สแตงเกลได้รับคำสั่งให้ไปเป็น ผบ. ค่ายเทรบลิงก้าในปลายเดือนสิงหาคม 1942 ในการสัมภาษณ์ก่อนเสียชีวิตไม่นาน สแตงเกลเล่าว่า ในวันที่เดินทางไปถึงเป็นครั้งแรก ยังไม่ได้ไปรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ สิ่งที่เห็นน่าสยดสยองที่สุดในชีวิต เปรียบเหมือนเรื่อง Inferno ของดังเต้ (inferno ของดังเต้เป็นยังไง ฝากท่านอาจารย์ทั้งหลายด้วยครับ

) เพราะที่โซบิบอร์ มีเฉพาะคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสังหารและขนศพเท่านั้นที่จะเห็นภาพฉากการตาย เพราะห้องประหารถูกซ่อนไว้อย่างดีในป่า คนนอกหรือผู้ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องจะไม่ได้เห็นอะไรเลย เจ้าหน้าที่และคนงานจำนวนมากไม่เคยเห็นคนตายหรือซากศพด้วยซ้ำ
ในวันแรกที่เดินทางไปที่เทรบลังกา สแตงเกลได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมาในรถตั้งแต่ระยะทางยังเหลืออีกหลายกิโลกว่าจะถึงค่าย สแตงเกลเห็นซากศพทั่วไปตามทางรถไฟตั้งแต่ระยะห่างของการขับรถจากค่าย 15-20 นาที จากไกลหน่อยก็น้อยหน่อย ทีละศพสองศพ แต่เมื่อรถเข้าใกล้มากขึ้น จำนวนศพที่พบก็มากขึ้นตามไปด้วย จนถึงจุดที่ชาวยิวลวจากรถไฟ มีศพเป็นร้อยกองกันอยู่ กำลังเน่าอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว มีตู้รถไฟที่ยังมีทั้งคนยิวที่ยังมีชีวิต กับที่ตายแล้วขังแน่นอยู่ภายใน รอการกำจัด
เมื่อเข้าไปในค่าย มีกองเสื้อผ้า ทรัพย์สินของชาวยิวกองอยู่ระเกะระกะไปทั่ว มีศพที่รอการจัดการระเกะระกะอยู่ทั่วไปหมด สแตงเกลเห็นยามชาวยูเครนในสภาพเมาปลิ้นอยู่กับโสเภณีในเต็นท์ บ้างเต้น บ้างร้องเพลง มีเสียงปืนดังไปทั่ว หลังจากเยี่ยมชมค่ายอยู่หลายชั่วโฒง สแตงเกลเดินทางไปวอร์ซอว์ทันทีเพื่อรายงานกับหัวหน้าตำรวจในโปแลนด์ อมนุษย์นายพลโอดิโล โกลบอคนิค
โกลบอลนิคผู้นี้ มีบทบาทชั่วร้ายมากมาย เป็นคนประเภทหาข้อดีให้จดจำไม่ได้เลย มีแต่ความชั่วล้วนๆ หลังสงครามถูกจับตัวได้และกินยาพิษฆ่าตัวตาย พระในโบสถ์ใกล้เคียงปฏิเสธที่จะให้ศพของโกลบอลนิคถูกฝังในพื้นที่โบสถ์ ต้องเอาไปฝังนอกรั้วในหลุมศพที่ไม่มีป้ายชื่อ แต่ก็ยังมีตำนานเล่าขานว่าหมอนี่หลบหนีไปได้เช่นกัน ชะตากรรมที่แท้จริงของอมนุษย์ตนนี้จึงยังคงเป็นปริศนา