naitang
|
ความคิดเห็นที่ 315 เมื่อ 25 พ.ย. 15, 19:27
|
|
ตลอดช่วงเวลาที่หามมา คนป่วยชักเป็นระยะๆตลอดเลยครับ บ่อยมากจนน่ากลัวจริงๆ พอเจอหมอผี เขาก็จับมือคนไข้ขึ้นมา จับที่นิ้งกลางสักพัก แล้วก็บอกว่ามีทั้งโรคประจำตัวและผีเข้า และแกยินดีจะทำพิธีไล่ผีให้ที่บ้านแกในตอนค่ำ ก็แปลกนะครับ หลังจากนั้นคนไข้ก็ชักห่างขึ้น นานๆครั้ง
พอส่งคนไข้ถึงบ้านกะเหรี่ยงแล้ว ทุกคนก็กังวลว่า พรุ่งนี้เช้าจะหามคนไข้ข้ามเขาไหวหรือ เดินตัวเปล่ายังใช้เวลา 2 ชม. ผมก็เลยจ้างชาวบ้านให้เขาต่อแพให้ เป็นแพไม้ไผ่ 15 ลำ (10 ลำทำเป็นพื้น อีก 5 ลำทำเป็นแคร่วางบนไม้ขวาง) เพื่อจะได้ล่องมาตามห้วยออกปากลำขาแข้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 316 เมื่อ 26 พ.ย. 15, 18:42
|
|
ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุนี้ เป็นช่วงเวลาที่เพิ่งจะมีการตัดทางเพื่อการชักลากไม้ระหว่างพื้นที่ห้วยแม่พลู (ใกล้ปากห้วยขาแข้ง) กับเขาเหล็ก เขาโจด ผ่านหมู่บ้านตีนตก โดยใช้หมู่บ้านกะเหรี่ยงใกล้ปากลำขาแข้งเป็นแคมป์ใหญ่ปลายทาง การเข้าพื้นที่ของผมจึงเปลี่ยนจากการใช้เรือซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมากมาเป็นการใช้รถ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 317 เมื่อ 26 พ.ย. 15, 19:03
|
|
แม้ว่าจะเดินมาตลอดวัน และยังช่วยแบกหามคนป่วยเป็นระยะๆ เหนื่อยมาก แต่ตลอดคืนนั้นก็นอนแบบหลับไม่สนิททั้งคืน
เช้าขึ้นมาก็สาละวนกับการเตรียมรถ มันไม่มีทางติดต่อกับคณะคนป่วยเลย ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรบ้าง ล่องแพได้ใหม คนป่วยเป็นอย่างไรบ้าง ฯลฯ ก็รอด้วยความเครียด/ความกังวลอยู่ทั้งวันจนเกือบทุ่ม แพคนป่วยก็มาถึงปากลำขาแข้ง จากนั้นก็ช่วยกันหามกันต่อไปขึ้นรถ กว่าจะออกรถได้ก็ประมาณ 2 ทุ่ม ลุยกันทั้งคืนอย่างเร่งด่วน ไปถึง รพ.พหลพลพยุหเสนา กลางเมือง จ.กาญจนบุรี ตอนประมาณ 6 โมงเช้า หมอบอกว่ามาช้าไปกว่านี้อีกหน่อยเดียว ก็อาจเสียชีวิต โล่งอกเลยครับ ติดต่อญาติเขาได้ ให้มาดูแลต่อไป ในที่สุดก็กลับบ้านได้ (มารู้เอาทีหลังว่าเขาต้องกินยากันชักตลอด คิดว่าคงลืมเอาติดตัวเข้าไป)
ส่วนผมนั้น ไม่ได้พักหรอกครับ ทิ้งคนทิ้งแคมป์มา จึงรู้สึกเป็นห่วงพรรคพวกและเครื่องมืออุปกรณ์ของหลวงมากมายหลายชิ้น รวมทั้งเงินค่าจ้างแรงงานที่ไม่ได้เอาติดตัวออกมาด้วย พอจัดการเรื่องราวได้ ก็เติมน้ำมันรถ จ่ายกับข้าว แล้วก็กลับเข้าป่าไปหาพรรคพวกเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 318 เมื่อ 26 พ.ย. 15, 19:24
