เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 16533 ระลึกชาติ
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 09:41

หลวงตาบัว หรือที่คนรุ่นผมจะเรียกว่าท่านอาจารย์มหาบัวนั้น ท่านด่าคนเก่งมาก บางครั้งก็ด่าเอาแรงๆด้วย ท่านว่านิสัยนี้เป็นวาสนาของท่าน ท่านด่าไปตามเหตุ จบแล้วจบกัน ท่านไม่นำมาเป็นอารมณ์
(อารมณ์ภาษาพระแปลว่าสิ่งที่จิตไปกระทบเข้า ไม่ใช่กิริยาของจิตที่ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า emotion )

เคยได้ยินพระรุ่นโบราณ บางท่านใช้ภาษาแบบไทยเดิมเพื่อตอบคำถามญาติโยม  ได้ยินแล้วคนสมัยนี้น่าจะตกใจ เช่น

โยมถามว่า "ถ้าผมบวชจะได้เป็นพระอรหันต์ไหม ?"

ท่านเมตตาตอบว่า  "  "โค-ตะ-ระ-บิดา  โค-ตะ-ระ-มารดา คุณ(โปรดย้อนไปถึงภาษาในสมัยพ่อขุนรามขึ้นต้นด้วย ม.ม้า ) บวชเอง แล้วฉัน(โปรดย้อนไปถึงภาษาในสมัยพ่อขุนรามขึ้นต้นด้วย ก.ไก่ ) จะรู้ได้อย่างไร..!.... "  อย่างนี้เป็นต้น

ก็เป็นการทดสอบศิษย์ไปในตัวครับ ว่าจะทนรับการทดสอบได้มากน้อยแค่ไหน

บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 09:52


ทำให้มีความทรงจำในอดีตชัดเจนในอดีตแค่ช่วงหนึ่งแล้วก็ค่อยๆหายไป อีกอย่างในทางพุทธศาสนาต้องบำเพ็ญหลายภพชาติกว่าจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกที ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะตาย
แล้วได้กลับมาเกิดในทันที

อันนี้กรณีเช่นของเจ้าหนูไรอัน ส่วนในกรณีแบบถ้าย้อนไปนานๆคงเป็นแบบจิตวิญญาณนั้นยังคงวนเวียนอยู่ยังไม่ถึงเวลาหมดกรรมในชาตินี้ เลยรอส่งต่อผลกรรมให้แด่ดวงวิญญาณที่จะเกิดมาในชาตินี้ ดวงวิญญาณนั้นจึงจุติมาเพื่อทำให้จิตวิญญาณบริสุทธิ์ในชาตินี้ ชาติหน้าจะได้เกิดมาเป็นดวงวิญญาณที่บริสุทธิ์
ส่วนดวงวิญญาณที่มาจุติอย่างบริสุทธิ์ในชาตินี้ มีหน้าที่ขัดเกลาให้จิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ขึ้นในชาตินี้เพื่อได้พบนิพพานในชาติหน้าก็เป็นได้ครับ

มีหลายกรณีครับ ที่คนที่ระลึกชาติได้ เกิดทันทีหลังจากตาย บางคนบอกว่าออกจากร่างเดิมแล้ว เดินโซซัดโซเซ ไปเจอบ้านหลังใหม่ จากนั้นก็หมดความรู้สึก(จิตเข้าไปในครรภ์) แล้วก็มาเกิดเป็นคนเล่าเรื่องให้ฟังแบบนี้


ดวงจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าว่ากันตามตรง ก็ต้องนิพพานไปหมดแล้วล่ะครับ ถ้าหมายถึงดวงจิตของเด็ก ตรงนั้นแค่กิเลสน้อยกว่าผู้ใหญ่แค่นั้นเองครับ ไม่ได้บริสุทธิ์ทั้งหมด
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 10:03

      เป็นไปได้ไหมครับที่เรื่องการกลับชาติมาเกิด อาจเกิดจากการที่ดวงวิญญาณหนึ่งซึ่งเป็นจิตที่เพิ่งออก
จากร่าง เดินทางสวนกับจิตวิญญาณหนึ่งซึ่งกำลังมาจุติลงในร่าง
        อีกอย่างในทางพุทธศาสนาต้องบำเพ็ญหลายภพชาติกว่าจะได้กลับมาเป็นมนุษย์อีกที ไม่น่าเป็นไปได้
ที่จะตายแล้วได้กลับมาเกิดในทันทu

