SILA
|
ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 10:17
|
|
หัวใจของเขามีขนาดลดลง และปริมาณเลือดที่สูบออกจากหัวใจก็น้อยลง เพราะ หัวใจไม่ได้ทำงานหนักเท่าบนโลก ทั้งยังตรวจพบว่ารูปร่างของหัวใจได้เปลี่ยนไปเป็นทรงกลม จากสภาวะไร้แรงโน้มถ่วงด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 10:28
|
|
นอกจากนี้ นักบินอวกาศยังจะมีอาการมึนศีรษะเรื้อรังและตาบอดชั่วคราวได้ เนื่องจาก เลือดไหลเวียนไปสมองไม่พอ
ขณะอยู่บนโลก, แรงโน้มถ่วงดึงเลือดไหลลงขา แต่เมื่อนักบินอวกาศขึ้นไปอยู่ในสภาพ ปราศจากแรงโน้มถ่วง เลือดจะไหลเวียนขึ้นไปสู่ร่างกายส่วนบนและสมองมากขึ้นในทันที จนเมื่อ ร่างกายปรับตัวกับภาวะไร้น้ำหนักแล้วแรงดันเลือดในสมองและทรวงอกก็จะลดลง ครั้นเมื่อกลับสู่โลก, เลือดในร่างกายส่วนบนถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงสู่ร่างกายส่วนล่าง ทำให้ นักบินเกิดอาการจากภาวะเลือดไหลเวียนในสมองลดลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 10:42
|
|
ส่วนการเปลี่ยนแปลงในกล้ามเนื้อ พบว่ามวลกล้ามเนื้อลดลง, มีไขมันแทนที่ และ มวลกระดูกก็ลดลงไปในอัตราราว 2 % ต่อเดือน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 78 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 10:51
|
|
ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไรก็ตาม มหกรรมพิชิตภารกิจแห่งมนุษยชาติครั้งนี้ต้องดำเนินการ ต่อไปให้สำเร็จ นักวิชาการเชื่อว่ามนุษย์จะสามารถท่องอวกาศไปลงดาวอังคารได้ในอีกราว 3 ทศวรรษ ข้างหน้า (องค์การนาซา มีแผนพัฒนาขีดความสามารถที่จำเป็นต้องใช้ในโครงการส่งมนุษย์ไป ดาวอังคารในทศวรรษที่ 2030s)
ที่นั่น ณ ดาวอังคาร, บ้านใหม่ เมื่อมองกลับไปยังบ้านเก่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 79 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 09:09
|
|
การท่องอวกาศไกลออกไปนี้เป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ เมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับปัญหา และอุปสรรคยากลำบากมากมาย ด่านสำคัญคือ ปัญหารังสีในอวกาศ ซึ่งมีที่มาจากดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะ, ทางช้างเผือก (ซึ่งเชื่อว่ามาจาก Supernova) และจากแหล่งรังสีอื่นไกลโพ้นอออกไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 09:10
|
|
ภาพจากการ์ตูน Fantastic Four
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 09:12
|
|
อนุภาครังสีอวกาศนี้มีพลังงานและความเร็วสูงยากต่อการปิดกั้น อนุภาคจะทะลุทะลวงเข้า ทำลาย DNA ทำให้เกิดมะเร็งชนิดรุนแรง, ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, ระบบประสาทส่วนกลางเสื่อมลง โดย ที่หากมนุษย์ได้รับรังสีปริมาณมากในช่วงเวลาสั้นๆ จะล้มป่วยลงแบบฉับพลัน หรือไม่เช่นนั้นก็จะเป็น แบบเรื้อรังหลังจากได้รับรังสีในปริมาณน้อยกว่าแต่เป็นเวลานาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 09:15
|
|
นักบินอวกาศในยาน ISS(International Space Station) มีสนามแม่เหล็กโลกและ ชั้นบรรยากาศช่วยปกป้องรังสีอันตราย แต่ถ้าอยู่นานเกิน 1.5 - 2 ปี สำหรับหญิงและชาย เขาก็ จะได้รับรังสีในปริมาณที่มากเกินปริมาณรังสีที่ร่างกายรับได้ในชั่วชีวิต (ปัจจุบันนี้นักบินอวกาศจะขึ้นไปอยู่ในยานคราวละ 0.5 ปี)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 83 เมื่อ 02 ก.พ. 15, 09:52
|
|
องค์การนาซาได้วางแผนขั้นตอนส่งมนุษย์พิชิตดาวอังคาร โดยเริ่มจากการส่งมนุษย์ไป ในวงโคจรรอบโลกระดับล่างเพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตและการปฏิบัติงานอวกาศใน ISS ตามด้วย การออกนอกวงโคจรโลกระดับล่างและการเพิ่มขีดความสามารถในการศึกษาสำรวจด้วยการเยือน ดาวเคราะห์น้อยที่ได้ถูกเบี่ยงเบนให้มาเข้าสู่วงโคจรของดวงจันทร์ จากนั้นจึงท่องอวกาศไกลไปมุ่ง สู่ดาวอังคารในทศวรรษ 2030s
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อ 02 ก.พ. 15, 09:55
|
|
