naitang
|
ความคิดเห็นที่ 495 เมื่อ 31 ม.ค. 16, 19:52
|
|
ผมใช้คำว่า ก็แปลกอยู่นะที่......อยู่ในพื้นที่ๆเป็นหินที่มีเนื้อปูน ครับ..ตั้งข้อสังเกตขึ้นมา เพื่อว่าเมื่อขยายความแล้ว อาจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อยู่บ้าง
มีอยู่สามคำที่ไม่รู้ว่าจะใช้ภาษาไทยว่าอย่างไรดี calcareous rocks, carbonates rocks, และ limestone เอาเป็นว่าก็คือหินที่เมื่อเราหยดกรดลงไปที่ผิวแล้วมันจะเกิดมีปฎิกริยาเป็นฟองฟู่ให้เห็นก็แล้วกัน
น้ำฝนในธรรมชาติมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ หินพวกนี้จึงถูกกัดกร่อนได้ง่าย บรรดาเป็นโพรง ถ้ำ และน้ำตกทั้งหลาย และรวมทั้งอ่าวที่สวยงามทั้งหลาบยเกือบทั้งหมดที่เรานิยมไปเที่ยวก็จะอยู่ในพื้นที่ของหินประเภทนี้นี่เอง
น้ำที่ไหลผ่านหินพวกนี้จะมีสภาพเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งเป็นสภาพที่เหมาะแก่การตกตะกอนของแร่ธาตุและสารประกอบหลายชนิดทั้งที่เป็นสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ ดินที่พบอยู่ในพื้นที่หินปูนจึงค่อนข้างจะมีความอุดมสมบูรณ์และอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สิ่งมีชีวิตทั้งหลายต้องการ
หากเป็นพื้นที่ๆมีความชุ่มชื้นค่อนข้างคงที่ ก็จะเห็นดินสีแดงบ้าง (ธาตุเหล็กเยอะ) ดินสีดำบ้าง (humus เยอะ) และจะเป็นพื้นที่ๆมีไม้หลากหลายชนิดขึ้นอยู่หนาแน่น มีสัตว์หลากหลายชนิดทั้งประเภทกินเนื้อ กินใบไม้ กินรากไม้ โดยเฉพาะพวกหากินกลางคืน หากเป็นพื้นที่แห้งสลับชุ่มชืัน ก็จะมักจะเป็นละเมาะไผ่รวกและไม้ออกผล เป็นป่าโปร่งที่เหมาะกับสัตว์พวกนิยมกินผลไม้และพวกที่มีเขา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 496 เมื่อ 31 ม.ค. 16, 20:21
|
|
เล่าเรื่องเดินข้ามน้ำ ทำให้นึกถึงภาพที่งดงามภาพหนึ่ง เป็นภาพของเก้งว่ายข้ามน้ำแควใหญ่
วันหนึ่งช่วงบ่ายแก่ๆ กำลังเดินทางทวนน้ำขึ้นไปปากลำขาแข้ง ช่วงที่น้ำไหลนิ่งๆระหว่างบ้านนาสวนกับแก่งยาว ก็ได้เห็นหัวของสัตว์ตัวหนึ่งกำลังลอยข้ามน้ำ เพ่งมองก็เห็นว่ากำลังพยายามว่ายข้ามน้ำอยู่ พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นายท้ายเรือก็ชลอเรือหมุนหัวเรือกลับเรือ แล้วก็หมุนเรือกลับอีกครั้งหนึ่งมาตีขนาบอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูว่าเป็นตัวอะไร อ้อ..เก้งนั่นเอง หลายคนบนเรือคิดถึงลาภปาก จะทุบ จะตี จะยิงมันก็ได้ทั้งนั้น ด้วยมันไม่มีหนทางใดๆที่จะหนีเลย มันเองก็คงจะตกใจน่าดูเหมือนกัน แต่มันก็ทำได้อย่างเดียวคือก็พยายามว่ายต่อไปหรือพยุงตัวไม่ให้จมเพียงเท่านั้น ด้วยสำนึกว่าคงเป็นเรื่องที่เราผู้เป็นมนุษย์ไม่ควรจะได้ทำร้ายเขา เอาชีวิตเขา หรือเอาเปรียบสัตว์โลกใดๆที่ไม่มีทางต่อสู้ใดๆโดยสิ้นเชิง แถมในลักษณะแบบหมาหมู่อีกต่างหาก ก็เลยปล่อยเขาให้ว่ายน้ำข้ามฝั่งต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Anna