           ทางพุทธศาสนา จิตชาติภพนี้ เมื่อจุติ(ดับ)แล้วจิตนั้นก็ปฏิสนธิ(เกิด)ในภพชาติต่อไปเลย ไม่มี
ช่วงที่เป็น'แบบว่า' ดวงวิญญาณ(เร่ร่อน) รอเกิด และถ้ากรรมถึงก็เกิดเป็นมนุษย์, เทวดาต่อได้เลย ครับ

           เรื่องเล่าของคุณหาญนี่ 'แบบว่า'ละครหลังข่าวเรตติ้งสูงเลย ว่าตามหลักแล้ว ตัวคนเราที่ประกอบ
ด้วย รูป และ นาม(จิต) นั้น เมื่อตายไป จิต คือส่วนที่สืบต่อ
           หรือว่า เพราะแรงอธิษฐานของจิตนั้นขอรูปเดิมในชาติใหม่ หรือว่า วิบากกรรมปางก่อนนั้นแรงถึง
ขนาดชี้เป้า - รูป ของคู่วิบากรรมในชาตินี้ได้ว่ามีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ฮืม เป็นต้น
(มโนสนุกๆ ครับ)
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 10:05


ไหนๆคุยกันมาจนหลายท่านหลวมตัวเล่าอะไรต่อมิอะไรออกมาหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอง     ก็จะขอแย้มพรายว่ามีใครบางคนในเรือนนี้ ตอนเด็กๆ ระลึกชาติได้  แต่เดี๋ยวนี้จางไปมากเกือบไม่รู้สึกแล้ว
เจ้าตัวจำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้ว่าเคยเกิดเป็นใคร  ไม่เหมือนพ่อหนูไรอัน  แต่จำสถานที่ บ้าน และสภาพแวดล้อมได้    พอจะบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองได้
เพราะงั้นหมอดูตาทิพย์นั่งญาณทั้งหลายอย่ามาบอกใครคนนั้นเชียวว่า เคยเกิดเป็นใครสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์  หรือแม้แต่สมัยสุโขทัย หรือน่านเจ้า   ไม่ได้แอ้มค่าสะเดาะเคราะห์ทำบุญหรอกนะ จะบอกให้

น่าอิจฉาครับ คนที่มีของเก่าดีแบบนี้ เพราะถ้านำข้อดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกทาง(กำกับด้วยวิปัสสนาญาณ) รับรองว่าความเป็นพระอริยเจ้าอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ถ้าทำแบบไม่ยั้งตัวกลัวกิเลสเฉาตาย ก็น่าจะไปถึงจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้แน่ ๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 10:16


น่าอิจฉาครับ คนที่มีของเก่าดีแบบนี้ เพราะถ้านำข้อดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกทาง(กำกับด้วยวิปัสสนาญาณ) รับรองว่าความเป็นพระอริยเจ้าอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ถ้าทำแบบไม่ยั้งตัวกลัวกิเลสเฉาตาย ก็น่าจะไปถึงจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้แน่ ๆ 

วิปัสสนาญาณ?

 วิปัสสนาญาณ ๙

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ

๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร

๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

http://www.larnbuddhism.com/grammathan/vipassanayan3.html
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 11:33


น่าอิจฉาครับ คนที่มีของเก่าดีแบบนี้ เพราะถ้านำข้อดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกทาง(กำกับด้วยวิปัสสนาญาณ) รับรองว่าความเป็นพระอริยเจ้าอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ถ้าทำแบบไม่ยั้งตัวกลัวกิเลสเฉาตาย ก็น่าจะไปถึงจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้แน่ ๆ 

วิปัสสนาญาณ?

 วิปัสสนาญาณ ๙

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ

๓. ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย

๖. มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร

๘. สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร

๙. สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

http://www.larnbuddhism.com/grammathan/vipassanayan3.html



การคิดที่ถูกต้องอันดับแรกให้คิดอยู่ในกรอบของ "ไตรลักษณ์" ไตรลักษณ์ คือลักษณะของความเป็นจริงสามประการ ประกอบด้วย
อนิจจัง ความไม่เที่ยงเป็นปกติ
ทุกขัง เราไปยึดถือมั่นหมายเมื่อไร จะประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างแน่นอน
อนัตตา ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขาได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุดก็เสื่อมสลายไปทั้งหมด

อันดับสองคิดในแบบของ "วิปัสนาญาณ ๙" คือ
พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
พิจารณาเห็นความดับ
พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่าเบื่อหน่าย
พิจารณาเพื่อต้องการจะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ ดังกล่าวมาข้างต้น
จนกระทั่งในที่สุดถึงจุดสุดท้ายก็จะปล่อยวางกลายเป็น สังขารุเบกขาญาณ คือยอมรับสภาพของสังขาร เห็นธรรมดาของสังขาร