|
|
แปลกนะครับ คนในคณะเล่าว่า พอเข้าเขตบ้านไก่เกียง ช่วงเวลาที่คนป่วยจะชักก็ห่างออกไป พอไปถึงบ้านกะเหรี่ยงคนที่จะทำพิธีไล่ผี คนไข้ก็หยุดชัก พอทำพิธีเสร็จ ก็ไม่มีการชักอีกเลย กว่าจะต่อแพเสร็จก็เกือบครึ่งวัน ไก็ม่มีการชักเลย จนกระทั่งเอาขึ้นแพแล้วล่องแพพ้นเขตบ้านไก่เกียงจึงเริ่มชักใหม่ แล้วก็ชักเป็นระยะๆตลอดไปจนถึงโรงพยายบาลเลย
โชคดีจริงๆที่ไม่มีเรื่องถึงการเสียชีวิต
ผมได้พบกับหมอผี เพื่อขอบคุณเขา แล้วก็สอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าที่เจ้าทางที่มาแสดงอิทธิฤทธิ์ เขาบอกว่า มีสองสาเหตุที่ทำให้คนป่วยชัก คือ เป็นมาจากโรคส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งมาจากผีเจ้าที่เจ้าทาง
ต่อมาก็เดินทำงานไปจนถึงต้นไม้ต้นนั้น แล้วก็ทำการขอขมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 319 เมื่อ 26 พ.ย. 15, 19:34
|
|
อยากจะทราบคาถาและคำบอกกล่าวที่ผมใช้กราบหมอนก่อนนอน และใช้ในเวลารับรู้สัมผัสที่ไม่ปรกติและช่วงเวลาคับขันใหมครับ ผมได้มาตั้งแต่อายุประมาณ 15 ได้ใช้ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ จะขลังขนาดใหนคงจะบอกไม่ได้นะครับ แต่สำหรับผมแล้วได้ทำให้ผมแคล้วคลาดและผ่านพ้นเรื่องอันตรายทั้งหลายทั้งจากคนและสัตว์ตลอดมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 320 เมื่อ 28 พ.ย. 15, 18:39
|
|
หลังจากเหตุการณ์ไม่พึงปราถนาผ่านพ้นไป ก็มาวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆกันและกับชาวบ้านด้วย สรุปว่า มีการกระทำที่ไม่พึงกระทำมากมาย แทบจะทุกเรื่องเลย (เรียกว่าผิดผีก็แล้วกันนะครับ)
เริ่มตั้งแต่ ไปแย่งอาหารของสัตว์ที่กำลังกินอยู่ โดยไม่มีการกล่าวขอขมา แทนที่จะยกเก้งออกมาจากโคนกอไผ่ก็กลับใช้วิธีลากออกมา แทนที่จะใช้คานหามที่เป็นคานหาม(ไม้กลมเรียบ) ก็เป็นต้นไผ่ที่ยังคงเป็นสภาพของต้นไผ่ แทนที่จะชำแหละเก้งให้เป็นเรื่องเป็นราว คือแยกเป็นชิ้นส่วน เช่น ขาหลัง 2 ขา...ฯลฯ ก็กลับใช้วิธีแบบดิบๆ ห่ามๆ คือตัดหัว ตัดครึ่งตัว ดูไม่เป็นการเคารพต่อมังสาหารเอาเสียเลย ชิ้นส่วนที่ตัด ก็ยังเอาแขวนไว้ และยังคิดว่าจะกลับมาเอาอีก ก็คือแย่งเขามาแล้วยังหวงก้างอีกนั่นแหละครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 321 เมื่อ 28 พ.ย. 15, 18:50
