naitang
|
ความคิดเห็นที่ 450 เมื่อ 13 ม.ค. 16, 18:29
|
|
ลูกปืนลูกซองที่ชาวบ้านผู้นิยมเข้าป่าเลือกซื้อก็จะต้องเป็นชนิดที่ใช้ปลอกพลาสติก เพราะว่ามันสามารถเอามาใช้ใหม่ได้ โดยการเปลี่ยนแก๊ปจุดระเบิดที่ก้นลูกที่ใช้แล้ว (ก็คือการ rebuilt แบบทำเองน่ะครับ) สำหรับดินปืนที่ใช้ขับลูกปืนก็เป็นดินปืนของปืนแก็ปแบบชาวบ้านนั่นเอง
กรณีชาวบ้านที่นิยมจะดำรงตนเป็นพราน นอกจากจะพกพาลูกปืน rebuilt ที่ทำเองนี้แล้ว ก็จะพกลูกปืนขนาด SG (ไม่นิยมลูก LG) ลูกเบอร์ 4 (ไม่นิยมลูกเบอร์ 3) และลูกโดด อย่างน้อยก็ชนิดละ 1 ลูก ลูก SG นั้นใช้สำหรับสัตว์ตัวใหญ่ที่มีหนังบางและป้องกันตัว (โดยเฉพาะกับเสือ) ลูกเบอร์ 4 ก็ใช้สำหรับพวกสัตว์ปีกที่บินได้ทั้งหลายและป้องกันตัวโดยทั่วๆไป (เช่น พวกงู ) และลูกโดดก็ใช้สำหรับสัตว์ที่มีหนังหนาทั้งหลาย (เช่น หมูป่า กระทิง...)
ครับ.. ก็ลงลึกไปอีกหน่อยก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ภาพที่เราได้พบเห็นนั้นมันบอกเรื่องราวได้อย่างมากว่าอะไรเป็นอะไร ตั้งแต่ตัวชาวบ้านเองไปจนถึง connection ต่างๆที่เขามีกับคนภายนอก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 451 เมื่อ 13 ม.ค. 16, 19:08
|
|
ผมจะไม่ลงลึกลงไปในรายละเอียดมากกว่านี้นะครับ
สำหรับตัวผมเองนั้นทำงานอยู่ในพื้นที่ๆมีอันตรายค่อนข้างจะสูงมากทั้งจากคนและสัตว์ ความอยู่รอดของผมจึงอยู่บนหลักที่ว่า "รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง" ตัวผมจึงเก็บรายละเอียดลึกลงไปในทุกๆเรื่องอย่างค่อนข้างจะละเอียดยิบ เช่น กรณีของเรื่องปืนนี้ ผมจะดูไปถึงยี่ห้อและรุ่นของปืน ดูไปถึงบุคคลที่ถือปืน (เช่น เสื้อผ้า การแต่งกาย บุหรี่ การสูบบุหรี่ การทิ้งขี้บุหรี่ ภาษา สำเนียง รอยพื้นรองเท้า.....) ฯลฯ ซึ่งก็ได้ใช้และเป็นผลทำให้ผมอยู่รอดจากสถานการณ์ปากเหยี่ยวปากกามาได้ตลอดมา นึกย้อนกลับไปแล้วก็ให้รู้สึกเสียวใส้อยู่เหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 452 เมื่อ 13 ม.ค. 16, 19:33
|
|
กลับมาเรื่องของห้างต่ออีกสักนิดนึง
เล่าแต่ถึงเรื่องห้างที่ไปขัดอยู่บนต้นไม้ในพื้นที่โป่ง ครับ..ก็ยังมีห้างที่ไปขัดเพื่อนั่งสัตว์อยู่ ณ ที่จุดอื่นๆอีกด้วย ห้างพวกนี้ค่อนข้างจะพบได้บ่อยครั้ง พบเห็นเมื่อใดก็ให้แหงนมองต้นไม้ที่มีห้างขัดอยู่นั้น หรือไม่ก็มองหาไปรอบๆใกล้ๆแถวๆนั้นว่า มีต้นไม้อะไรบ้างที่มีการออกดอกออกผล หรือไม่ก็มองลงดินว่ามีผลหรือเมล็ดของต้นอะไรตกอยู่บ้าง
ห้างแบบที่กล่าวถึงนี้ เกือบทั้งหมดจะเป็นห้างที่ขัดไว้ในบริเวณที่มีต้นมะกอกป่า และซึ่งก็จะมีจุดประสงค์เพื่อยิงเก้งและกวางเท่านั้น เพราะสัตว์ทั้งสองชนิดนี้ชอบกินมะกอก