อันดับสามคิดตามแนว "อริยสัจ" อริยสัจให้คิดในเรื่องทุกข์ อย่างเดียวก็พอ เพราะถ้าเรารู้ทุกข์ เราก็ไม่อยากจะไปแตะต้องทุกข์อีก ถ้าเห็นว่าเข้มข้นเกินไปหรือหนักเกินไป ก็พิจารณาสองตัวคือทุกข์กับสมุทัย สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์เกิด ที่เราทุกข์อยู่ปัจจุบันนี้ สาเหตุใหญ่ก็คือการเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดมา เราก็ไม่ต้องทุกข์อย่างนี้ พยายามตัดตรงที่สาเหตุคือ ตัวอยากเกิดให้ได้ ถ้าหากว่าตัดลงได้ก็คือ นิโรธ ขณะที่เรากำลังตัดกำลังทำก็คือ มรรค อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ก็พิจารณาแค่สมุทัยกับทุกข์สองตัวก็ได้ หรือจะเอาแต่ทุกข์อย่างเดียว เห็นแล้วเข็ดไม่เอาเลยก็ได้

ถ้าหากว่าอยู่ในกรอบของความคิดสามแบบ คือ ตามแนวของไตรลักษณ์ก็ดี ตามแนวของวิปัสสนาญาณ ๙ ก็ดี ตามแนวของอริยสัจ ๔ ก็ดี เป็นอันว่าความคิดของเราถูกต้อง แต่ถ้าพ้นจากนี้ไปคือคิดฟุ้งซ่าน


http://www.watthakhanun.com/webboard/archive/index.php/t-2967.html
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 11:42

ถ้าเราวิเคราะห์จะในพระไตรปิฎกก็ดี หรือจะชาดกก็ดี ทุกครั้งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสถึงพระชาติในอดีตของพระองค์ ก็เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการเกิดขึ้นมามีร่างกายนี้เป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไร ก็ทรงชี้แจงไว้ชัดเจน ดังนั้นอย่างที่ผมได้เขียนไปว่า น่าอิจฉาคนที่มีของเก่า (ทิพจักขุญาณ) ดีอยู่แล้ว สามารถพ้นทุกข์ก้าวเข้าสู่การเป็นพระอริยเจ้าได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีความสามารถทางนี้เลย

เพราะรู้เห็นได้ชัดเจนว่า ชาติที่ผ่านมา ๆ ทุกข์หรือสุขอย่างไร แล้วตลอดการเวียนว่ายในสังสารวัฎอันไม่เห็นที่สุดนี้ มันสุขหรือมันทุกข์อย่างไหนมากกว่ากัน

หากทำอย่างจริงจัง ก็จะเข้าสู่จุดมุ่งหมายสูงสุดของทางพระพุทธศาสนาก็คือพระนิพพานได้

ทั้งนี้ ก็ต้องแล้วแต่ความพอใจของเจ้าตัวเองว่า ยังพอใจจะเกิดมามีขันธ์ ๕ อีกต่อไปหรือไม่ หากเห็นทุกข์ เห็นโทษภัยของการเกิด ก็จะมีแนวทางในการปฏิบัติที่ถูกต้องต่อไปครับ  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 13:47

ตัวอย่างที่คุณหาญบิงยกมา  มันเป๊ะในเนื้อหา ราวกับนวนิยายย้อนภพระลึกชาติเลยทีเดียว   น่าทึ่งมาก
ถ้าหากว่าน้องคนนั้นกับคุณเคยผูกพันกันมาในชาติภพก่อน   ก็แปลว่าชาติก่อนคุณก็ต้องหน้าตาอย่างชาตินี้     ถ้าหากว่าคุณเกิดมามีหน้าตาเหมือนคุณพ่อหรือคุณแม่ของคุณ  ก็ทำให้คิดต่อไปว่าในชาติก่อนคุณพ่อคุณแม่ของคุณก็ต้องไปเกิดเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน หน้าตาเหมือนชาตินี้ด้วย   ลูกชายถึงจะหน้าตาเหมือนกันทั้ง 2 ชาติได้
ยิ่งคิดยิ่งงง ในสมมุติฐานของตัวเอง   คุณหาญบิงก็คงงงเหมือนกัน    เห็นจะต้องยกให้ท่านอื่นอธิบายและตีความนะคะ

