัวต้มน้ำไอน้ำฉุย มีรวงผึ้งวางกองอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ มีตะแกรงสานด้วยไม้ไผ่เป็นทรงตะกร้าใช้หีบน้ำผึ้ง และมีกระบอกไม้ไผ่วางตั้งเรียงกันอยู่ ผู้คนก็กำลังชุลมุนช่วยกันทำงาน ผมไม่มีโอกาสได้เห็นกระบวนการทำทั้งหมด ด้วยกำลังประสานงานเกี่ยวกับเรื่องทาง security อย่างไรก็ตาม ก็ทำให้ได้นึกถึงเรื่องของน้ำผึ้งป่าเดือน 5 ที่มาจากพื้นที่ย่านนั้นว่า
อืม์.. น้ำผึ้งป่าเดือน 5 ของแท้ที่น่าจะมีสีเข้ม มีเศษชิ้นส่วนบางอย่างปนอยู่บ้าง และมีความเข้มข้นสูงนั้น แท้จริงแล้ว ที่เราได้เห็นน้ำผึ้งเดือน 5 ใสสะอาดที่เอามาเร่ขายกันนั้น มันก็อาจจะผ่านขั้นตอนการใช้ไอน้ำร้อนเพื่อรีดเอาน้ำผึ้งออกมาจากรวงให้หมด จากนั้นก็เคี่ยวเพื่อไล่น้ำออกไปจนมีความเหนียวข้นพอดี แล้วก็กรอกใส่ขวดเอามาเร่ขายกัน
น้ำผึ้งที่ผ่านความร้อนมาแล้ว น่าจะเป็นน้ำผึ้งที่เกือบจะไม่มีสารอาหารที่มีคุณค่าหลงเหลืออยู่นัก ด้วยคงจะถูกทำลายไปจนเกือบหมดแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 696 เมื่อ 31 มี.ค. 16, 19:18
|
|
เมื่อยังเป็นเด็กอยู่ ตจว. เคยเห็นการเอาน้ำผึ้งมาทำเป็นท๊อบฟี่อยู่ครั้งหนึ่ง ดูง่ายมาก ก็เอาน้ำผึ้งมาเคี่ยวให้เหนียวพอดี แล้วก็ใช้ช้อนตักหยอดลงในน้ำเย็น มันก็จะเป็นก้อนๆ เอามาอมเป็นท๊อบฟี่กัน
ก็เคยกินอยู่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยลองทำเองด้วย ก็เลยไม่รู้ว่ากรรมวิธีที่เล่ามานี้ถูกต้องหรือไม่นะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 697 เมื่อ 31 มี.ค. 16, 19:35
|
|
่ทำให้นึกถึงของอร่อยและหากินยาก ..น้ำตาลอ้อยก้นกระทะที่ใส่มะพร้าวขูด.. ควักออกมาจากก้นกระทะที่ใช้เคี่ยวน้ำอ้อย นั่งกินอยู่ในพื้นที่ที่ทำการหีบอ้อยและเคี่ยวน้ำอ้อยนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 698 เมื่อ 01 เม.ย. 16, 19:23
|
|
ในปัจจุบัน ภาพการหีบอ้อยของชาวบ้านและการเคี่ยวน้ำตาลอ้อยในไร่อ้อยคงจะเหลือให้เห็นน้อยมากๆ หรือไม่มีอีกแล้วก็ได้ ที่คิดว่าคงจะเหลือน้อยมากๆนั้นก็เพราะยังพอจะเห็นชาวบ้านหาบงบน้ำอ้อยขายอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเห็นผู้เฒ่าแก่ๆนั่งขายอยู่ข้างถนน ซึ่งผมจะซื้อเกือบจะทุกครั้งที่เห็น ช่วยเขาครับ เขาพยายามดิ้นรนช่วยตัวเอง พยายามทำมาหากินด้วยความสุจริต 10 บาท 20 บาท ของเขามีค่ามากกว่าของเรามากมายนัก แม้กระทั่งตัวน้ำอ้อยที่ทำเป็นงบน้ำอ้อยเอามาขายเรานั้น ในความคิดของเขามันก็เป็นของมีคุณค่า ในขณะที่เราอาจจะไม่เห็นคุณค่าของมันเลย
ในสมัยก่อนนั้น ในย่ามของชาวบ้านที่มีธุระต้องเดินทางเป็นระยะทางไกล จะต้องมีงบน้ำอ้อยติดอยู่เสมอ ชาวบ้านเขาใช้ในลักษณะเป็นของกินเพื่อฟื้นความสดชื่น (refreshment) และกระตุ้นให้กำลังเมื่อมีอาการอิดโรยมากๆ ครับ...มันก็เป็น energy จากน้ำตาลธรรมชาตินั่นเอง นี่ก็คือความมีค่าของมันในสายตาชาวบ้าน
