เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37 38 ... 49
  พิมพ์  
อ่าน: 71099 ห้วยขาแข้ง เมื่อ '14 '15
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 525  เมื่อ 11 ก.พ. 16, 18:45

ที่ผมบอกขนาดไปว่า ตั้วแย้ขนาด 3 นิ้วมือนั้น คือตัวของมันที่มิได้รวมครีบข้างตัวของมันที่สามารถแผ่ออกไปได้อีก (เพื่อทำให้ตัวของมันดูกว้างและใหญ่ขึ้น)

แย้เป็นสัตว์กินแมลงและสัตว์เลื้อยคลานตัวเล็กๆ จึงอาจจะทำให้หลายคนเห็นความน่าแขยงดั่งเช่นตัวจิ้งจก ตุ๊กแก และจิ้งเหลน   แท้จริงแล้วแย้เป็นสัตว์ที่น่ารักมากกว่าสัตว์ที่กล่าวมาเยอะ     เขาเป็นพวกมีผิวหนังเป็นเกล็ด แต่เป็นเกล็ดขนาดเล็กจิ๋วมากพอที่จะทำให้ผิวของเขานุ่มเนียน ไม่นิ่มเหมือนจิ้งจกและไม่หยาบเหมือนกิ้งก่าหรือตุ็กแก  จะว่าไปก็คล้ายกับการสัมผัสตุ๊กตาผ้าของเด็กเล่น  ผิวของเขาไม่ waxy เหมือนงูและไม่มีกลิ่นสาบ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 526  เมื่อ 11 ก.พ. 16, 19:15

ได้กล่าวถึงเรื่องว่าแย้ก็จำศีล ซึ่งผมไม่มีความรู้พอว่าเขาจำศีลจริงๆนานเพียงใด     แต่ในประสพการณ์ของผมนั้น เมื่อแรกมีฝนตก 2-3 ห่าแรกไปแล้ว (ประมาณปลายเดือนมีนาฯ หรือต้นเดือนเมษาฯ) แย้จะออกจากรูมาหากินแมลง จนเมื่อมีฝนตกมากถึงระดับทำให้ผืนดินฉ่ำน้ำอย่างต่อเนื่อง เมื่อนั้นก็จะไม่เห็นแย้ออกมาเพ่นพ่านอีกเลย 

ออกมาเพ่นพ่านก็ต้องถูกจับใช่ใหมครับ  หลายผู้คนก็รีบจับเมื่อแรกเห็นเขาออกมาวิ่ง หลายผู้คนก็รอเวลาให้เขาอ้วนพีสักระยะหนึ่ง    การจับตัวเขาก็มีตั้งแต่ใช้วิธีขุด ใช้หนังสะติ๊ก ใช้บ่วงแล้ว ใช้เบ็ดตกปลา ใช้ปืนยิง      แต่...สำหรับพวกผมนั้นใช้ก้านไม้เล็กๆเท่านั้นเอง (น่าสนใจใหมครับ)
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 527  เมื่อ 12 ก.พ. 16, 19:09

ผมใช้คำว่า "จับ"    ครับ..เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่ใช้คำว่าจับ ไม่ใช้คำว่า ล่า และก็ไม่ใช้คำว่า ยิง   แล้วก็มีอีกคำหนึ่งที่ใช้กันก็คือ ไปดักแย้

การจับหรือดักแย้ด้วยวิธีการใช้เบ็ดราวนั้น เป็นวิธีการที่กล่าวถึงกันทั่วไปในทุกถิ่น   สำหรับผมนั้น เมื่อใด้ยินว่าแถวนั้นใช้วิธีการเบ็ดราว นั่นก็จะบ่งบอกว่าพื้นที่บริเวณนั้นมีแย้วิ่งกันเพ่นพ่านและชุกชุมมาก