|
|
สำหรับเรื่องที่แคมป์ ก็มีอยู่สองเรื่อง คือ ที่ตั้งของแคมป์นั้นอยู่ในจุดที่อึมครึม ไม่โปร่ง และอีกเรื่องก็คือไปฉี่รดต้นไม้ที่มีเทพาอารักษ์สถิตอยู่
เคยคิดกันไปถึงว่า ที่เก้งเขกอยู่รอบตัวในขณะที่นั่งพักอยู่นั้น ฤๅ พวกเขาจะมาตามมาส่งเพื่อน และเสียงหมาป่าหอนส่งกันเป็นทอดๆนั้น พวกเขากำลังป่าวประกาศอะไรกันอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 322 เมื่อ 28 พ.ย. 15, 19:15
|
|
ที่น่าสนใจ คือ เมื่อเข้าเขตหมู่บ้านกะเหรี่ยง อาการของคนป่วยก็เริ่มสงบ และสงบตลอดเวลาที่อยู่บริเวณที่ตั้งของบ้านชาวบ้าน
เขตหมู่บ้านของกะเหรี่ยงจะกำหนดด้วยเสาไม้อยู่สองเสาที่มีคานวางพาดอยู่ แล้วก็มีจักสานเป็นรูปคล้ายตราของพวกชาวยิวแขวนอยู่ จักสานรูปนี้ พวกกะเหรี่ยงยังใช้ในการดูว่าจะมีโชค ว่าจะประสบผลสำเร็จในงานที่จะทำหรือไม่อย่างไร เขาจะทำ (แอบทำ) การเสี่ยงทายในขณะที่กำลังนั่งสนทนากัน โดยจะหาก้านต้นหญ้าหรือตอกไม้ไผ่ เอามาหักมาสานด้านหลังตัว เมื่อเสร็จแล้วก็เอามาดูว่า สานได้สวยหรือไม่ หากสวยก็แสดงว่าจะโชคดี ทำอะไรก็บรรลุผลสำเร็จ
อีกเรื่องหนึ่งคือ ที่เสาเขตหมูบ้านและที่บ้านของกะเหรี่ยงทุกหลัง จะมีหนังส่วนจมูกของเม่นชิ้นประมาณฝ่ามือที่มีหนวดติดอยู่ แปะติดที่บริเวณประตูหรือกระไดของบ้าน เขาว่าใช้ไล่ผี ผมยังหาเหตุผลและความเชื่อมโยงไม่ได้ระหว่างหนังจมูกเม่นกับผีป่า ผีบ้าน และผีเรือน พอจะมีท่านใดทราบใหมครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 323 เมื่อ 28 พ.ย. 15, 19:30
|
|
อีกความเชื่อหนึ่งที่ดูน่ารักดี คือ เมื่อกะเหรี่ยงจะออกจากบ้านเพื่อเข้าไปหาของกินนอกเขตหมู่บ้าน เขาจะเอาขี้เถ้าป้ายที่แก้มทั้งสองข้าง นัยว่ากันผีและให้รู้ว่าเป็นมนุษย์ ซึ่งสำหรับพวกเด็กๆนั้นเห็นมีขี้เถ้าป้ายที่แก้มทุกคนเลย แม้ว่ากำลังวิ่งเล่นอยู่ที่ลานบ้านก็ตาม กล่าวได้ว่า ตื่นนอนมาก็ถูกป้ายขี้เถ้ากันแล้ว
ผมเป็นคนมีเชื้อแถวอยู่โคราช คุณพ่อเคยเล่าเรื่องที่ผู้ใหญ่สมัยก่อนโน้นก็เอาขี้เถ้าป้ายหน้าเด็กเมือนกัน ซึ่งแสดงว่าคนไทยก็ทำเหมือนกัน
ครับ..พอจะมีท่านผู้ใดขยายความเรื่องของความเชื่อในเรื่องการเอาขี้เถ้าป้ายหน้าบ้างใหมครับ ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 324 เมื่อ 30 พ.ย. 15, 19:07
|
|
พูดถึงเรื่องจมูกเม่น ก็มาเรื่องเม่นกัน