ณ ดาวอังคาร เป้าหมายพันธกิจพิชิตอวกาศของนาซานั้น ปราศจากสนามแม่เหล็ก และ ชั้นโอโซนปกป้อง อนุภาคจากดวงอาทิตย์ได้ขจัดชั้นบรรยากาศของดาวอังคารออกไปเกือบ หมดส่งผลให้นักบินอวกาศมีความเสี่ยงต่อการได้รับรังสีต่อเนื่อง หลังจากที่ได้รับมาแล้วระหว่าง การท่องอวกาศในปริมาณรังสีที่สูงกว่ามาก นักวิทย์จึงต้องคิดคำนวณออกแบบอาคารที่พำนักให้ มีฉนวนปกป้องรังสี ปัญหาอันตรายจากรังสีนี้เป็นเรื่องท้าทายขององค์การนาซาสำหรับแผนปฏิบัติการส่ง มนุษย์สู่ดาวอังคารและดาวดวงอื่นไกลโพ้น
นักวิทยาศาสตร์บางคนได้เสนอแนวคิดเครื่องหักเหรังสีสำหรับยานอวกาศแบบในหนัง Star Trek โดยเครื่องนี้จะสร้างสนามแม่เหล็กเพื่อป้องกันยานอวกาศเลียนแบบสนามแม่เหล็กโลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 85 เมื่อ 02 ก.พ. 15, 10:01
|
|
โลกในอนาคตแสนไกลจะเป็นเช่นไร คงไม่มีใครพยากรณ์ได้อย่างถูกต้องเต็มร้อย เพราะ การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นจริงแต่ก็เป็นสิ่งไม่แน่นอน ยังมีตัวแปรอื่นๆ มากระทบ ทั้งจาก ปัจจัยภายใน คือ มนุษย์เราเอง ได้แก่ สงคราม(ล้าง) โลก, การทำลายล้างธรรมชาติ และ ปัจจัยภายนอก เช่น อุกกาบาต, ดาวหาง หรือ มนุษย์ต่างดาวบุกโลก ทั้งนี้, ทั้งนั้น, ทั้งมวล ล้วนเป็นคำทำนายที่สุดท้ายแล้ว เมื่อนั้นกาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความแม่นยำของคำพยากรณ์เหล่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 86 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 13:59
|
|
ลำดับจากนี้ขอวกกลับไปปีก่อนๆ ย้อนดูภาพจากอวกาศขององค์การนาซา อันตื่นตา ตื่นใจ เริ่มจากภาพดาวเคราะห์เพื่อนบ้านร่วมระบบสุริยะที่อยู่แสนห่างไกลแต่ยังพอมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นดวงสุดท้าย
(Uranus, Neptune โคจรอยู่ในเวิ้งเวหาหาวไกลเกินสายตาเปล่า)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 87 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 14:00
|
|
แถบสีสวยสดงดงามดุจสายรุ้งนี้ คือ วงแหวนดาวเสาร์ ส่วนขอบนอกของวงแหวน C และส่วนขอบในของวงแหวน B (ซึ่งเริ่มที่ตรงกลางภาพ) บันทึกโดยยานสำรวจ Cassini จับคลื่นความยาวช่วง ultraviolet ความยาวของวงแหวนในภาพนี้คือ 10,000 กม. สีต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นเป็นผลจากความแตกต่างในองค์ประกอบของวงแหวน สีเทอร์คอยส์ สะท้อนส่วนประกอบที่เป็นน้ำเกือบบริสุทธิ์ ในขณะที่สีแดงเป็นน้ำแข็งที่ปนเปื้อนฝุ่นผง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 88 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 14:05
|
|
วงแหวนของดาวเสาร์นี้ประกอบขึ้นจากอนุภาคมากมาย ที่มีขนาดตั้งแต่ไม่กี่ไมโครเมตร (1/1,000,000 เมตร - ระดับฝุ่น) จนถึงหลายเมตร(ขนาดภูเขา) รวมตัวกันโคจรรอบดาวเสาร์ อนุภาคเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำแข็งและก้อนหิน
ภาพวงแหวนอย่างชิดใกล้ในจินตนาการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 89 เมื่อ 04 ก.พ. 15, 14:10
|
|
ในทางดาราศาสตร์, คำศัพท์ แก๊ส น้ำแข็ง และ หิน ใช้อธิบายถึงประเภทองค์ประกอบสสารต่างๆ ที่พบทั่วระบบสุริยะ ดังนี้
หิน - องค์ประกอบที่มีจุดหลอมเหลวสูง (สูงกว่า 500 เคลวิน*) เช่นพวก ซิลิเกต องค์ประกอบหินพบได้มากในกลุ่มระบบสุริยะชั้นใน เป็นส่วนประกอบหลักของดาวเคราะห์และ ดาวเคราะห์น้อย
*หน่วยวัดอุณหภูมิทางเทอร์โมไดนามิคส์ ที่ William Thomson, 1st Baron Kelvin พัฒนา ขึ้นใหม่ โดยการหาความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและความเร็วของอิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่รอบ นิวเคลียส จากการสังเกตว่า ถ้าให้ความร้อนกับสสารมากขึ้น อิเล็กตรอนจะมีพลังงานมากขึ้น, เคลื่อนที่เร็วขึ้น ในทางกลับกันถ้าลดความร้อน อิเล็กตรอนก็จะมีพลังงานน้อยลง, เคลื่อนที่ลดลง และ ถ้าลดอุณหภูมิลงจนถึงจุดที่อิเล็กตรอนหยุดการเคลื่อนที่ ณ จุดนั้น จะไม่มีสิ่งใดหนาวเย็นไป กว่านี้ได้อีก อุณหภูมิหรือพลังงานในสสารก็ไม่มี และไม่มีการแผ่รังสีความร้อนจากวัตถุ(เพราะไม่มี การเคลื่อนที่ของอะตอมที่ทำให้เกิดรูปแบบของพลังงานจลน์ ที่เรียกว่า “ความร้อน”) จึงเรียกอุณหภูมิ ณ จุดนี้ว่า ศูนย์สัมบูรณ์ (0 K)
เปรียบเทียบค่าองศาทั้งสาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|