วิธีการใช้เบ็ดราวก็ง่ายๆ   ก็คือเอาเบ็ดราวที่ใช้ในการตกปลานั่นแหละ เอามาขึงบนบก ให้ตัวเบ็ดห้อยอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 10 ซม. เหยื่อเกี่ยวเบ็ดก็ใช้ข้าวตอกดอกขาวๆนั่นเอง ขึงเบ็ดเสร็จก็สั่นเชือกราวเบ็ดให้แกว่งไกว เหยื่อข้าวตอกก็จะกระโดดไปมา  จากนั้นก็หลบไปทำธุระอื่นๆ สัก 2-3 ชม.จึงค่อยกลับมาดู  เมื่อแย้ตัวแรกหลงกลกระโดดงับติดเบ็ด (ด้วยนึกว่าเป็นแมลง)  มันก็ต้องดิ้น ก็จะทำให้เบ็ดตัวอื่นๆที่ผูกอยู่กับเชือกราวเดียวกันแกว่ง แย้ตัวอื่นๆก็จะหลงกลเข้าไปงับเบ็ดตัวอื่นๆ ด้วยนึกว่าเป็นแมลงเช่นกัน 

 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 528  เมื่อ 12 ก.พ. 16, 19:34

เท่าที่ผมได้ประสบพบมาจริงๆนั้น มีการใช้เบ็ดราวอยู่แห่งเดียว ก็ที่ บ.ชะลาดฯ จ.ตาก นี่เท่านั้นเอง   

ด้วยที่รู้อุปนิสัยของแย้ในการออกมาหากินในช่วงเวลาต่างๆ  ชาวบ้านก็ใช้วิธีใช้ "แร้ว" ดักแย้อีกด้วย    แร้วนี้ทำง่ายๆจากไม้ไผ่ ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางอย่างที่ต่างไปจากแร้วดักสัตว์อื่นๆ  (หาดูภาพแร้วนี้จากกูเกิ้ลเอาเองนะครับ)
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 529  เมื่อ 12 ก.พ. 16, 20:26

คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของอุปนิสัยของแย้ ก่อนที่จะไปเข้าเรื่องการจับแย้ด้วยวิธีง่ายๆ นะครับ

แย้จะออกจากการจำศีลมาหากินเมื่อย่างเข้าช่วงฝนแรกของปี ก็คือช่วงประมาณปลายเดือนมีนาคม-จนตลอดเดือนเมษายน ก็คือช่วงก่อนที่จะเริ่มมีฝนตกค่อนข้างชุกในช่วงเดือนพฤษภาคม    ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวนี้ จะมีแมลงหลากหลายชนิดที่เข้าสู่วัฎจักรของการเจริญพันธุ์ออกมาเวียนว่อนอยู่อย่างมากมาย   เป็นอาหารชั้นดีของสัตว์กินแมลงหลายชนิด

นั่นเป็นช่วงเวลาของปี      ก็เข้ามาสู่ช่วงเวลาของดินฟ้าอากาศ  วันใหนฝนตก แย้ก็จะหลบฝนอยู่ในรู ไม่ออกมาให้เปียกฝนหรอก  หากฝนตกมามากๆจนผืนดินฉ่ำแฉะก็ไม่ออกมาอีก ก็จะออกมาให้เปื้อนดินโคลนไปทำใมกันเนาะ   โน่นแน่ ต่อเมื่ออากาศมีความอบอุ่น แห้ง และมีแสงแดดดี  โผล่ออกมาก็จะได้ทั้งแดดที่อบอุ่น (แย้เป็นสัตว์เลือดเย็น) ได้อาหารดีๆ ได้ผสมพันธุ์ ฯลฯ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 530  เมื่อ 12 ก.พ. 16, 20:48

เข้ามาในเรื่องของช่วงเวลาในแต่ละวัน

เช้าก่อนแดดจะออก อากาศในพื้นที่ชนบทจะยังคงเย็นอยู่ (ปกติก็แถวๆ 20 - 25+ องศา) แย้ยังนอนสบายอยู่ในรู  จนกระทั่งสายๆที่แดดเริ่มจัดและร้อนแรง (ประมาณ 9 โมงเช้า) แย้จึงจะเริ่มออกจากรู ออกวิ่งกันไปวิ่งกันมาเกลื่อนกลาด ผลุบๆโผล่ๆเข้าๆออกๆรู    ออกวิ่งไปแล้วก็หยุดยืดคอชะเง้อดู (อะไรก็ไม่รู้) แล้วก็วิ่งต่อ     