|
ความคิดเห็นที่ 497 เมื่อ 01 ก.พ. 16, 21:37
|
|
เล่าเรื่องเดินข้ามน้ำ ทำให้นึกถึงภาพที่งดงามภาพหนึ่ง เป็นภาพของเก้งว่ายข้ามน้ำแควใหญ่
วันหนึ่งช่วงบ่ายแก่ๆ กำลังเดินทางทวนน้ำขึ้นไปปากลำขาแข้ง ช่วงที่น้ำไหลนิ่งๆระหว่างบ้านนาสวนกับแก่งยาว ก็ได้เห็นหัวของสัตว์ตัวหนึ่งกำลังลอยข้ามน้ำ เพ่งมองก็เห็นว่ากำลังพยายามว่ายข้ามน้ำอยู่ พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร นายท้ายเรือก็ชลอเรือหมุนหัวเรือกลับเรือ แล้วก็หมุนเรือกลับอีกครั้งหนึ่งมาตีขนาบอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูว่าเป็นตัวอะไร อ้อ..เก้งนั่นเอง หลายคนบนเรือคิดถึงลาภปาก จะทุบ จะตี จะยิงมันก็ได้ทั้งนั้น ด้วยมันไม่มีหนทางใดๆที่จะหนีเลย มันเองก็คงจะตกใจน่าดูเหมือนกัน แต่มันก็ทำได้อย่างเดียวคือก็พยายามว่ายต่อไปหรือพยุงตัวไม่ให้จมเพียงเท่านั้น ด้วยสำนึกว่าคงเป็นเรื่องที่เราผู้เป็นมนุษย์ไม่ควรจะได้ทำร้ายเขา เอาชีวิตเขา หรือเอาเปรียบสัตว์โลกใดๆที่ไม่มีทางต่อสู้ใดๆโดยสิ้นเชิง แถมในลักษณะแบบหมาหมู่อีกต่างหาก ก็เลยปล่อยเขาให้ว่ายน้ำข้ามฝั่งต่อไป
กดไลค์ให้ร้อยครั้งเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
walai
มัจฉานุ
ตอบ: 64
|
ความคิดเห็นที่ 498 เมื่อ 01 ก.พ. 16, 21:58
|
|
???เพิ่งจะทราบว่าเก้ง กวาง ก้อว่ายน้ำได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ เก้งน้อยโชคดีที่เจอะเจอคณะผู้มีใจเมตตา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 499 เมื่อ 02 ก.พ. 16, 19:07
|
|
เก้งเป็นสัตว์ที่มีความน่ารักอยู่ในตัวของมัน และก็เป็นสัตว์ที่ไม่ตื่นคนง่ายๆเช่นกัน ผมเห็นตัวเขาบ่อยมากๆในแทบจะทุกป่าที่เข้าไปทำงาน ในช่วงเวลาก่อนประมาณปี พ.ศ.2535 ผมยังได้พบเห็นเขานอนหลบแดดในเวลากลางวัน ไม่ต่างไปจากสุนัขเท่าใดนัก ระยะใกล้ที่สุดเท่าที่เคยเจอะเจอกันก็ประมาณ 5 -6 เมตรเท่านั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนจ้องมอง ไม่กระโจนหนีในทั้นใด ชั่วครู่หนึ่งจึงจะเบนหัวแล้วกระโดดหยองๆอย่างเร็วหลบไป
ผมใช้อาการตอบสนองของเก้งและของสัตว์อื่นๆเมื่อเราจ๊ะเอ๋กัน (เช่น ไก่ป่า ไก่ฟ้า นกเขาเปล้า นกแก้วโมง นกกะรางหัวหงอก ฯลฯ) เพื่อบ่งบอกว่าป่าที่เราเข้าไปเดินอยู่นั้นมีความบริสุทธิ์อยู่ในระดับมากน้อยเพียงใด เมื่อสัตว์ไม่เคยถูกรบกวนจากคนที่เข้ามาล่า มาส่งเสียง มาทำกิจกรรมรบกวนโสตของมัน มาทำกิจกรรมที่เบียนมัน มันก็จะยังคงเห็นคนเป็นเพื่อนสัตว์ร่วมป่าร่วมโลก (เพียงแต่มันจะเห็นเรามีรูปร่างประหลาดไม่เหมือนกับตัวมันเท่านั้นเอง กระมัง ??) มันก็เลยไม่ตื่นตระหนกตกใจ เพียงแต่รู้สึกฉงนเท่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 500 เมื่อ 02 ก.พ. 16, 19:20