ไหนๆคุยกันมาจนหลายท่านหลวมตัวเล่าอะไรต่อมิอะไรออกมาหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอง     ก็จะขอแย้มพรายว่ามีใครบางคนในเรือนนี้ ตอนเด็กๆ ระลึกชาติได้  แต่เดี๋ยวนี้จางไปมากเกือบไม่รู้สึกแล้ว
เจ้าตัวจำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้ว่าเคยเกิดเป็นใคร  ไม่เหมือนพ่อหนูไรอัน  แต่จำสถานที่ บ้าน และสภาพแวดล้อมได้    พอจะบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองได้
เพราะงั้นหมอดูตาทิพย์นั่งญาณทั้งหลายอย่ามาบอกใครคนนั้นเชียวว่า เคยเกิดเป็นใครสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์  หรือแม้แต่สมัยสุโขทัย หรือน่านเจ้า   ไม่ได้แอ้มค่าสะเดาะเคราะห์ทำบุญหรอกนะ จะบอกให้

เนื่องจากเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อในเรื่องภพชาติ แต่สมมุติฐานท่านอาจารย์เรื่องหน้าตาในภพชาติก่อนๆ ผมออกจะไม่เห็นด้วยนิดหน่อยครับ
จากประสบการณ์ละลึกชาติและฝันบ่อยๆ  เมื่อตื่นขึ้นมักจะจำไม่ได้ว่าคนในฝันหน้าตาเป็นอย่างไร  จริงๆ ไม่เคยจำได้เลย แต่จำอารมณ์หรือความรู้สึกในฝันได้มากกว่า
ดังนั้นแฟนเก่าคุณหาญอาจจะจำหน้าตาคนในฝันไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เมื่อเจอกันแล้ว เนื่องจากเคยผูกพันกันมาแต่อดีตชาติ ทำให้เมื่อเจอปุ๊บก็จะรู้สึกได้ว่าเคยเจอ จนกระทั่งรู้สึกไปว่านี่คือหน้าที่เคยเห็นในฝัน ทั้งที่จริงอาจจะไม่ใช่หน้านั้น
เป็นการจำได้เพราะความผูกพันกันของดวงจิตที่เคยเกี่ยวพันกันมากกว่า  ไม่ใช่เพราะตัวตนหรือรูปลักษณ์ในชาติปัจจุบันเหมือนกับในอดีตชาติ


บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
han_bing
นิลพัท
*******
ตอบ: 1622



ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 27 มี.ค. 15, 23:14

ตัวอย่างที่คุณหาญบิงยกมา  มันเป๊ะในเนื้อหา ราวกับนวนิยายย้อนภพระลึกชาติเลยทีเดียว   น่าทึ่งมาก
ถ้าหากว่าน้องคนนั้นกับคุณเคยผูกพันกันมาในชาติภพก่อน   ก็แปลว่าชาติก่อนคุณก็ต้องหน้าตาอย่างชาตินี้     ถ้าหากว่าคุณเกิดมามีหน้าตาเหมือนคุณพ่อหรือคุณแม่ของคุณ  ก็ทำให้คิดต่อไปว่าในชาติก่อนคุณพ่อคุณแม่ของคุณก็ต้องไปเกิดเป็นพ่อแม่ในชาติก่อน หน้าตาเหมือนชาตินี้ด้วย   ลูกชายถึงจะหน้าตาเหมือนกันทั้ง 2 ชาติได้
ยิ่งคิดยิ่งงง ในสมมุติฐานของตัวเอง   คุณหาญบิงก็คงงงเหมือนกัน    เห็นจะต้องยกให้ท่านอื่นอธิบายและตีความนะคะ

ไหนๆคุยกันมาจนหลายท่านหลวมตัวเล่าอะไรต่อมิอะไรออกมาหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอง     ก็จะขอแย้มพรายว่ามีใครบางคนในเรือนนี้ ตอนเด็กๆ ระลึกชาติได้  แต่เดี๋ยวนี้จางไปมากเกือบไม่รู้สึกแล้ว
เจ้าตัวจำชื่อเสียงเรียงนามไม่ได้ว่าเคยเกิดเป็นใคร  ไม่เหมือนพ่อหนูไรอัน  แต่จำสถานที่ บ้าน และสภาพแวดล้อมได้    พอจะบอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเองได้
เพราะงั้นหมอดูตาทิพย์นั่งญาณทั้งหลายอย่ามาบอกใครคนนั้นเชียวว่า เคยเกิดเป็นใครสมัยอยุธยาหรือรัตนโกสินทร์  หรือแม้แต่สมัยสุโขทัย หรือน่านเจ้า   ไม่ได้แอ้มค่าสะเดาะเคราะห์ทำบุญหรอกนะ จะบอกให้