เมื่อถึงเวลาแดดจัดๆและร้อนมากๆในช่วงเวลาประมาณเที่ยงวัน   ก็ร้อนเกินไป  พวกแย้ก็จะกลับเข้ารูหลบร้อนเหมือนกัน ยังกะเป็นช่างเวลา Siesta ของพวกละติน    จะกลับออกมาอีกครั้งก็ประมาณบ่ายโมงแก่ๆ  แล้วก็จะทะยอยกลับเข้ารูไปพักผ่อนตั้งแต่ประมาณบ่าย 3 โมง  พอถึงเวลาประมาณสี่โมงครึ่ง (ยังกะเวลาราชการ) ก็เกือบจะไม่มีแย้สักตัววิ่งให้เห็นเลย
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 531  เมื่อ 13 ก.พ. 16, 18:56

รู้กิจวัตรประจำวันของแย้แล้ว  คราวนี้จะจับเขาก็ง่าย   

เมื่อแย้มีนิสัยชอบวิ่งลงรูเมื่อเห็นอะไรผิดปรกติ  ตอนกลางวันที่เราเดินผ่านไปทำงาน เราก็จะเห็นเขาวิ่งลงรู เราก็จำเอาไว้ว่ารูเหล่านั้นอยู่ที่ใดบ้าง จำไม่ได้หมดหรอกครับ เอาแค่เพียงแถวๆใหนก็พอแล้ว     

พอเดินกลับมาจากการทำงานในตอนเย็น เราก็หาก้านไม้ขนาดประมาณก้านมะยมติดมือมาด้วยก้านสองก้าน  แวะเวียนไปดูบริเวณที่เราเห็นแย้ลงรูเมื่อตอนเช้า ดูขุยดินสดๆ (ดินชื้น) ที่กองอยู่เป็นกองเล็กๆ  นั่นแหละครับคือปากรูที่เขาอยู่ เมื่อเขาลงรูไปแล้วเขาก็จะดันดินขึ้นมาปิดปากรู   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 532  เมื่อ 13 ก.พ. 16, 19:16

เพียงใช้ไม้ค่อยๆแหย่เบาๆผ่านกองดินที่ปิดปากรู ชักขึ้นชักลงเบาๆหรือค่อยๆปั่นให้ลึกลงไปคล้ายกับการปั่นจิ้งหรีด ทำแบบเบาๆและนุ่มนวลจริงๆ มิฉะนั้นแย้ก็จะวิ่งออกไปทางรูเปี่ยว

การทำเช่นนี้จะทำให้เม็ดดินที่ปิดอยู่ปากรูนั้นร่วงลึกลงไปในรู แย้เขาก็จะใช้ตีนคู่หน้าค่อยๆดันดินกลับขึ้นไปที่ปากรู   เรารู้สึกรับรู้การดันของแย้ได้จากไม้ที่เราแหย่ลงไป แล้วเราก็รู้ทิศทางของรูจากไม้นั้น รวมทั้งยังรู้อีกด้วยว่าตัวแย้ที่ดันดินขึ้นมานั้นอยู่ใกล้กับปากรูมากน้อยเพียงใด  แล้วจะไปเหลืออะไรเหรอะ จะใช้มีด ใช้ก้อนหิน ใช้ไม้ ปักหรือทุบก็ได้ทั้งนั้น   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 533  เมื่อ 13 ก.พ. 16, 19:44

หาได้สี่ห้าตัวก็พอกินแล้วครับ    แล้วก็มีข้อแม้หรือข้อห้ามบางอย่างที่เหมือนๆกันในทุกพื้นที่ๆมีแย้ครับ  ผมได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก  ก็คือ ห้ามเอาแย้สดมาแช่น้ำปลาแล้วทอดให้สุก ชาวบ้านเชาเชื่อกันว่า มันจะทำให้แย้หายไปจากป่าหมดเกลี้ยง

ดูจะเป็นเรื่องว่ากันไป-เชื่อกันไปของชาวบ้าน  แต่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีพื้นฐานมาจากความชาญฉลาดของชาวบ้านที่จะดูแลและใช้ประโยชน์ของทรัพยากรในธรรมชาติแบบยั่งยืน     ครับ..ก็บ้องตันของมันชุบน้ำปลาแล้วทอดมันอร่อยจริงๆนี่นา กินกันคนละสองสามบ้องก็หมายถึงหายไปสองสามตัว  ไม่ต่างไปจากการกินกบแต่เพียงน่องขาคู่หลังเท่านั้น ...ฆ่ามันทั้งตัวเพื่อกินมันเพียงนิดเดียว     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 534  เมื่อ 14 ก.พ. 16, 18:55