|
|
ในเขตอาณาที่เรากล่าวว่าเป็นของห้วยขาแข้งนี้ ก็มีบริเวณพื้นที่ๆมีระดับของการเข้าถึงของคน (ไปกวนมัน) อยู่หลากหลายระดับ
ผมได้สัมผัสและได้เห็นทั้งพื้นที่แบบป่าบริสุทธิ์จริงๆและพื้นที่ป่าแบบเมื่อสัตว์เจอคนก็จะต้องรีบโกยหนีอย่างเดียว ทั้งแบบโกยไปตั้งหลักอยู่ห่างๆ แอบดู และแบบโกยแน่บหนีไปให้สุดๆเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 501 เมื่อ 02 ก.พ. 16, 19:52
|
|
ป่าที่เป็นธรรมชาติแบบบริสุทธิ์จริงๆนั้น หนึ่งของป่านั้นก็คือห้วยขาแข้งนี้เอง {ป่าอื่นๆก็ก็มีอาทิ ป่าแม่วงก์ (รอยต่อ จ.ตาก กำแพงเพชร และนครสวรรค์) ป่าดอยแม่คะมึง (รอยต่อ จ.แพร่ สุโขทัย และอุตรดิตถ์) ป่าดอยพญาพ่อ (ตะเข็บ จ.แพร่ กับ อุตรดิตถ์) ป่าหนันยะ-บ่อน้อย (ตะเข็บ อ.ศรีสวัสดิ์ กับ อ.ทองผาภูมิ) ป่าตามเส้นทางห้วยซงไท้-ปะชิ-ทุ่งใหญ่นเรศวร ป่าของพื้นที่ชายแดนไทยพม่าตั้งแต่ห้วยบีคลี่ (อ.สังขละบุรี กาญจนบุรี) ไปจนถึงพื้นที่ บ. บ้องตี้บน (ไม่แน่ใจว่าในปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดใด)...และอื่นๆ}
ระดับความบริสุทธิ์จริงๆนั้นเป็นอย่างไร?? ก็ขนาดเดินผ่าฝูงไก่ป่า (สองสามตัวเท่านั้นนะครับ) จนเหยียบลูกของมันตาย หรือขนาดนั่งกินข้าวอยู่ในห้วยก็มีเก้งหรือกวางเดินลงมายืนดูอยู่ในห้วย หรือนกกะรางหัวขวานบินลงมาตีดอกเห็ดโคน (เล่น) ใกล้ๆที่เรากำลังนั่งพัก ...ฯลฯ เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 502 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 17:40
|
|
ใจเร็วไปนิดนึงครับ พิมพ์เพลิน นกกะรางหัวขวานไม่มีนะครับ มีแต่นกกะรางหัวหงอก นกพวกนี้เห็นเห็ดโคนที่กำลังบานอยู่เป็นกลุ่มไม่ได้ ต้องมาลุย มาหลายตัวเสียด้วย ส่งเสียงลั่นป่าไปหมด ก็ตีให้เห็ดกระเจิงจนราบไปเกือบหมดเลย เราก็เลยเอามาเล่าเป็นเรื่องตลกไปว่า มันไม่ชอบคนที่ใส่หมวกทรงกุยเล้ยเอาเสียเลย ทุกป่าเหมือนกันหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 503 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 18:11
|
|
มาต่อเรื่อง ข้อสังเกตเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของป่ากันอีกหน่อย
ความบริสุทธิ์ของป่าขนาดสัตว์ไม่รู้จักคน ขนาดไม่เคยเห็นคนเป็นผู้ล่า (และผู้ทำลายระบบนิเวศน์ที่สำคัญของห่วงโซ่อาหารของธรรมชาติ เข้าถึงที่ใหน บรรลัยที่นั่น) ความบริสุทธิ์ในระดับนี้ ก็หมายความว่าป่านั้นยังคงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงมาก
สำหรับตัวผม ป่าประเภทนี้ จะใช้คำว่าเกือบจะไม่เคยเห็นก็น่าจะพอได้ กล่าวคือ ไม่เห็นต้นไม้ในกลุ่ม pioneer species ซึ่งก็คือพวกต้นไม้ที่มีใบใหญ่ๆที่ ขึ้นง่าย โตเร็ว เช่น ต้นปอ (ไม้ในตระกูลต้นหม่อนที่เอาใบมาเลี้ยงตัวไหมนั่นแหละ ??) หรือต้นเลี่ยน (ในพื้นที่ๆดินออกไปทางเป็นกรด)
ครับ..ตามปรกติ ป่าที่สมบูรณ์นั้น เราจะเห็นว่ามันมีต้นไม้ครบเกือบจะทุกระดับความสูง แต่เมื่อใดที่บางส่วนของพื้นที่มีต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลง มันก็จะเปิดให้แสงสว่างส่องลงมาถึงพื้น เปิดโอกาสให้ไม้บางชนิดแทรกตัวโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ครับ...หากขับรถผ่านเข้าไปในพื้นที่ๆมีการขยายทางหลวงให้กว้างขึ้น สังเกตดูก็จะเห็นต้นไม้ใบใหญ่ๆพวกนี้เกิดอยู่ตามสองฝั่งถนน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 504 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 18:44
|
|
ป่าที่มีพวกต้นไม้ pioneer species อยู่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องเป็นป่าที่ไม่บริสุทธิ์เสมอไป บางตำแหน่งพื้นที่ก็มีต้นไม้กลุ่มหนึ่งนัดกันตายเหมือนกัน ผมเคยเห็นอยู่สองพื้นที่ คือ พื้นที่ก่อนจะเข้าถึงบ้านคลิตี้ อ.ศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี และ พื้นที่ระหว่างบ้านไก่เกียงกับบ้านเกริงไกรในห้วยขาแข้ง
และอีกพื้นที่หนึ่ง ที่ต้นไม้มันนัดกันไม่เกิด ไม่โต พื้นที่นี้เรียกว่า ปอสามต้น ดูสภาพ ณ ตำแหน่งไกลหน่อยก็คล้ายกับจะเป็นพื้นที่โป่งใหญ่ พื้นที่นี้ต้องลึกเข้าไปในห้วยบีคลี่ เข้าไปลึกเลยทีเดียว ช่วงที่ผมเดินเข้าไปนั้น มีชาวบ้านหลายคนขอร่วมเดินเข้าไปด้วย ถามเขาก็ได้ความว่า ไม่เคยเข้าไปกัน ไม่กล้าเพราะเป็นป่าใหญ่ วังเวงน่ากลัว และกลัวหลง (ห้วยบีคลี่เป็นแยกหลักของต้นน้ำแควน้อย ก่อนจะมารวมกับห้วยซองกาเรียและห้วยรันตี ที่ อ.สังขละบุรี กาญจนบุรี) แต่ผมไม่อนุญาต ด้วยเห็นว่าคณะใหญ่เกินไป การกินการอยู่จะลำบาก และเพราะเป็นการหากินเอาดาบหน้าอีกด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 505 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 19:01
|
|
การเดินของผมในครั้งนี้ ไม่ได้ใช้ช้างช่วยขนของใดๆ คณะมีด้วยกัน 8 คน ทุกคนต้องช่วยกันแบกสัมภาระและอาหาร ซึ่งก็จะเอาตัวรอดได้ประมาณ 7 วัน
ครับ...คณะคน 8 คน ช่วยแบกสัมภาระและอาหารเอง จะอยู่ได้อย่างค่อนข้างสุขสบายประมาณ 7 วัน เป็นตัวเลขและระยะเวลาที่ดูจะเป็น norm สำหรับการทำงานที่ได้ผลงานดีที่สุด ผมเคยอยู่นานกว่านั้น เหนื่อยเลยครับ พบว่าต้องใช้เวลาและสมาธิค่อนข้างมากไปในเรื่องของกิจกรรมเกี่ยวกับการหาอาหาร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 506 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 19:30