บางครั้งเราก็อาจจะเห็นมีห้างที่ขัดไว้บนตัวต้นมะกอกนั่นเอง ซึ่งการนั่งห้างบนต้นมะกอกนี้มักจะไม่ประสบผลสำเร็จในการยิงเนื้อ เพราะว่ามันเป็นการยิงในท่ายิงที่ไม่มั่นคง (ลักษณะของยิงกดลงใต้โคนต้นไม้) และเป้าในการยิงเป็นลักษณะของเป้าแคบ ซึ่งยิงพลาดได้ง่าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 453 เมื่อ 13 ม.ค. 16, 20:02
|
|
ภาพของห้างและต้นมะกอกที่ยังติดตาผมอยู่ในพื้นที่ห้วยขาแข้ง ก็คือพื้นที่ๆเรียกว่าทุ่งมะกอก อยู่ทางฝั่งตะวันตกของห้วยขาแข้งในพื้นที่ของบ้านหนองม้า ?? (จำไม่แม่นเสียแล้วครับ) เดินสูงขึ้นไปจนถึงขอบของสันแบ่งเขตพื้นที่รับน้ำ (catchment area)ระหว่างห้วยขาแข้งกับห้วยองก์ทั่ง เมื่อข้ามสันแบ่งตรงประตูหิน (เป็นช่องทางด่านสัตว์ที่เดินผ่านระหว่างโขดหินสองด้าน) ก็จะเข้าสู่ทุ่งที่มีต้นมะกอกป่าอยู่หลายต้น
ทุ่งมะกอกนี้ทำให้ผมและคณะได้ลุ้นกับการหนีรอดจากสภาพของคำว่า ไฟลามทุ่ง (ไม่วิกฤติหนอกครับ แต่ก็ต้องลุ้นกันน่าดู)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 454 เมื่อ 13 ม.ค. 16, 20:58
|
|
เข้ามาอ่านทีไร ต้องไล่อ่านกระทู้นี้ครบทุกตอนทุกครั้งครับ ชอบมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 455 เมื่อ 14 ม.ค. 16, 18:40
|
|
ขอบคุณครับ
หากเป็นการนั่งสนทนากัน ผมคงเล่าในรายละเอียดแบบลงลึกได้มากกว่านี้อีก ที่เขียนอยู่บนกระดานนี้ ผมต้องใช้ความระมัดระวังค่อนข้างมาก เพราะเรื่องราวที่กล่าวถึงมันเป็นข้อสนเทศแบบ +ve สำหรับเหรียญทั้งสองด้าน คือมันเป็นบวกให้กับทั้งด้าน constructive และ กับด้าน destructive
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 456 เมื่อ 14 ม.ค. 16, 19:56
|
|
ไฟลามทุ่งที่กล่าวถึงนั้น เกิดมาจากความหวังดีของชาวบ้านป่าในคณะของผมนั่นเอง
ครับ...ช่วงเวลาประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงประมาณต้นเดือนเมษายน เป็นช่วงเวลาที่พื้นที่ในภาคเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของไทยจะมีอากาศแห้งและปลอดฝน ชาวบ้านจะนิยมเผาหญ้าหรือเศษไม้ที่ถากถางในช่วงหนาวที่กองตากไว้จนแห้ง (ในพื้นที่ๆใช้สำหรับการเกษตร) ชาวบ้านเขาใช้ช่วงเวลานี้ก็เพราะว่า การเผานั้นจะต้องหมดเกลี้ยงไปในครั้งเดียว หากยังมีความชื้นหรือฝนตกลงมาจนทำให้การเผาได้ไม่เกลี้ยง กองเศษหญ้าเศษไม้นั้นก็จะตกค้างให้เห็นโทนโท่อยู่ข้ามปีไปเลย
นี่แหละครับ คือต้นเหตุหนึ่งที่สำคัญของการเกิดสภาพท้องฟ้าครึ้ม ไม่มีแดดส่องทะลุ ที่เราเรียกกันว่า ฟ้าหลัว หมอกควัน หมอกแดด หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Haze