ว่าจะเล่าต่อเรื่องการทำอาหาร  เมื่อวานนี้ฟังวิทยุได้ความว่า พวกคนรักนกกก (หรือนกกาฮัง) เขากำหนดให้เป็นวันรักนกกก  พอวันนี้ก็เป็นวัน St.Valentine วันแห่งความรัก    ผมก็เลยต้องเว้นวักเรื่อง ขอเปลี่ยนไปเล่าเรื่องความน่ารักของแย้และความรักของนกกก น่าจะเหมาะสมมากกว่า

แย้เขาก็มีความน่ารักนะครับ  วันหนึ่งคนงานในคณะของผมก็ใช้หนังสะติ๊กยิงแย้ในดงแย้ชุกชุมแถบเขื่อนท่าทุ่งนา จ.กาญจนบุรี  เดินไปยิงไป ทั้งคนทั้งแย้ต่างก็ไม่อยู่นิ่ง ก็เลยยิงไม่โดนหรือยิงถูกก็เพียงถากๆเท่านั้น   มีอยู่ตัวหนึ่งถูกเข้าแถวท้อง คงจุกมาก ดิ้นอยู่ เลยถูกจับเป็น  ผมก็เลยขอเขาเอาเผื่อว่าจะเอาไปปล่อยเมื่อเขาหายดีแล้ว เอาตัวเขามาพลิกคว่ำพลิกหงาย ค่อยๆลูบตัวเขาหัวจรดหาง  เขาก็ฟื้นขึ้นมาแบบนิ่งๆเชื่องๆเลย ไม่กัดไม่ทำอะไรทั้งสิ้่น ไม่กัดตามวิสัยของแย้เลย ยอมให้ผมลูบตัวเขาเล่นอยู่เป็นนาน    ก็อยู่กับผมอีกหลายวันก่อนที่จะเสร็จงานกลับเข้ากรุงเทพฯ ในที่สุดผมก็เอาเขามาเลี้ยงที่บ้านในกรุงเทพฯ ซึ่งพอมีสนามหญ้าให้เขาวิ่งเล่นได้ เขาก็ผลุบๆโผล่ๆวิ่งไปมาเหมือนกัน ช่วงนั้นเป็นช่วงฝนเริ่มจะตกมาก  ไม่นานก็หายเงียบไป เดิมทีก็เข้าใจว่าเขาคงจะเข้าจำศีล แต่สุดท้ายก็หายไปเลย

ก็พอมีประสพการณ์ที่ทำให้ผมเชื่อว่า คนกับสัตว์นั้นมันก็พอที่จะสื่อสารกันได้ทางการสัมผัสและทางจิต โดยเฉพาะในเรื่องความเมตตา
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 535  เมื่อ 15 ก.พ. 16, 19:31

ต่อเรื่องนกเงือกนะครับ  เมื่อวานนี้ตัองชะงักเรื่องไว้เพราะมีงานจำเป็นที่จะต้องทำ

ครับ..นกเงือกเป็นนกที่ครองคู่ผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต   

เช้าวันหนึ่งที่ บ.ใหม่ เลย บ.เกริงไกร ลึกเข้าไปในห้วยขาแข้ง  ผมเดินล่วงหน้าไปก่อนที่ช้างของคณะผมจะทำการบรรทุกสัมภาระ   ผมได้เห็นนกเงือกทั้งตัววางพาดไว้ที่เฉลียงบ้านของชาวบ้านๆหนึ่ง ก็แวะเข้าไปดู ถามเขาว่า ยิงได้มาหรือไร   เขาตอบมาว่าไม่ได้ยิง  แล้วก็เล่าว่าเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ขณะที่ควาญช้างของคณะของผมกำลังจับช้าง (ไปตามช้างที่ปล่อยให้ไปหากินในป่า) อยู่ดีๆ ก็มีนกเงือกตัวหนึ่งพุ่งตกลงมาที่หน้าช้าง ช้างก็ตกใจ วิ่งเตลิดไป  ควาญช้างจึงได้เก็บนกตัวนั้นแล้วเอามาให้ไว้ ก็คือตัวนี้แหละ  เขาบอกว่า มันฆ่าตัวตาย เพราะคู่ของมันถูกยิงตายไปเมื่อไม่นานมานี้ (มิใช่ชาวบ้านพวกเขาที่เป็นคนยิง)   เรื่องการตายของนกเงือกตัวนี้ด้วยเหตุการฆ่าตัวเองนี้จะจริงเท็จประการใดผมไม่สามารถยืนยันได้  แต่ผมก็ยืนยันได้ว่าไม่เห็นร่องรอยของกระสุนปืนใดๆบนตัวของเขา