ในห้วยขาแข้งช่วงล่างมีเม่นอาศัยอยู่ค่อนข้างมาก เม่นเป็นสัตว์ฟันแทะ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วนม หากินในตอนกลางคืนด้วยการขุดคุ้ยหาพวกพืชหัวและรากไม้มาเป็นอาหาร
ที่ผมเคยเห็นมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ เม่นที่มีขนกลมแหลมคลุมตัวตั้งแต่ประมาณห้าอกลงไป ตัวใหญ่กว่าเม่นอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เม่นหางพวง (กะเหรี่ยงเรียกว่า ชะบา) เม่นหางพวกจะมีขนที่ออกไปทางแบน ไม่กลมเหมือนเม่นใหญ่ แหล่งหากินของเม่นใหญ่มักจะอยู่ใกล้ๆโป่งน้ำซับ (โป่งที่มีดินชื้นฉ่ำ) ส่วนเม่นหางพวงมักจะอยู่ในละแวกของป่ากล้วยป่า
หนังหน้าส่วนจมูกของเม่นที่กะเหรี่ยงเอามาแปะติดแถวประตูเข้าบ้านนั้น จะเป็นของเม่นใหญ่ทั้งนั้น (ไม่ยืนยันนะครับ ตามเขาว่าอย่างนั้น)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 325 เมื่อ 30 พ.ย. 15, 19:36
|
|
เนื้อเม่นเอามาทำอาหารได้ ลักษณะเนื้อและสีเนื้อคล้ายเนื้อหมูสามชั้นที่มีมันน้อย มีหนังหนาประมาณครึ่ง ซม. ซื่อ porcupine ที่ฝรั่งเขาเรียกกันจึงดูจะเหมาะกับตัวมันอย่างยิ่ง (คือหมูมีขนแหลมนั่นเอง ? )
กะเหรี่ยงนิยมล่าเม่นหางพวง (ชะบา) มากกว่าเม่นใหญ่ ซึ่งอาจะเป็นเพราะว่าพวกมันมีมากและหากินในละแวกดงกล้วยป่า ซึ่งจะเป็นป่าที่ไม่รกและไม่มีสัตว์ใหญ่มาหากินในดงกล้วย สัตว์ใหญ่ที่หากินในดงกล้วยก็ตัวใหญ่จริงๆเลยทีเดียว คือ ช้าง ครับ มีตั้งแต่ตัวเดียว (สีดอ) ไปจนถึงทั้งโขลง (ระหว่าง 6 -10 ตัว) เม่นใหญ่หากินในบริเวณโป่งน้ำซับ หรือที่บริเวณตลิ่งห้วยที่ค่อนข้างจะชื้นฉ่ำ มีกอไผ่และดินร่วนซุย (ดินขุยไผ่) ซึ่งเป็นพื้นที่ค่อนข้างเปิดกว้าง (คือมีตลอดลำห้วย) ไม่เหมือนกับดงกล้วยที่มีเป็นพื้นที่ๆมีขอบเขต การพบตัวเม่นใหญ่จึงยากกว่าชะบา อนึ่ง หากไปล่าเม่นใหญ่ที่บริเวณโป่ง ก็คงจะไม่ได้เม่นมา กลับกลายจะได้สัตว์กีบอื่นๆมาแทน ดีไม่ดีจะจ๊ะเอ๋เสือเอาเสียด้วยซ้ำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 326 เมื่อ 30 พ.ย. 15, 20:23
|
|
เป็นเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่งที่หาขนเม่นชนิดกลมได้ยากมากในหมู่บ้านกะเหรี่ยงเหล่านั้น มีแต่พวกขนแบนสั้นๆ ไม่รู้ว่าเขาเอาไปใหนกันหมด ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเรื่องยืนยันว่า เขานิยมกินเนื้อชะบามากกว่าเนื้อเม่นใหญ่