เนื่องจากเป็นผู้หนึ่งที่เชื่อในเรื่องภพชาติ แต่สมมุติฐานท่านอาจารย์เรื่องหน้าตาในภพชาติก่อนๆ ผมออกจะไม่เห็นด้วยนิดหน่อยครับ
จากประสบการณ์ละลึกชาติและฝันบ่อยๆ  เมื่อตื่นขึ้นมักจะจำไม่ได้ว่าคนในฝันหน้าตาเป็นอย่างไร  จริงๆ ไม่เคยจำได้เลย แต่จำอารมณ์หรือความรู้สึกในฝันได้มากกว่า
ดังนั้นแฟนเก่าคุณหาญอาจจะจำหน้าตาคนในฝันไม่ได้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เมื่อเจอกันแล้ว เนื่องจากเคยผูกพันกันมาแต่อดีตชาติ ทำให้เมื่อเจอปุ๊บก็จะรู้สึกได้ว่าเคยเจอ จนกระทั่งรู้สึกไปว่านี่คือหน้าที่เคยเห็นในฝัน ทั้งที่จริงอาจจะไม่ใช่หน้านั้น
เป็นการจำได้เพราะความผูกพันกันของดวงจิตที่เคยเกี่ยวพันกันมากกว่า  ไม่ใช่เพราะตัวตนหรือรูปลักษณ์ในชาติปัจจุบันเหมือนกับในอดีตชาติ




พูดไปเดี่ยวหาว่าผมงมงาย มาขยายความเยอะ

แต่ไหนๆก็ขอเล่าหน่อย

วันนี้วันเกิดผม เลยชวนน้องๆกินข้าวกัน หนึ่งในนั้นก็มีสาวน้อยที่เคยฝัน(ร้าย)ถึงผม

ผมก็เลยเล่ากระทู้นี้ให้ทุกคนฟัง พร้อมยกเรื่องในฝันของน้องเขา

พอเล่าไป น้องเขาก็ทำหน้าไม่ดี เหมือนจะร้องไห้ หายใจฝืดฟาด วิงเวียน แล้วก็บอกว่า

"พี่คะ อย่าเล่าได้ไหมคะ หนูรู้สึกอึดอัด เครียด"

เลยต้องรีบเปลี่ยนประเด็น

แต่ว่า ข้อหนึ่งที่ไม่ได้เล่าในตอนแรก คือ มันน่าแปลกที่ว่า น้องเขาไม่เคยเห็นบ้านผมมาก่อน ตอนที่ผมอวดรูปบ้านให้ดู น้องเขาก็ถามขึ้นว่า "พี่ บ้านพี่เมื่อก่อนหน้าบ้านปลูกต้นแก้วไหม แล้วมีโอ่งวางไว้หน้าบ้านไหม มีบ่อน้ำหน้าบ้านไหม"

ผมก็บอกไปว่า "เออ เดาเก่ง สมัยก่อนมีจริงๆแหละ แต่ต้นแก้วตัดทิ้งไปหลายสิบปีแล้ว โอ่งเดี่ยวนี้วางไว้หลังบ้าน ส่วนบ่อน้ำถมไปแล้ว ถามทำไม เคยเห็นบ้านคล้ายๆบ้านพี่หรือ"

น้องเขาก็ยิ่งหน้าซีด แล้วหลังจากนั้นเลยค่อยๆเล่าเรื่องออกมา

แล้วมันก็มีบางส่วนตรงกับที่ผมเคยฝันเสียด้วยสิ

เล่าโดยไม่ได้นัดหมาย

ปล. น้องคนนี้ปัจจุบันนี้คนร้อยละเก้าสิบคิดว่าเป็นแฟนผมไปแล้ว เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหอะๆ

 ขยิบตา
บันทึกการเข้า
samun007
องคต
*****
ตอบ: 446


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 28 มี.ค. 15, 00:16




พูดไปเดี่ยวหาว่าผมงมงาย มาขยายความเยอะ

แต่ไหนๆก็ขอเล่าหน่อย

วันนี้วันเกิดผม เลยชวนน้องๆกินข้าวกัน หนึ่งในนั้นก็มีสาวน้อยที่เคยฝัน(ร้าย)ถึงผม

ผมก็เลยเล่ากระทู้นี้ให้ทุกคนฟัง พร้อมยกเรื่องในฝันของน้องเขา

พอเล่าไป น้องเขาก็ทำหน้าไม่ดี เหมือนจะร้องไห้ หายใจฝืดฟาด วิงเวียน แล้วก็บอกว่า

"พี่คะ อย่าเล่าได้ไหมคะ หนูรู้สึกอึดอัด เครียด"