จนกระทั่งพบกับช้างบรรทุกสัมภาระในตอนบ่ายแก่ๆ ก็จึงได้ซักถามกับควาญช้าง  จึงพบว่า มิน่าเล่า ในเช้าวันนั้น ควาญช้างจึงจับช้างได้ช้าและมาสายจนผมต้องออกเดินไปทำงานก่อนที่จะได้ตัวช้างมาช่วยกันบรรทุกสัมภาระ  ครับ..ได้ความว่า พอนกตกลงมาต่อหน้า ช้างก็ตกใจ เตลิดไปไกล กว่าจะตามแกะรอยไปจับตัวมาใด้ ก็เล่นเอาเหนื่อย

เป็นประสพการณ์ของผมที่ได้มีโอกาสสัมผัสครับ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 536  เมื่อ 15 ก.พ. 16, 20:07

เมื่อวานนี้ วันแห่งความรัก ผมก็ได้รับของขวัญเป็นลูกไก่แจ้ตัวน้อยนิดขนาดหัวแม่มือ เขาเจาะไข่ออกมาพอดี  ใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ส่งเสียงร้องเจี๊ยบๆออกมาเป็นระยะๆ  แม่ก็ไม่สนใจมัวแต่ไปเลี้ยงตัวพี่ที่ออกมาก่อนสองสามวัน   สุดท้ายก็โผล่ออกมาทั้งตัว   เมื่อเย็นนี้ก็ยังเดินเด้งอยู่เลย พรุ่งนี้ก็น่าจะแข็งแรงแล้ว   

น่ารักมากครับ   หลานชอบมาก ได้เห็นครบทั้งกระบวนการตั้งแต่การไข่ การฟัก การเจาะไข่ออกมาเป็นลูกเจี๊ยบแรกเกิด จนวิ่งไปมาคล้ายลูกปิงปองกลิ้งไปมา
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 537  เมื่อ 15 ก.พ. 16, 20:53

กลับมาเรื่องของแย้อีกเล็กน้อย

ดูท่าทีจะสนุกที่จับแย้ที่อยู่ในรูของเขาได้  แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังอยู่มากเหมือนกัน   ครับ...งู..ครับ งูก็ลงรูแย้ไปรองาบอยู่เหมือนกัน  ก็อย่างที่เล่ามาว่า แย้วิ่งเข้าๆออกๆรู  รูของตัวเองบ้างรูของตัวอื่นบ้าง  งูเขาก็คงรู้อยู่ ก็เลยแอบเข้ารูไปรองาบโดยไม่ต้องเลื้อยไล่ออกแรง

ก็พบเข้ากับตนเอง   เห็นแย้วิ่งลงรูแต่ลงไม่สุด มีหางโผล่   ก็เสร็จเราละซีครับ  ไปดึงหางของมันก็ไม่สามารถดึงตัวมันออกมาได้ คล้ายกับมีอะไรดึงอยู่อีกข้างหนึ่ง  จึงใช้ฆ้อนธรณี (ฆ้อนที่ใช้ในงานสำรวจธรณ๊วิทยา ใช้ทุบหิน แงะหิน และสารพัดประโยชน์ ตั้งแต่นั่งไปจนถึงเป็นตะขอใช้ปีนเนินสูงชัน รวมถึงใช้เป็นตะขอช้าง ฯลฯ)  ค่อยๆถากดินขุดลงไป  อ้าว เจอหัวงูกำลังงับแถวรักแร้ของแย้  ตัวแย้เองก็มีอาการแบบนิ่งๆ แต่ยังไม่ตาย    พิจารณาดูแล้ว หัวงูเป็นทรงสามเหลี่ยม ก็เข้าใจว่า น่าจะเป็นงูไม่มีพิษ (พิษไม่แรง)  จึงจัดการกับงู แย่งตัวแย้มา   พอเห็นรอยฟันงูที่ข้างตัวแย้เป็นทรงยังกับรอยฟันสุนัข ก็พอจะยืนยันว่าน่าจะเป็นงูประเภทไม่มีพิษ   แต่เมื่อเสมือนเป็นการช่วยชีวิตแย้แล้ว ก็เลยไม่คิดจะเอามันมากิน  สักพักแย้ก็พอจะมีแรงขยับตัว  พอเริ่มมีแรงดีก็ปล่อยเขาไป   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 538  เมื่อ 15 ก.พ. 16, 21:04

