SILA
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 16 ม.ค. 15, 09:47
|
|
ดาราจักรเพื่อนบ้าน แอนดรอมิดะ(Andromeda) ซึ่งอยู่ใกล้ดาราจักรของเราที่สุด (2.5 ล้านปีแสง) นี้ นอกจากจะมีขนาดใกล้เคียงทางช้างเผือกแล้ว นางยังเคลื่อนตรงมุ่งมาสู่ ด้วยความเร็วที่ 300 กม./วินาที
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 61 เมื่อ 16 ม.ค. 15, 09:49
|
|
ประมาณการได้ว่าในอีกไม่กี่(ราว 4) พันล้านปี ดาราจักรทั้งสองก็จะปะทะปฏิสัมพันธ์ รวมกันเป็นดาราจักรรูปวงรีที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้น
กรอบแรกคือภาพปัจจุบัน - กรอบสุดท้ายคือภาพอนาคตไกลโพ้น 7 พันล้านปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 16 ม.ค. 15, 09:51
|
|
ฟากฟ้าครานางมาเยือน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 16 ม.ค. 15, 09:53
|
|
คลิป Milky Way and Andromeda Galaxies Collision
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 16 ม.ค. 15, 10:19
|
|
หลังจากการปะทะ, ปะปนรวมกัน(collide, merge) ของสองดาราจักรรูปเกลียว กลายเป็นดาราจักรรูปรีที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ดวงอาทิตย์ของเราถูกโยนไปโคจรรอบดาราจักรใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 21 ม.ค. 15, 09:29
|
|
จากภาพพยากรณ์ข้างบนขององค์การนาซาบอกว่า ดวงอาทิตย์ยังอยู่รอดปลอดภัย หลังการปะทะ แต่สำหรับบางคนอาจจะยังกังขาด้วยว่า เมื่อมองภาพดาราดารดาษอาจชวนให้คิดว่าดาวใกล้ชิดกัน ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ดาวนั้นอยู่กันแสนห่างไกล
ดาวเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่สุดอย่าง Proxima Centauri ก็ยังอยู่ห่างจากระบบสุริยะ ไปไกลลิบถึง 60 ล้านรัศมีดวงอาทิตย์ ดังนั้นโอกาสที่ดวงอาทิตย์จะปะทะชนกับดวงดาวของ ดาราจักรแอนดรอมิดะจึงมีได้แบบว่า 1 in a hundred-billion ส่วนโอกาสที่ดาวจะเฉียดเข้าใกล้โลกเราจนกระทบต่อวงโคจรของโลกก็เป็นไปได้ในระดับ แบบว่า 1 ในล้าน เพราะระยะห่างระหว่างดาวแสนยาวไกลเช่นนี้ หากจะเกิดเหตุการณ์ดาวสมาชิกของสอง ดาราจักรชนกันก็คงจะมีแค่ไม่กี่ดวง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 21 ม.ค. 15, 09:34
|
|
แต่แม้ว่าจะรอดเมื่อถึงเวลาปะทะกัน และ แม้ดวงอาทิตย์จะยังไม่แปรไปเป็น ดาวแดงยักษ์(red giant star) หากทว่าในยามนั้นดวงตะวันก็ได้เข้าสู่ช่วงอายุขัยวัยชรา