ภาพโดยรวมของช่วงเวลาดังกล่าวนี้เป็นดังนี้ครับ มันเป็นช่วงเวลาของสภาพอากาศในพื้นที่ๆยังคงมีความเย็น (ช่วงเช้าและเย็น) ซึ่งหมายความว่ายังมีมวลของอากาศเย็นครอบคลุมอยู่ เมื่อมวลของอากาศเย็นซึ่งมีความหนาแน่นสูง(มากกว่ามวลของอากาศที่อุ่นกว่า)ยังคลุมอยู่ในพื้นที่ ก็หมายความว่าบรรดาฝุ่นควันที่ฟุ้งลอยอยู่นั้นไม่สามารถลอยทะลุขึ้นไปในชั้นอากาศที่สูงได้ ก็เลยคลุ้งอยู่อย่างที่เราเห็นเป็นหมอกควันนั้นแล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 457 เมื่อ 14 ม.ค. 16, 20:34
|
|
ในปัจจุบันนี้ เรามักจะได้รับข่าวสาร(ในช่วงเดือนดังกล่าว)ว่า หมอกควันที่เกิดหนาแน่นในภาคเหนืออยู่นั้น เกิดมาจากการเผาป่า (รวมการเผาในไร่) และการเผาหญ้าและเศษไม้จากการถากถางทำไร่เลื่อนลอยเพิ่มเติม
ในประสบการณ์ในการเข้าป่าเข้าดงในหลากหลายพื้นที่ของผม เท่าที่ได้พบเห็นมา ผมเห็นว่า ในอดีตสมัยที่ผมยังต้องเดินป่าเดินดงอยู่นั้น เหตุดังกล่าวที่อ้างถึงนั้นนั้นเป็นเรื่องหลักและเป็นเรื่องจริง แต่ในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยจะแน่ใจนัก ครับ...ก็ในเมื่อพื้นที่ป่าทั้งหมดที่มีอยู่ทั้งหลายนั้น มันเป็นพื้นที่ป่าในเขตหวงห้ามของรัฐที่มีส่วนราชการเฉพาะทางเขาดูแลอยู่ มีทั้งหน่วยที่ตั้งอยู่ในพื้นทื่คอยดูแล มีทั้ง จนท.ที่มีอาวุธทันสมัยคอยเดินตรวจตรา มีทั้งกฎหมาย(หลายฉบับ)ที่มีบทลงโทษทั้งทางแพ่งและอาญาบังคับใช้ มีนักวิชาการที่ร่ำเรียนมาเฉพาะทางมากมาย จะกระไรอยู่ที่จะปล่อยให้เกิดต้นเหตุแห่งหมอกควันดังที่ได้กล่าวอ้างถึงอยู่เสมอๆได้หรือ ??
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 458 เมื่อ 15 ม.ค. 16, 19:06
|
|
ที่ทุ่งมะกอกนั้น เมื่อได้เห็นรอยเก้งเต็มไปหมดที่ใต้ต้นมะกอกต้นหนึ่ง ทุกคนในคณะก็นึกถึงเรื่องเดียวกันหมด คือ คงจะต้องจุดไฟเผาหญ้าที่สูงรกอยู่นั้นให้เตียน เพื่อเปิดโอกาสให้หญ้าระบัดแตกใบออกมาเมื่อมีฝนแรกโปรยลงมา เพื่อเก้งและสัตว์อื่นในพื้นที่แถวนั้นจะได้มีหญ้าอ่อนแทะเล็มกินกัน
ก็รอจนกระทั่งช้างสองตัวที่บรรทุกของเดินข้ามทุ่งไปไกลจนใกล้จะถึงห้วยที่จะตั้งแคมป์นอนสำหรับคืนนั้น ยังไงๆเสียไฟก็จะไม่ลามข้ามฟากห้วยแน่ๆ พอได้เวลาที่พอเหมาะก็เริ่มจุดไฟเผาหญ้า แล้วก็รีบเดินตามช้างไป
(ในความเห็นและสภาพจากสายตาของผมนะครับ) อะฮ้า...ลืมนึกถึงภาษิตของชาวบ้านที่ว่า "ใกล้ตาแต่ไกลตีน" ไอ้ร่องห้วยที่เห็นว่าไม่ไกลนักนั้น แท้จริงแล้วมันก็ไม่ใช่ ที่กะว่าช้างจะเดินไปถึงห้วยก่อนที่ไฟจะลามไปทันก็ดูท่าทางจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว เราเดินหนีไฟตามไปจนทันช้างแล้วก็ยังไม่ถึงห้วย (แต่ก็ใกล้เต็มทีแล้ว) ไฟก็ใหม้ลามตามมาอย่างกระชั้นชิด เข้าสู่สภาพใกล้วิกฤติ
แต่ชาวบ้านและควาญช้างก็ดูจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อน เขาก็ทำเพียงไสช้างให้มันเดินเร็วขึ้นอีกนิดนึง ไม่ให้มันโอ้เอ้ใช้งวงสำรวจตรวจสอบอะไรมากนัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 459 เมื่อ 15 ม.ค. 16, 19:45
|
|