แล้วในมุมของเราละครับ เราใช้น้ำตาลในการชงกาแฟ ใช้ในการทำอาหารคาวหวานต่างๆ แล้วเราก็พยายามจะเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายขาวและเลี่ยงการใช้น้ำตาลปี๊บ หันไปใช้น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลตะโหนด ก็จะไม่ลองหันไปใช้น้ำตาลอ้อยดูบ้างหรือไร แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังบรรดาสารเคมีอันตรายที่ชาวบ้านอาจใส่เข้าไปในกระบวนการทำด้วย ซื้อในตลาด ตจว. หรือตลาดชาวบ้านก็คงพอจะลดความเสี่ยงได้มากโขอยู่ จะให้ปลอดภัยที่สุดก็คงต้องไปนั่งดูเขาทำกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 699 เมื่อ 01 เม.ย. 16, 19:41
|
|
ผมสนับสนุนให้มีกิจกรรมการเที่ยวชมการหีบน้ำอ้อยและการเคี่ยวน้ำตาลของชาวบ้านครับ เป็นกิจกรรมในช่วงเดือนที่มีอากาศเย็น ช่วงเช้ามืดช่วงประมาณตี 5 หรือ 6 โมงเช้า
เราจะเห็นลานวงกลม มีวัวเดินวนไปรอบๆเพื่อหมุนนลูกหีบซึ่งทำมาจากท่อนไม้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30-40 ซม. (ตอนนี้เห็นขายอยู่ตามร้านขายของเก่าเต็มไปหมด) แล้วก็เห็นการเคี่ยวน้ำอ้อยในกระทะใบบัว นั่งผิงไฟ คุยกัน ดูกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเวลาฟ้ากำลังเริ่มสางและดวงอาทิตย์กำลังให้สว่างรำไร แล้วก็รอน้ำตาลอ้อยก้นกระทะ พองวดได้ที่ดีก็เอามะพร้าวห้าว จะขูดหรือหั่นเป็นเว่นเป็นชิ้นบางๆก็ได้ โยนใส่เข้าไปแล้วกวนให้เข้ากัน คะเนดูว่ามะพร้าวผสมผสานกับน้ำตาลกันได้ดีแล้ว ก็ตักออกมาหยอดบนใบตองกล้วยหรือใบตองตึงก็ได้ ของอร่อยเลยครับ หายง่วงแถมด้วยความสดชื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 700 เมื่อ 02 เม.ย. 16, 11:03
|
|
ในปัจจุบัน ภาพการหีบอ้อยของชาวบ้านและการเคี่ยวน้ำตาลอ้อยในไร่อ้อยคงจะเหลือให้เห็นน้อยมากๆ หรือไม่มีอีกแล้วก็ได้ ที่คิดว่าคงจะเหลือน้อยมากๆนั้นก็เพราะยังพอจะเห็นชาวบ้านหาบงบน้ำอ้อยขายอยู่ในกรุงเทพฯ หรือเห็นผู้เฒ่าแก่ๆนั่งขายอยู่ข้างถนน ซึ่งผมจะซื้อเกือบจะทุกครั้งที่เห็น ช่วยเขาครับ เขาพยายามดิ้นรนช่วยตัวเอง พยายามทำมาหากินด้วยความสุจริต 10 บาท 20 บาท ของเขามีค่ามากกว่าของเรามากมายนัก แม้กระทั่งตัวน้ำอ้อยที่ทำเป็นงบน้ำอ้อยเอามาขายเรานั้น ในความคิดของเขามันก็เป็นของมีคุณค่า ในขณะที่เราอาจจะไม่เห็นคุณค่าของมันเลย
ในสมัยก่อนนั้น ในย่ามของชาวบ้านที่มีธุระต้องเดินทางเป็นระยะทางไกล จะต้องมีงบน้ำอ้อยติดอยู่เสมอ ชาวบ้านเขาใช้ในลักษณะเป็นของกินเพื่อฟื้นความสดชื่น (refreshment) และกระตุ้นให้กำลังเมื่อมีอาการอิดโรยมากๆ ครับ...มันก็เป็น energy จากน้ำตาลธรรมชาตินั่นเอง นี่ก็คือความมีค่าของมันในสายตาชาวบ้าน
แล้วในมุมของเราละครับ เราใช้น้ำตาลในการชงกาแฟ ใช้ในการทำอาหารคาวหวานต่างๆ แล้วเราก็พยายามจะเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายขาวและเลี่ยงการใช้น้ำตาลปี๊บ หันไปใช้น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลตะโหนด ก็จะไม่ลองหันไปใช้น้ำตาลอ้อยดูบ้างหรือไร แต่ทั้งนี้ก็ต้องระวังบรรดาสารเคมีอันตรายที่ชาวบ้านอาจใส่เข้าไปในกระบวนการทำด้วย ซื้อในตลาด ตจว. หรือตลาดชาวบ้านก็คงพอจะลดความเสี่ยงได้มากโขอยู่ จะให้ปลอดภัยที่สุดก็คงต้องไปนั่งดูเขาทำกัน