เลยต้องรีบเปลี่ยนประเด็น

แต่ว่า ข้อหนึ่งที่ไม่ได้เล่าในตอนแรก คือ มันน่าแปลกที่ว่า น้องเขาไม่เคยเห็นบ้านผมมาก่อน ตอนที่ผมอวดรูปบ้านให้ดู น้องเขาก็ถามขึ้นว่า "พี่ บ้านพี่เมื่อก่อนหน้าบ้านปลูกต้นแก้วไหม แล้วมีโอ่งวางไว้หน้าบ้านไหม มีบ่อน้ำหน้าบ้านไหม"

ผมก็บอกไปว่า "เออ เดาเก่ง สมัยก่อนมีจริงๆแหละ แต่ต้นแก้วตัดทิ้งไปหลายสิบปีแล้ว โอ่งเดี่ยวนี้วางไว้หลังบ้าน ส่วนบ่อน้ำถมไปแล้ว ถามทำไม เคยเห็นบ้านคล้ายๆบ้านพี่หรือ"

น้องเขาก็ยิ่งหน้าซีด แล้วหลังจากนั้นเลยค่อยๆเล่าเรื่องออกมา

แล้วมันก็มีบางส่วนตรงกับที่ผมเคยฝันเสียด้วยสิ

เล่าโดยไม่ได้นัดหมาย

ปล. น้องคนนี้ปัจจุบันนี้คนร้อยละเก้าสิบคิดว่าเป็นแฟนผมไปแล้ว เพราะไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด เหอะๆ

 ขยิบตา

ถ้าเจอฝากบอกเขาด้วยครับว่าไม่ต้องเครียด  ที่ควรจะเครียดคือ หากตอนที่มีอาการหายใจติดขัดฝืดฟาดนั้นเกิดตายตอนนั้นขึ้นมา จิตเศร้าหมองตายไปก็มีสิทธิไปอบายภูมิเสียเวลาไปเปล่า ๆ

ควรจะชี้ให้เขาเห็นว่า เรื่องแบบนี้(หมายถึงทิพจักขุญาณ) เป็นของปกติ ถ้าคนเคยฝึกมาในอดีต ก็เหมือนความรู้อย่างหนึ่ง ก็แค่มาทบทวนการใช้งานแค่นั้นเอง สำคัญที่ว่าจะใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากกว่า

ถ้ามัวแต่เครียดหรือวิตกกังวล แทนที่จะเอาความสามารถตรงนี้ มาใช้งานให้เกิดประโยชน์ในการพ้นทุกข์ มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก ๆ ครับ   ของแบบนี้ ถ้าคนได้ ก็จะได้เสียจนเบื่อ บอกเขาให้เห็นเป็นเรื่องปกติไป

ทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียก็หมดเรื่อง  สักแต่ว่ารู้ไว้ก็จบครับ แรก ๆ อาจจะทำยากหน่อย แต่ถ้าฝืนฝึกตัวเองได้ ต่อไป ก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก เหมือนนักปฏิบัติบางท่านก่อนได้ทิพจักขุญาณ เป็นคนกลัวผีมาก

ตอนหลังพอได้ทิพจักขุญาณแจ่มใส คุยกับผีเป็นปกติ กลายเป็นว่าไม่กลัวไปเลย เพราะเห็นผีก็เหมือนเห็นคน ดีเสียอีก เวลาไปไหนมาไหนต้องการความช่วยเหลือที่คนธรรมดาช่วยไม่ได้ ก็ถามเอาจากผีแถวนั้น ก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างเหมาะสมกับทุกสถานการณ์ไป  อย่างนี้ก็มีครับ


ถ้าเขายังไม่อยากพ้นทุกข์ แต่ไม่อยากเจออย่างนี้อีก ก็ไม่ยาก หมกมุ่นกับกิเลสมาก ๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะเสื่อมไปเอง ก็จะได้สบายใจ ไม่ต้องกังวลอีกแค่นั้นเอง



บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 28 มี.ค. 15, 11:20

           นึกได้ถึงเรื่องระลึกชาติเคยอ่านนานมากแล้วแต่ยังติดใจจำ เป็นงานเขียนของอ.วศิน
ในหมวด ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ความโกรธ
ในส่วนการระลึกชาตินี้อ.วศินเล่าว่า