จะว่าไปว่าดูเขาไม่ทุกข์ร้อนก็ไม่ได้เสียทีเดียว เขาก็ลุ้นกันอยู่เหมือนกันว่าจะข้ามไปยังอีกฝั่งห้วยทันไฟที่จะลามมาหรือไม่
ผมเองซึ่งพอจะมีประสบการณ์และพอจะรู้จักกับภูมิปัญญาของชาวบ้านเป็นพื้นเดิมบ้างอยู่แล้ว ก็ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า ที่ว่าชาวบ้านเขาทำการจุดไฟเผาป่านั้น เขามีการประเมินความเร็วของการลุกลามของไฟรวมทั้งพื้นที่ๆมันจะลุกลามไปถึงอีกด้วย หรือในอีกนัยหนึ่ง คือ เขาจะมีการประเมินและจะจำกัดความรุนแรงและความเสียหายมิให้เกินขอบเขตจนเป็นอันตรายย้อนกลับมาถึงตัวเขาและทรัพย์สินของเขา
ลองพิจารณาดูนะครับ ทุ่งโล่งที่มีหญ้ายืนต้นตายกับทุ่งที่มีแต่หญ้าใบแห้ง , หรือพื้นที่ของดงไผ่รวก , ดงไผ่หนาม , ดงไผ่ผาก , ดงไผ่ข้าวหลาม , ดงไม้ไร่ , ดงไผ่เพ็ก , ดงที่ไผ่กำลังออกดอกออกขุย , พื้นที่ป่าไม้เหียง ไม้พลวง , ...ฯลฯ เหล่านี้..จะให้ลักษณะของการลุกลามและความกว้างของพื้นที่แตกต่างกันไปอย่างใดบ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 460 เมื่อ 15 ม.ค. 16, 20:31
|
|
ในอีกมุมหนึ่งการจุดไฟเผาป่าของชาวบ้านนั้น เขากระทำแบบมีการเลือกจะกระทำ (selective) นะครับ คือกระทำตามลักษณะจำเพาะ (criteria) ที่ถูกถ่ายทอดต่อๆมา (โดยไม่รู้ถึงเหตุผลทางวิทยาศาสตร์)
พื้นที่ป่าที่มีการเผาเป็นประจำ(เกือบจะ)ทุกปี เกือบจะทุกแห่งจะเป็นผืนดินที่ดินมีสภาพเป็นกรด เถ้าถ่านจากการเผาทั้งหมดมีความเป็นด่าง ดังนั้น เมื่อฝนตกโปรยลงมาก็จะทำให้เกิดการผสมระหว่างกรดกับด่าง ทำให้ผืนดินในองค์รวมเกิดสภาพใกล้เป็นกลาง จึงเหมาะกับพืชไร่ที่ชาวบ้านในแถบละติจูดของเราปลูกเพื่อใช้เป็นอาหารและเพื่อขายหารายได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 461 เมื่อ 16 ม.ค. 16, 18:45
|
|
ด้วยวันนี้เป็นวันครู วันนี้ผมจึงจะขอเว้นเรื่องราวของกระทู้นี้ไปหนึ่งวันนะครับ
ผมจะขอไปเปิดกระทู้สั้นๆเพื้่อฉายภาพในอดีต (และที่ใกล้กับปัจจุบัน) ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของครู และการศึกษาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไกลปืนเที่ยง(หลายพื้นที่)เท่าที่ผมเคยประสบพบเห็นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 462 เมื่อ 17 ม.ค. 16, 19:15
|
|
อาจจะสงสัยว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าดินมีสภาพเป็นกรด ก็จะขออธิบายอย่างง่ายนะครับ
ตัวเนื้อดินที่เราเหยียบย่ำกันนั้น ผสมผสานคละเคล้าไปด้วย_สารประกอบที่เป็นอนินทรีย์เคมี ที่มาจากหินและแร่ธาตุที่ถูกย่อยลงมาจนเป็นเม็ดเล็กๆ และ_สารประกอบที่เป็นอินทรีย์เคมี ที่มาจากเศษซากของสิ่งมีชีวิต