หลายปีที่แล้วไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่เชียงใหม่ เห็นน้ำตาลลักษณะอย่างที่อาจารย์บรรยายนี่ละค่ะใส่ขวดโหลตั้งอยู่ในครัว เจ้าของบ้านว่างบน้ำอ้อย ลองดมดูก็พบว่ากลิ่นมันแปลกๆคล้ายๆกับกลิ่นเหล้าแห้งๆ เลยไม่กล้าลองชิม หรือว่ามันเสียแล้วก็ไม่ทราบนะคะ เพราะเคยได้กลิ่นน้ำตาลสดบูด ก็กลิ่นประมาณนี้เลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 701 เมื่อ 03 เม.ย. 16, 18:17
|
|
ขออภัยครับ เมื่อวานไปค้างที่หาดเจ้าสำราญ เพชรบุรี ไปทำบุญให้แม่และกลุ่มญาติฝ่ายแม่ที่แม่กลองเมื่อวาน แล้วต่อวันนี้ทำบุญให้พ่อตากับญาติฝ่ายพ่อพ่อตา
หาดเจ้าฯต่างกับสมัยก่อนมากเลยครับ ปัจจุบันมี resort มากมายผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดเลย ผมชอบหาดเจ้าฯตรงที่ยังคงให้ความเป็นส่วนตัว(ในระดับที่พอใจเลยล่ะ)กับทุกคนและทุกครอบครัวที่มาเที่ยวมาพักผ่อน คนไม่มาก เสียงไม่ดัง ขี้เมาอ้อแอ้น้อยมาก แม้ว่าหาดจะดูไม่สวยงามนัก ไม่เปิดโล่งเพราะเห็นกองแนวหินกันคลื่นกระแทกฝั่ง (breakwaters) เป็นช่วงๆ ก็ตาม
ในเชิงวิชาการ ผมเห็นว่าเป็นพื้นที่ชายทะเลที่ให้ข้อมูลและสิ่งบ่งชี้หลากหลายในเชิงของการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นของอ่าวไทยตอนบน ทั้งจากตัวกระบวนการทางธรรมชาติเองและจากการกระทำของคนที่เข้าไปทำการพัฒนาแทรกอยู่ในกระบวนการทางธรรมชาติต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 702 เมื่อ 03 เม.ย. 16, 19:10
|
|
สำหรับงบน้ำอ้อยที่คุณ Anna ว่ามีกลิ่นคล้ายเหล้าแห้งๆหรือน้ำตาลสดบูดนั้น ก็คงเป็นเช่นนั้น น้ำตาลทั้งหลายมันเปลี่ยนเป็นแอลกอฮอลล์ได้ การทำเหล้าทำเบียร์ทั้งหลายก็คือกระบวนการเปลี่ยนแป้ง (จากข้าว มัน ข้าวโพด ฯลฯ) ไปเป็นน้ำตาล แล้วก็เปลี่ยนจากน้ำตาลไปเป็นเหล้า
ผมตอบไม่ได้ว่าจะใช้คำเรียกว่า เสียแล้ว ได้หรือไม่ สำหรับผมแล้วจะเรียกว่ามันเสียก็ต่อเมื่อมันดูไม่ดีเอาเลย เช่น มีสีดำเข้ม มีราขาวเป็นจุดๆแยกกันอยู่ มีกลิ่นเกินกว่าที่เราจะรับได้ แล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์ในขณะนั้นเป็นอย่างไร (หาใหม่ได้ใหม ยังพอใช้ใส่อาหารที่ปรุงด้วยไปร้อนๆได้ใหม เป็นต้น) อย่าเชื่อผมนะครับ คนเดินดงก็เป็นอย่างนี้แหละ
ที่น่ากลัวจริงๆคงมิใช่เรื่องว่ามันเสียหรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องว่ามันจะทำให้เราตายหรือไม่ ซึ่งเราไม่มีทางรู้เลยว่ามันมีสารเคมีฆ่าหญ้าพวก paraquart หรือ gramoxone ตกค้างหลงเหลืออยู่หรือไม่ ยาเคมีฆ่าหญ้านี้ ชาวบ้านบางรายเขาใส่ในกระบวนการหมักทำเหล้าด้วย เพื่อเร่งกระบวนการหมักให้เร็วขึ้น ผมไม่มีความรู้มากพอที่จะกล่าวว่าเมื่อกลั่นเป็นเหล้าแล้ว จะยังคงมีสารเคมีพวกนั้นติดค้างอยู่ในเหล้าตาตั๊กแตนมากน้อยเพียงใด หรือไม่มีเลย ??
