SILA
|
ความคิดเห็นที่ 90 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 14:15
|
|
น้ำแข็ง - ประกอบด้วยน้ำ, มีเทน, แอมโมเนีย และคาร์บอนไดออกไซด์ มีจุดหลอมเหลว เพียงไม่กี่ร้อยเคลวิน เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่อยู่ในดาวบริวารของบรรดาดาวแก๊สยักษ์* รวมถึง เป็นองค์ประกอบอยู่ในดาวยูเรนัสกับ ดาวเนปจูน (บางครั้งเรียกดาวทั้งสองนี้ว่า "ดาวน้ำแข็งยักษ์") และ ในวัตถุขนาดเล็กจำนวนมากที่อยู่พ้นจากวงโคจรดาวเนปจูนออกไป แก๊ส - สสารที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ เช่นอะตอมไฮโดรเจน ฮีเลียม และแก๊สมีตระกูล(noble gases) หรือ แก๊สเฉี่อย (inert gases) นั่นคือแก๊ส(ผู้ดี) ที่ไม่ค่อยทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆ ประกอบด้วย ฮีเลียม, นีออน,อาร์กอน,คริปทอน,ซีนอน และ เรดอน มักพบในย่านกึ่งกลางระบบสุริยะ เป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ ของดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 91 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 14:18
|
|
*ดาวแก๊สยักษ์ (Gas giant) หรือ ดาวเคราะห์โจเวียน (Jovian planet) คือ ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นแก๊สไฮโดรเจน และฮีเลียม ในระบบสุริยะมี ดาวแก๊สยักษ์ 4 ดวง คือ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และ ดาวเนปจูน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 92 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 09:38
|
|
นักดาราศาสตร์บางคนได้ทำการศึกษาและตั้งทฤษฎีว่า วงแหวนเหล่านี้มีกำเนิดขึ้น เมื่อประมาณ 500 ล้านปีก่อน จากการที่ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ถูกดาวหางพุ่งชนจนแตกกระจาย แล้วแรงโน้มถ่วงของดาวเสาร์ขัดขวางไม่ให้เศษและสะเก็ดต่างๆ มารวมตัวกันได้อีก หรือ เกิดจาก การที่ดาวจากบริเวณขอบนอกระบบสุริยะโคจรเข้าใกล้ดาวเสาร์แล้วถูกแรงโน้มถ่วงของดาวเสาร์ ทำลายจนแหลกแตกกระจาย
ภาพดาวเสาร์สวมวงแหวนจากยานสำรวจ Cassini
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 93 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 09:43
|
|
จากรายงานของยานสำรวจพบว่า วงแหวนดาเสาร์มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 300,000 กม. แต่มีความหนาไม่ถึง 1.5 กม. (เปรียบเทียบได้กับกระดาษแผ่นกว้างแต่แบบบาง) มีจำนวนมากกว่า 1,000 วง
ภาพจากยานสำรวจ Cassini บันทึกภาพวงแหวน A ในแสง ultraviolet สีฟ้าหมายถึงน้ำ(แข็ง) ส่วนสีแดงหมายถึงฝุ่น(ที่ยังไม่ทราบองค์ประกอบชัดเจน) วงแดงในย่านวงสีฟ้าคือ ช่องว่าง Encke
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 94 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 09:44
|
|
วงแหวนสว่างที่สุด เรียก(ตามลำดับการค้นพบ) ว่า วงแหวน A ถัดเข้าไป คือวงแหวน B โดยมีช่องว่าง Cassini(Division) คั่น ส่วนช่องว่างจางๆ ที่ส่วนนอกของวงแหวน A เรียกว่า ช่องว่าง Encke ลึกเข้าไปเป็นวงแหวนสลัว C ทั้งสามวงนี้สามารถมองเห็นได้จากโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 95 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 09:46