               ในอรรถกถาธรรมบทว่า ภิกษุรูปหนึ่งได้รับอุปการะเรื่องปัจจัย 4 จากอุบาสิกาคนหนึ่ง ทำ
ความเพียรจนบรรลุอรหัตตผล มีความสุขอยู่ในมรรคผล พลางรำพึงว่า “น่าขอบใจจริงหนอ อุบาสิกา
มีอุปการะมาก เราได้อาศัยอุบาสิกานี้แล้วแล่นออกจากภพได้(คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด)
มหาอุบาสิกาเป็นที่พึ่งของเราเฉพาะในชาตินี้เท่านั้นหรือ หรือว่าในอดีตเธอเคยเป็นที่พึ่งของเราเหมือนกัน”
           เมื่อรำพึงดังนี้แล้ว ภิกษุนั้นระลึกชาติถอยหลังไป 99 ชาติ ได้เห็นว่าอุบาสิกานั้นเคยเป็นภรรยา
ของท่านมา 99 ชาติ
และมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นฆ่าท่านมาตั้ง 99 ชาติแล้ว ท่านจึงปลงธรรมสังเวช
(แบบพระอรหันต์)ว่า น่าสังเวชจริงหนออุบาสิกาทำกรรมหนักมาแล้วเหลือหลาย
           ฝ่ายอุบาสิกาซึ่งได้บรรลุอนาคามิผลก่อนภิกษุและได้ปฏิสัมภิทา 4 และอภิญญา 5 แล้วนั่งใคร่ครวญ
อยู่ในเรือนของตนรู้ว่าภิกษุกำลังคิดอะไรอยู่ จึงพิจารณาขึ้นไปถึงชาติที่ 100 เห็นว่าในชาตินั้น ตนได้สละชีวิต
คือตายแทนภิกษุนั้น จึงได้ส่งกระแสจิตไปเตือนว่า “ขอให้ท่านโปรดระลึกต่อไปถึงชาติที่ 100 เถิด” ภิกษุได้
สดับเสียงของอุบาสิกาด้วยหูทิพย์ จึงระลึกถึงชาติที่ 100 ได้เห็นอุปการะของอุบาสิกาแล้วมีจิตเบิกบาน กล่าว
สนทนาธรรมในมรรค 9 ผล 4 กันทางโทรจิต และปรินิพพาน ณ ที่นั้นเอง
            เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า คนที่ท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏนั้น เมื่อมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ก็ย่อมจะ
ประพฤติผิดพลาดต่อกันบ้าง เกื้อหนุนกันบ้าง เรียกว่าทำดีต่อกันบ้าง ทำร้ายต่อกันบ้าง ตามกระแสกิเลสที่เกิดขึ้น
ในวาระนั้นๆ จึงควรสังเวชสลดจิตให้อภัย ไม่อยากก่อกรรมทำเข็ญอะไรอีกต่อไป


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 28 มี.ค. 15, 11:22

           ทบทวนแล้วชวนให้นึกถึงเรื่องระลึกชาติในยุคปัจจุบันจากคดีดังเมื่อปี 2550 ครับ

ทนายร้องกองปราบกล่าวหา น.ส.ป. ในข้อหาฉ้อโกง

          พฤติการณ์และเหตุการณ์ที่ น.ส.ป. ทำกับ นพ.ป. เกิดขึ้นระหว่างต.ค. 2549 ถึง ก.พ.2550
น.ส.ป.ได้สมคบกับเพื่อนอีก 5 คนใช้อุบายหลอกลวงทำให้หลงเชื่อว่าสามารถนั่งสมาธิจนเข้าฌานชั้นสูง
จนสามารถระลึกชาติได้ นอกจากนี้...  
         จากการพูดคุยกับ นพ.ป. ที่มีสติสัมปชัญญะดี เล่าให้ฟังว่า หลังเริ่มสนิทสนม น.ส.ป. กล่าวอ้าง
จนหลงเชื่อว่าเป็นสามีภรรยาแต่ชาติปางก่อนย้อนหลังไป 99 ภพชาติ และเคยรับปากในชาติภพก่อนแล้ว
ไม่ได้ทำให้ ก็ให้ทำให้ในชาตินี้
          น.ส.ป. ล่อลวงให้หมอซื้อรถโตโยต้า คัมรี สีดำให้ โดยอ้างว่า ชาติที่แล้ว หมอเป็นขุนศึกใช้ม้า
นิลพยัคฆ์เป็นพาหนะในการรบ ส่วนน.ส.ป. ใช้ม้านิลมังกร
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 28 มี.ค. 15, 19:20