|
|
ได้กล่าวถึงเรื่องต้นไม้ใหญ่ที่ตายหรือไม่ขึ้นอยู่ในป่า จนกลายเป็นบริเวณพื้นที่โปร่ง ซึ่ง..หลายกรณีเป็นเรื่องของการตั้งใจกระทำให้ต้นไม้นั้นๆตาย ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความต้องการนำไม้ต้นนั้นมาใช้สอย หรือนำมาขาย
เป็นเรื่องที่ใช้เวลาหน่อย เริ่มด้วยการพยายามทำให้มันตาย แล้วก็พยายามทำให้มันล้มคาอยู่ในป่า พอมันเริ่มเก่า กร่อนไปจนถึงระดับหนึ่ง จากนั้นก็ขออนุญาตชักลากนำไม้ตาย ไม้ค้างป่าออกมาใช้สอย
หลายกรณีก็เป็นเรื่องการโค่นต้นไม้เพื่อเอาตัวตะกวด (ตัวแลน) ที่มันหนีสุนัขขึ้นต้นไม้ไปนอนหลบอยู่บนง่ามไม้
ตัวแลนนี้มันก็ฉลาดนะครับ มันจะปีนต้นไม้ไปนอนอยู่บนง่ามไม้ ซึ่งชาวบ้านก็มีวิธีการเอาตัวมันลงมาทำอาหารกินสองแบบ คือ โค่นต้นไม้ หรือไม่ก็ยิงมัน แต่ก็อีกแหละ หากยิงมัน มันก็จะตายคาอยู่บนง่ามไม้นั้น ซึ่งก็ยังหนีการโค่นต้นไม้ไปไม่ได้
(นกแก้วใช้วิธีใช้ปากเกี่ยวกิ่งไม้ไว้เมื่อถูกยิง ห้อยต่องแต่งจนกว่าลมจะพัดแรงๆจนหลุดตกลงมา กรณีนกแก้วนี้ไม่มีการใช้วิธีโค่นต้นไม้ครับ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 507 เมื่อ 03 ก.พ. 16, 19:40
|
|
ตัวแลนนี้เอามาทำอาหารอร่อยนะครับ เนื้อขาวยังกะเนื้อไก่ แถมยัง chewy เหมือนเนื้อไก่บ้านอีกต่างหาก ไร้คาวพอที่จะหลอกได้ว่าเป็นเนื้อไก่บ้านได้ (หากไม่เห็นลายหนังของมัน) เนื้อส่วนที่เป็นบ้องตัน (ส่วนหาง) เป็นส่วนที่ทุกคนจะชอบมากที่สุด อาหารที่นิยมทำกันก็มีทั้งผัดเผ็ดและแกงเผ็ด ผมเคยทำไปไกลถึงต้มเป็นแกงจืด
ตัว Varanus ก็ไม่ต่างกันไปมากเท่าไรนักหรอกครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 508 เมื่อ 04 ก.พ. 16, 09:18
|
|
ตัว Varanus ก็ไม่ต่างกันไปมากเท่าไรนักหรอกครับ Varanus วรานัส หรือ น้องวรนุชตามลิ้นของคนไทย ตัวนี้คุณตั้งคงหมายถึง ตัวเงินตัวทอง ความจริงตะกวดหรือแลนก็เป็นสมาชิกของสกุล "วรนุช" เหมือนกัน ขอทำความเข้าใจก่อนว่า สัตว์ในสกุลเหี้ย Varanus ในเมืองไทยมีอยู่ด้วยกัน ๖ ชนิด คือ
๑. เห่าช้าง Varanus rudicollis ๒. เหี้ยดำ Varanus salvator komaini ๓. เหี้ยลายดอก (ตัวเงินตัวทอง) Varanus salvator ๔. ตะกวด (แลน) Varanus bengalensis ๕. ตุ๊ดตู่ Varanus dumerilii ๖. แลนดอน Varanus flavescens จะเอารูปมาประกอบ ก็เกรงใจท่านอาจารย์ใหญ่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 509 เมื่อ 04 ก.พ. 16, 18:23
|
|
ใช่ครับ ตัวเหี้ยนั้นแหละครับ
สำหรับตัวเห่าช้างนั้น เคยได้ยินชาวบ้านในพื้นที่ย่าน อ.ไทรโยค กล่าวถึงชื่อนี้เหมือนกัน แต่ผมไม่คิดว่าจะมีมันอยู่ในพื้นที่นี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|