ทำได้อย่างเดียวครับคือ รับมาดื่ม 1 จอก แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเหล้าสี (เหล้าแม่โขงและกวางทองในสมัยนั้น) ที่ผมต้องซื้อติดตัวเข้าไปเสมอ ครับ... ชาวบ้านเขาก็อยากกินเหล้าเมืองที่มีชื่อโด่งดังเหมือนกัน ผมก็ปลอดภัยขึ้น อาจจะเปลืองเงินหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 703 เมื่อ 03 เม.ย. 16, 19:37
|
|
ที่ผมเจอแบบน่ากลัวจริงๆ ก็คือ สาโทที่ชาวบ้านเอามาดื่มร่วมวงกับพวกผม ใส่แกลอนน้ำมันเครื่องที่ล้างสะอาดแล้ว เป็นสาโทที่มีกลิ่นเป็นน้ำตาลปี๊บ ว้าว... แถวนั้นต้นมะพร้าวก็ไม่มี เป็นน้ำตาลเมาที่ทำจากน้ำตาลสดไม่ได้อยู่แล้ว แถมเป็นช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มเข้าไปแล้วอีกด้วย นึกออกได้อย่างเดียว คือ เอาน้ำตาลปี๊บมาละลายน้ำ แล้วเหยาะยาฆ่าหญ้าเข้าไป
พอได้กลิ่น พอเดาได้ว่าไม่ดีแน่ๆ ผมก็ต้องหาทางออก เอาเหล้าแดง (เหล้าสี) มาเข้าวงอีกขวดนึง (ตามปรกติ ก็ดื่มไม่เกิน 1 ขวด ที่เหลือก็ยกให้ชาวบ้านไป) ก็เลยรอดตัวมาได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 704 เมื่อ 04 เม.ย. 16, 18:57
|
|
กลับไปเรื่องหมีกับน้ำผึ้งต่อครับ
มีคำโบราณท่านเปรียบเปรยว่า บ่นเป็นหมีกินผึ้ง ผมไม่เคยเห็นภาพและเสียงในขณะที่หมีกำลังกินรังผึ้ง เคยเห็นก็แต่รอยเล็บที่มันกอดต้นไม้ปีนขึ้นไป บางต้นก็มีซ้ำหลายรอยทั้งในลักษณะของการปีนซ้ำในช่วงเวลาใกล้ๆกันและในระยะเวลาที่ห่างกันมาก ซึ่งก็น่าจะพอแสดงได้ว่ามันกินครั้งเดียวหมดหรือหลายครั้งหมด หรือมิฉะนั้นก็รังใหญ่หรือรังเล็ก
ในป่าแม่วงก์นี้ผมเคยเห็นรอยเล็บใหม่ๆที่หมีมันปีนขึ้นไปกินผึ้ง ก็ใหม่พอที่จะต้องหันดูรอบๆตัวเลย เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีตัวมันอยู่ใกล้ๆแถวๆนั้น ด้วยไม่รู้ว่า มันกินเสร็จแล้ว เลิกกินแล้ว เดินไปไกลแล้ว หรือว่ามันลงมาจากต้นไม้มาหลบอยู่บนพื้นใกล้ๆนั้น เนื่องด้วยมันได้ยินเสียงของพวกผมเดินมากัน
ในการเดินทำงานของผมนั้น จะมีเสียงดังจากการใช้ฆ้อนทุบหินเพื่อดูเนื้อในหรือเก็บตัวอย่างและเสียงพูดคุยกันแบบไม่ระวังความดัง มันเป็นการผสมผสานการทำงานพร้อมไปกับการไล่สัตว์ที่มีอันตรายทั้งหลายให้หลีกไป ซึ่งก็มีสัตว์ใหญ่อยู่ชนิดหนึ่งที่มักจะไม่หลีก แต่จะยืนนิ่งเงียบฟัง ตนเองก็เลยต้องพิจารณาสิ่งแวดล้อมต่างๆ ร่องรอยต่างๆ พร้อมฟังเสียงต่างๆของไพรพร้อมไปด้วย ระมัดระวังขนาดนั้นก็ยังไม่วาย เฉียดวิกฤติถึงเลือดตกยางออกอยู่หลายครั้ง ..ช้างครับ ที่จะรวมเล่าต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|