ถ้าระลึกชาติแล้ว พบว่ามันทำให้อะไรในชีวิตดีขึ้น    ก็ระลึกไปเถอะค่ะ  เช่นระลึกชาติได้ว่าเมื่อชาติก่อนเคยเรียนหนังสือเก่งมาก เพราะขยัน มานะอดทน เอาใจใส่การเรียนดี    ทำให้เกิดมุมานะอยากจะทำความดีได้เท่าชาติก่อน  ก็เลยเลิกขี้เกียจหันมาเอาใจใส่การเรียน อย่างนี้ก็น่าขอบใจ "สัญญา" ที่ทำให้ระลึกได้ นำไปเป็นแรงบันดาลใจให้ทำชีวิตให้ดีขึ้น

แต่ถ้าระลึกแล้วมันไม่ได้ดีขึ้นกว่าเก่า   อยู่เท่าเดิม   ก็ไม่รู้จะระลึกไปทำไม   ยิ่งระลึกแล้วแย่ลง ก็อย่าไประลึกมันเลยดีกว่า   เผลอไปยึดถือมันแล้วทุกข์มากกว่าสุข   จึงควรห่างๆไว้

กรณีคุณหมอป. กับนางสาวป. นั้น ต่อให้ไม่ใช่แก๊งค์สิบแปดมงกุฎทำกับเหยื่อ  แต่เป็นเรื่องที่เธอพูดความจริงว่าเธอเป็นสามีภรรยากับคุณหมอมาตั้ง 99 ชาติ  แต่ความจริงที่จริงยิ่งกว่านั้นคือชาตินี้คุณหมอมีภรรยาแล้ว   ย่อมมีหน้าที่จะซื่อสัตย์ต่อภรรยาในปัจจุบันยิ่งกว่าภรรยาในอดีต ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นคนอื่น  ไม่เคยมีพันธะอะไรกันมาก่อน    ต่อให้ระลึกชาติได้ว่าเคยเป็นสามีภรรยากัน  มันก็ไร้ความหมายอยู่ดี    หากไปทำให้มันมีความหมายขึ้นมา   ก็จะผิดศีลข้อสามกันทั้งคู่   

สรุปว่าระลึกชาติได้แล้วชีวิตเลวลง  ระลึกไปก็ป่วยการค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 30 มี.ค. 15, 16:21


น่าอิจฉาครับ คนที่มีของเก่าดีแบบนี้ เพราะถ้านำข้อดีตรงนี้มาใช้ให้ถูกทาง(กำกับด้วยวิปัสสนาญาณ) รับรองว่าความเป็นพระอริยเจ้าอยู่ไม่ไกลแน่ ๆ ถ้าทำแบบไม่ยั้งตัวกลัวกิเลสเฉาตาย ก็น่าจะไปถึงจุดหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาได้แน่ ๆ

ขออภัยคุณ Samun007   ดิฉันคิดว่าความทรงจำข้อนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาที่บางคนลบไม่หมดเท่านั้นเอง     ไม่จำเป็นว่าต้องฝึกอะไรมาก่อน   ตัวอย่างจากเจ้าหนูไรอัน  ทั้งชาติก่อนชาตินี้ก็ไม่ได้มีตรงไหนบอกว่าได้ปฏิบัติญาณอะไรเป็นพิเศษ   โตพอรู้ความก็จำชาติก่อนได้เลยนะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 30 มี.ค. 15, 16:50

กรณีระลึกชาติต่อไปนี้ เกิดขึ้นกับชายชาวอังกฤษชื่อปีเตอร์ ฮูม   มีอาชีพเป็นผู้ประกาศผลตัวเลขบิงโก    เขาเริ่มฝันแปลกๆถึงชีวิตของทหารชายแดนระหว่างอังกฤษกับสก๊อตแลนด์เมื่อสามร้อยปีก่อน     น้องชายซึ่งเป็นนักสะกดจิตสมัครเล่น ได้ทดลองสะกดจิตพี่ชายให้ถอยหลังย้อนกลับไปอดีตชาติ   ผลคือปีเตอร์เกิดจำรายละเอียดเพิ่มเติมได้อีกหลายอย่างว่าเขาเคยเกิดเมื่อศตวรรษที่ 17   เป็นพลทหารสังกัดอยู่ในกองทัพของโอลิเวอร์ ครอมเวลล์  ตัวเขาเองมีชื่อว่าจอห์น ราฟาเอล

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.088 วินาที กับ 20 คำสั่ง