แล้วผมก็เคยเห็นคนพยายามจะเลี้ยงแย้  อยู่อีกฝั่งถนนแถวๆตรงข้ามปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรี

มีการใช้สังกะสีหลังคา นำมากั้นเป็นคอกสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 4x5 ม.   ครั้งแรกผมเห็นมีแย้จำนวนมากวิ่งพล่านอยู่ ครั้งต่อไปที่เข้าไปเยี่ยมเยียน กลับไม่เห็นตัวแย้เลย    ได้ความว่า มันขุดรูมุดใต้รั้วสังกะสี ออกไปนอกค่าย กันอบ่างสนุกสนาน   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 539  เมื่อ 16 ก.พ. 16, 18:56

อาหารที่ทำจากแย้ประเภทผัดเผ็ดและแกงนั้น นึกไม่ออกเลยว่าได้เห็นและได้ลิ้มรสบ้างหรือไม่   เห็นมีแต่นำมาย่างให้สุกแล้วฉีกเป็นชิ้นจิ้มเกลือหรือน้ำปลากิน  ที่เห็นทำกันมากที่สุดก็คือเอามาทำแย้แห้ง เก็บสะสมเอาไว้ใช้ยามขาดอาหาร  ซึ่งก็เอามาทำได้ทั้งตำน้ำพริก เครื่องปรุงไม่มีอะไรมากไปกว่าพริกแห้ง เกลือ และแย้แห้งตำเข้าด้วยกัน    หรือเอามาย่างให้พอนิ่มแล้วฉีกกินกับข้าวเหนียวหรือข้าวสวย    หรือไม่ก็เอามาทอดให้พอกรอบเล็กน้อย จิ้มน้ำปลาทานกับข้าวร้อนๆ   สำหรับแย้สดที่เอามาแช่น้ำปลาแล้วทอดนั้นเป็นเมนูของคนในเมืองที่เข้าไปทำงานอยู่ในพื้นที่    และสุดท้ายก็เป็นเมนูอร่อยของชาวบ้านที่อยู่ในกลุ่มชุมชนเมือง 

แย้จะออกจากรูมาหาอาหารในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มะกอกกำลังแรกผลิใบและยอดอ่อน (สะเดาก็เช่นกัน)  ครับ..แตกใบอยู่บนผิวดินนั่นแหละ ไม่ต้องใช้ไม้ไปสอยมาจากต้นสูงๆ     

เอาแย้มาสดมา 2-3 ตัว ผ่าท้อง (อย่าให้ใส้แตก) ควักใส้ทิ้งแล้วล้างให้สะอาด  ตั้งหม้อต้มน้ำให้เดือด แล้วก็ใส่แย้ลงไป  ระหว่างที่รอให้แย้สุก ก็เอาหอมแดง 7-8 หัว กระเทียม 2 หัว และพริกแห้ง 3-4 เม็ด เอาไปหมกไฟหรือเสียบไม้ย่างให้สุก เอากระปิประมาณก้อนเท่าหัวแม่มือ ปั้นเสียบไม้หรือจะใช้ใบตองห่อก็ได้ ย่างไฟให้สุกหอม

เอาพริกใส่ครก โขลกให้แหลก  ปอกเปลือกหอมและกระเทียมที่ใหม้ทิ้งไป เอาใส่ครกแล้วโขลกต่อไป คะเนดูว่าละเอียดพอควรแล้วก็ใส่กะปิลงไป คลุกให้เข้ากันแล้วพักเอาไว้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37 38 ... 49
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.043 วินาที กับ 20 คำสั่ง