อ้อ..ที่ว่านิยมกินเนื้อชะบามากกว่าเนื้อเม่นใหญ่นั้น ก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างครับ กล่าวคือ อาหารที่เม่นใหญ่กินนั้นบางครั้งมันก็ทำให้ทั้งตัวมันเป็นพิษจนเรากินแล้วจะเกิดอาการเมา เรื่องนี้เจอกับตัวเองเลย แถมมีอาการกันทุกคนทั้งแคมป์เลย ครับ..อยู่ป่าก็ต้องระวังเรื่องอาหารการกินเป็นธรรมดา ดังนั้น เราก็จึงต้องทำตนให้มีความไวต่อการสัมผัสต่างๆ อาการเมาที่ว่านี้เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นคล้ายกับการกัดหมากพลูคำแรกของคนที่ไม่เคยเคี้ยวหมาก เป็นอาการคนกินหมากเขาที่เรียกว่า ยัน หรือ หมากยัน แล้วก็มีอีกเรื่องแปลกที่ผมหาคำอธิบายไม่ได้ คือว่า ครั้งหนึ่งไปพบขนเม่นกองอยู่โคนต้นไม้ กองอยู่ใต้กิ่งไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณ 2+ เมตร บางคนอธิบายว่า งูมันกินแล้วสำรอกออกมาโดยเอาหางพันไว้กันกิ่งไม้ จะเชื่อได้ใหมเนี่ย ??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 327 เมื่อ 30 พ.ย. 15, 22:06
|
|
เมื่อกี้แวบไปหาอากู๋ ขอดูเม่นใหญ่ เลยได้ของแถมเป็นคลิปวีดีโอเสือดาวกำลังพยายามจะกินเม่น แต่สุดท้ายดูเหมือนมันล้มเลิกความตั้งใจเพราะกินลำบากมาก ทำให้คิดว่าแล้วงูจะกินเม่นไหวหรือคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 328 เมื่อ 01 ธ.ค. 15, 18:37
|
|
ผมก็สงสัยอยู่นะครับ หากมันอยากจะกินมันก็คงจะกินได้อยู่หรอกครับ แต่ก็ อือ..ต้องทนเจ็บเอาเรื่องอยู่ทีเดียว
ปรกติงูจะสำรอกพวกกระดูกที่ย่อยไม่ได้ ซึ่งเท่าที่เคยเห็นตามที่ชาวบ้านชี้ให้ดู มักจะเห็นเศษกระดูกพวกนี้อยู่แถวๆโคนต้นไม้ แต่ก็ไม่เชื่อหรอกครับว่า มันจะต้องห้อยโหนเพื่อการสำรอกเศษกระดูก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 329 เมื่อ 01 ธ.ค. 15, 18:55
|
|
อีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเม่นสลัดขน
เป็นเรื่องไม่จริงนะครับ ผมเคยเห็นหมาของชาวที่ถูกขนเม่นทิ่มตำอยู่บริเวณหน้า ชาวบ้านต้องช่วยมัน ค่อยๆดึกออกทีละเส้น ขนเม่นทิ่มตำทะลุเข้าไปในหนังริมฝีปาก เป็นลักษณะของการกระแทกเข้าไปมากกว่าลักษณะของการถูกเหวี่ยงปาเข้ามา
ภาพก็คงจะเป็นว่า หมาวิ่งตามเม่น พอได้จังหวะเหมาะเม่นก็จะหยุดทันใดพร้อมกางขน หมาเองก็คงจะนึกว่าหวานคอแร้งแล้ว ก็เสือกหน้าเข้าไปหวังงับ แต่ช้าไปแล้วต๋อย หยุดไม่ทัน หน้าก็ขมำจิ้มเข้าไปในดงขนเม่น นั่นแหละครับขนเม่นจึงหลุดติดปากของมันมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|