|
|
ต่อมาได้มีการสำรวจพบวงแหวนใหม่เพิ่มขึ้นอีกคือ วงแหวน D ซึ่งอยู่ในสุดมองเห็นเลือนๆ, วงแหวนชั้นนอกที่มีขนาดแคบๆ เรียกว่าวงแหวน F แล้วก็วงแหวน G ส่วนด้านนอกสุดเป็นวงแหวน ขนาดกว้างแต่ลางเลือนนั่นคือ วงแหวน E
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 96 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 09:56
|
|
ภายในช่องว่างต่างๆ ระหว่างวงแหวนมักมีดวงจันทร์ขนาดเล็กโคจรอยู่ โดยได้รับ การยืนยันวงโคจรแล้ว 60 กว่าดวง และ 50 กว่าดวงนี้มีชื่อตั้งให้แล้ว ดวงจันทร์เหล่านี้มักมีขนาดเล็กด้วยเส้นผ่าศูนย์กลางไม่กี่ไมล์ ในขณะที่บางดวงก็มี ขนาดใหญ่มากอย่างเช่น ดวงที่ชื่อว่า Titan แรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ทำหน้าที่จัดระเบียบให้วงแหวนอยู่ในที่ทางและ ยังทำให้ เกิดช่องว่างระหว่างวงแหวนด้วย
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 97 เมื่อ 05 ก.พ. 15, 10:00
|
|
อำลาดาวเคราะห์สวมแหวนดวงนี้ด้วย ภาพถ่ายประกอบจากสามภาพของกล้อง Hubble แสดงภาพ ดาวเสาร์สะท้อนแสงอินฟราเรดจากดวงอาทิตย์ แต่ละเฉดสีแสดงถึงความแตกต่างของ ระดับความสูงและส่วนประกอบของชั้นเมฆที่คิดว่าเป็นผลึกน้ำแข็งแอมโมเนีย และ ในภาพยังสามารถมองเห็นดวงจันทร์บริวารสองดวง ได้แก่ Tethys ที่อยู่ตรงขอบดาวเสาร์ ด้านขวาบนกับ Dione ทางด้านซ้ายล่าง
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 98 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 10:16
|
|
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ที่ได้แสดง เส้นทางลิขิตชีวิตของดาวฤกษ์ เช่น ดวงอาทิตย์ไปบ้างแล้ว กล่าวคือ เมื่อดาวฤกษ์ย่างเข้าสู่ช่วงปลายอายุขัยจะกลายเป็นดาวยักษ์ ที่มีขนาดไหนขึ้นกับมวลของ ดาวดวงนั้น โดยดาวฤกษ์มวลน้อย-ปานกลาง(ขนาด 0.6-10 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) จะกลายเป็น ดาวแดงยักษ์ (ตามเส้นทางชราภาพสายบนของภาพ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 99 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 10:18
|
|
ที่เรียกว่า แขนงดาวยักษ์อะซิมโทติก(asymptotic giant branch - AGB) ซึ่งปรากฏอยู่ในย่านหนึ่งของไดอะแกรมแฮร์ทสชปรุง-รัสเซลล์(Hertzsprung-Russell diagram - HRD) ที่เป็นแผนภาพคู่ลำดับระหว่างสีของดาวฤกษ์กับความสว่างของดาว แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ค่าความส่อง สว่างสัมบูรณ์ ความส่องสว่าง ประเภทของดาวฤกษ์ และอุณหภูมิของดาวฤกษ์ ชนิดต่างๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 100 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 10:22
|
|
ดาว AGB นี้ปรากฏรูปลักษณ์เป็น ดาวแดงยักษ์(red giant) ที่แกนกลางประกอบด้วย คาร์บอนและออกซิเจน ห่อหุ้มด้วยเปลือกฮีเลียมที่ทำปฏิกิริยาฟิวชันสร้างคาร์บอน ชั้นถัดออกไป เป็นไฮโดรเจนที่กำลังทำปฏิกิริยาฟิวชันสร้างฮีเลียม และ ชั้นนอกเป็นเปลือกขนาดใหญ่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 101 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 10:29