ดินที่มีสภาพเป็นกรดนั้น โดยหลักก็คือดินทรายที่เกือบจะไม่ปรากฎเศษซากของสิ่งมีชีวิตปนอยู่ในเนื้อดิน ดินพวกนี้มักจะมีความพรุน (porosity)สูง เทน้ำลงไปก็จะซึมผ่านหายไปอย่างรวดเร็ว (ดังเช่นดินในหลายพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเรา) ไม้ยืนต้นที่ขึ้นอยู่ในพื้นที่ลักษณะนี้จะเป็นพวกไม้มีเปลือก (bark) หนา การดูดินว่ามีสภาพเป็นกรดหรือไม่ในเบื้องแรก จึงอาศัยการดูจากตัวเนื้อดินและลักษณะของต้นไม้ครับ
ผมจะขอไม่เข้าไปในรายละเอียดในเรื่องของดินนะครับ เพราะน่าจะมีข้อสงสัยตามมาเยอะเลยทีเดียว เช่น ในเรื่องสีต่างๆของดิน เรื่องของดินดีหรือไม่ดี ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นเรื่องที่ต้องอธิบายด้วยวิชาการทาง Geochemistry ที่อยู่บนพื้นฐานของกระบวนการทางเคมี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 463 เมื่อ 19 ม.ค. 16, 19:01
|
|
กลับมาเรื่องโป่งอีกสักนิดนึงครับ
โป่งเทียม คิดว่าคงจะเคยได้ยินชื่อนี้กันนะครับ ก็มีหลายคนคิดว่าทำง่ายๆด้วยการเอาเกลือไปโรยไว้บนดิน นัยว่าเป็นการชักชวนให้สัตว์เข้ามากิน เพื่อจะได้เห็นตัวมันในเวลาค่ำคืน หรือไม่ก็เป็นการสัพยอกกันในกลุ่มคนที่เดินป่าไปด้วยกัน คือไปฉี่ครับ
โป่งเทียมนั้น ผมรู้แต่เพียงว่าในต่างประเทศเขาใช้แท่งเกลือวางไว้เพื่อให้สัตว์ได้เข้ามาแทะเล็ม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมผืนดิน แต่ไม่รู้ว่าเขานิยมหรือเลือกใช้แท่งเกลือที่ทำขึ้นมา (artificial salt bar) หรือใช้แท่งเกลือหินที่ได้มาจากการทำเหมืองเกลือ (rock salt)
แท่งเกลือทั้งสองชนิดนี้จะมีความแตกต่างกันอย่างมากเลยทีเดียว ชนิดที่ทำขึ้นมานั้นจะอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมายนอกเหนือไปจากเกลือ (NaCl) ที่ให้แต่ธาตุโซเดียมและมีรสเค็มเพียงอย่างเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 464 เมื่อ 19 ม.ค. 16, 19:30
|
|
โป่งเทียมที่เราทำขึ้นนั้น มิใช่ว่าสัตว์จะลงมากินในคืนนั้นอย่างทันใด หรือต่อจากนั้นไปอีกนานเพียงใดที่มันจะมากิน มันมีองค์ประกอบหลายๆอย่างที่สัตว์จะแวะมาเลียกิน อาทิ สภาพป่า มีพืชหรือไม้มีผลในพื้นที่หรือไม่ ใกล้หรือไกลจากแหล่งน้ำ ใกล้หรือไกลจากทางด่านและทางด่านนั้นเป็นทางด่านหลักหรือทางด่านรองหรือของสัตว์พวกใหน ?? ...
ผมเองก็ทำไว้หลายแห่งในพื้นที่ๆเดินสำรวจ มิได้หวังผลอะไรมากนัก ก็เพียงหวังว่าจะมีสัตว์บางชนิดลงมาใช้ประโยชน์บ้างในภายหลัง ผมใช้เกลือทะเลแต่ละแห่งประมาณหนึ่งถึงสองกำมือเท่านั้น
เกลือทะเลที่ผมขนเข้าไปในป่าด้วยนั้น เป็นปริมาณประมาณครึ่งกระสอบปุ๋ยเท่านั้น ก็เอาไว้แบ่งปันให้ชาวบ้านที่เจอะเจอในระหว่างเดินในเส้นทางการสำรวจ สมัยนั้น เกลือทะเลของ จ.สมุทรสงคราม ราคากระสอบ (ปุ๋ย) ละประมาณ 11 บาท เพียงกำมือสองกำมือก็ใช้สร้างมิตรภาพได้แบบถึงรากถึงโคนอย่างมหาศาลเลยทีเดียวครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|