เอกสารหลักฐานทางประวัติสาสตร์ ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติแสดงให้เห็นว่า ในกระบวนการวินิจฉัยของราชสำนักสยามนั้น ไม่เพียงแต่จะเป็นการพิจารณาจากหลักฐานเอกสารที่รัฐบาลอินเดียทำสำเนาส่งมา ซึ่งทางอินเดียและอังกฤษเองก็มีกระบวนการพิสูจน์ที่ละเอียดยิ่ง แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระชินวรวงศ์ ภิกษุ (อดีตพระองค์เจ้าปฤษฎางค์) ซึ่งจาริกแสวงบุญอยู่แถบประเทศศรีลังกาและอินเดียในขณะนั้น เดินทางไปตรวจสอบหลักฐานถึงถิ่นที่ค้นพบ โดยเฉพาะจารึกโบราณ อันเป็นหลักฐานสำคัญที่ระบุว่า พระอัฐิธาตุที่พบเป็นของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หลักฐานทุกอย่างที่ได้รับจากรัฐบาลอินเดีย และจากพระชินวรวงษ์ ถูกนำสู่ที่ประชุมเสนาบดี ซึ่งหลายท่านเชี่ยวชาญทั้งทางพุทธประวัติ ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี รวมไปถึงความสามารถในการวิเคราะห์อักษรพราหมี ซึ่งเป็นอักษรโบราณสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นำโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เพื่อถกเถียง แลกเปลี่ยนความเห็น และตรวจสอบหลักฐานร่วมกันอย่างละเอียด
ขอเรียงลำดับใหม่
1 พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เดินทางจากศรีลังกาไปอินเดีย
2 ระหว่างอยู่อินเดียท่านพบโบราณวัตถุมากมาย ท่านก็ซื้อบ้าง ได้รับฟรีๆ(คนแบ่งปันมาให้) บ้าง
3 ท่านทำหนังสือกราบทูลสมเด็จวังบูรพา เพื่อจะมีทุนซื้อวัตถุงามๆพวกนี้ต่อไปอีกมาก
4 ท่านได้เงินก้อนใหญ่จากสมเด็จ
ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นเมื่อท่านอยู่ในอินเดียแล้ว
ต่อ ๕ นะครับ ผลงานของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ดังกล่าว เป็นที่พอพระราชหฤทัย จนโปรดเกล้าให้กลับมาช่วยสมณกิจสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส
๖ ต้น ค.ศ. ๑๙๐๐ ได้กลับมาลังกา แล้วเตรียมตัวจะกลับกรุงเทพ แต่ได้รับโทรเลขจากเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศผ่านกงสุลสยามในโคลัมโบว่า จะเข้าไปแบบเป็นพระไม่ได้ เพราะต้องปาราชิกแล้ว จึงยกเลิกแผนที่จะกลับ
ฉะนั้น การเรี่ยไรของเจ้าพระยาพิพัฒน์และการรอคอยเงินค่าเดินทาง คงอยู่ในระหว่างข้อ ๖ นี้