|
|
ดาวแขนงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงของความส่องสว่างและอุณหภูมิไต่ตาราง HRD ขึ้น, ลง แล้วกลับขึ้นไปใหม่'แบบว่า' เกือบจะเป็นแนวเดียวกับเส้นดาวแดงยักษ์ของตัวเองก่อนหน้านั้น ตาม ระยะเวลาที่ผ่านไปและตามการใช้เชื้อเพลิง นั่นคือ จากไฮโดรเจนที่ร่อยหรอแล้วต่อมามีการจุดติด ปฏิกิริยาฟิวชั่นของฮีเลียม จึงเรียกดาวแบบนี้ว่า AGB ซึ่งคำ asymptotic นี้มาจากคณิตศาสตร์(ไทยใช้ศัพท์บัญญัติว่า เชิงเส้นกำกับ) asymptote - เส้นที่เฉียดใกล้เส้นโค้งแต่ลากยาวแค่ไหนก็ไม่มีวันบรรจบกัน
ลักษณะ(เส้นกราฟ Horizontal) Asymptote
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 102 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 10:33
|
|
ช่วงเวลาของ AGB แบ่งเป็น ระยะต้น(E-AGB) พลังงานของดาวมาจากฟิวชันของฮีเลียม ดาวมีการขยายตัวออกไปกลายเป็นดาวยักษ์แดงอีกครั้ง จนหลังจากที่ฮีเลียมถูกใช้จนหมด ดาวก็จะ เริ่มเข้าสู่ระยะ Thermally Pulsing TP-AGB ที่ดาวจะใช้พลังงานจากฟิวชั่นของไฮโดรเจนในชั้น เปลือกที่ห่อหุ้มชั้นฮีเลียมที่หมดพลังงานไปแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไป 10,000 ถึง 100,000 ปี ชั้นเปลือกฮีเลียมอาจจุดติดขึ้นมาอีก ส่วนชั้นเปลือกไฮโดรเจนดับไป กระบวนการนี้เรียกว่า helium shell flash หรือ "thermal pulse" นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 103 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 11:01
|
|
ช่วงปลายอายุขัยของดาวที่แปรสภาพไปเป็นดาวยักษ์(หรือดาวยักษ์ใหญ่) นี้ ดาวได้สูญเสีย สมดุลระหว่างแรงโน้มถ่วงกับแรงดันจากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ภายใน ความไร้เสถียรปรากฏให้เห็นเป็นการลุกจ้าที่ผิวดาว ผลจากสนามแม่เหล็กของดาว, การขยายตัว ออกและยุบเข้าของบรรยากาศ หรือ การระเบิดออกจากภายในดาว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความสว่าง ของดาว เราเรียกดาวเหล่านี้ว่า ดาวแปรแสง(variable star)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 104 เมื่อ 10 ก.พ. 15, 11:04
|
|
ดาวชราชนิด AGB นี้จะกลายเป็นดาวแปรแสงคาบยาว (long-period variable star นั่นคือ ดาวที่มีความสว่างเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จากความเปลี่ยนแปลงของคุณสมบัติทางกายภาพ ภายในดาวเอง โดยที่ดาวชนิดนี้จะมีช่วงการเปลี่ยนแปลงโชติมาตรหรืออันดับความสว่างค่อนข้างมาก คาบการแปรแสงอาจยาวนานตั้งแต่ 2-3 เดือนไปจนถึง 2 ปี ) และ มีการสูญเสียมวลจำนวนมหาศาลไปในรูปของลมดาวฤกษ์(stellar wind) โดยดาวอาจ สูญเสียมวลถึง 50-70% ไปในระหว่างระยะ AGB นี้ ปริมาณมวลที่สูญเสียไปทางลมดาวฤกษ์นี้มีส่วน กำหนดชะตากรรมของดาวดวงนั้น นั่นคือ ดาวที่มีมวลปานกลางได้กลายไปเป็นดาวแคระขาวแทนที่จะ ระเบิดออกเป็นซูเปอร์โนวา เพราะว่าได้สูญเสียมวลออกมากไปจากลมดาวฤกษ์แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|