เช่นเดียวกับวงจรชีวิตของดาวฤกษ์ดวงอื่น มีเกิด แก่ แล้วดับ ดวงอาทิตย์ในวันนี้ อยู่ในช่วงวัยกลางของชีวิต คือ ประมาณ 5,000 ล้านปี คาดว่าดวงอาทิตย์จะมีอายุอยู่ต่อไป อีกราว 5,000 ล้านปี รวมเป็นอายุขัยยืนยาวราว 10,000 ล้านปี ซึ่งเป็นอายุเฉลี่ยของดาวฤกษ์ทั่วไป ณ ปัจจุบัน ดวงอาทิตย์ส่องแสงแผ่พลังงานอยู่ในสภาพสมดุล จากปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ ในใจกลางดวงสมดุลกับการยุบตัวเนื่องจากแรงโน้มถ่วง นั่นคือ การเผาไหม้และหลอมละลายจากภายในซึ่งประกอบด้วยเชื้อเพลิง Hydrogen และ Helium มีการปลดปล่่อย ผลิตแสงสว่าง ความร้อน สารกัมมันตรังสีต่างๆ ออกมาจากภายในแกน (Core) ขณะเดียวกัน บริเวณผิวด้านนอกของดาวก็ได้สะสมก๊าซเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไป หลายพันล้านปีบรรยากาศภายนอกดาวจึงเต็มไปด้วยเชื้อเพลิงมหาศาลที่ยังไม่ถูกเผาไหม้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 21 ม.ค. 15, 09:42
|
|
เมื่อเชื้อเพลิง Hydrogen ภายในแกนเหลือน้อยลง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มเข้าสู่ช่วงชีวิตบั้นปลาย ที่ไม่สมดุล การเผาไหม้เริ่มขยายตัวจากชั้นภายในสู่เชื้อเพลิงก๊าซที่เหลืออยู่ภายนอกรอบๆ ดวง เพื่อ รักษาดุลยภาพพลังงานของดวงอาทิตย์ บรรยากาศเกิดสภาพกดดันอุณหภูมิภายนอกมีความร้อนเพิ่มขึ้น ทำปฏิกิริยากับก๊าซที่สะสม โดยรอบมานาน เกิดระเบิดและแผ่รังสีอย่างมหาศาล ทำให้เกิดการขยายตัวของดาวใหญ่กว่าปกติ หลายร้อยหรือพันเท่า การลุกไหม้อย่างโชติช่วงดังกล่าว มองเห็นเป็นสีแดงเพลิง ขนาดใหญ่โต เรียกว่า ดาวยักษ์สีแดง (Red Giant Star) ก๊าซและฝุ่นรอบนอกถูกแรงดันแผ่กระจายออกทุกทิศทาง มีลักษณะคล้ายวงแหวนของก๊าซ เรียกว่า เนบิวลาดาวเคราะห์(Planetary Nebula) ขณะที่ใจกลางดวงอาทิตย์ยุบตัวลงด้วยแรงโน้มถ่วงที่มีพลังสูงจนมีขนาดเล็กเท่าโลกกลาย เป็น ดาวแคระขาว (White Dwarf) และสิ้นสุดชีวิตดาวฤกษ์กลายเป็นดาวตายดับไปในที่สุด(Black Dwarf)
แผนภาพชีวิตดวงอาทิตย์ของเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 22 ม.ค. 15, 10:23
|
|
ดังนั้นยามเมื่อนางมาเยือน ดวงอาทิตย์ก็จะอยู่ในช่วงเวลาขยายตัวเปล่งแสงแรงกล้า แผดเผาผิวโลกเรา(ประมาณว่า ดวงอาทิตย์จะสว่างขึ้น 10 % ทุก ๆ 1,000 ล้านปี) น้ำทะเล จะเหือดแห้ง สิ่งแวดล้อมและบรรยากาศโลกเปลี่ยนไปไม่เอื้อต่อสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์พยากรณ์ว่า เวลาของสิ่งมีชีวิตบนโลกเหลืออยู่อีกประมาณ 1,750 - 3,500 ล้านปี บ้างก็ว่าที่ 2,800 ล้านปี โดยเริ่มจากราว 500 ล้านปี พืชบางสายพันธุ์จะสูญพันธุ์ก่อน ตามมาด้วยสัตว์ที่อาศัยพืชนั้นเป็นอาหาร จากนั้นก็จะพากันล้มตายมากขึ้นๆ ตามอุณหภูมิโลกที่ร้อน เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งเมื่อราว 2,800 ล้านปี จะมีเหลือเพียงจุลชีพเท่านั้นที่อยู่ได้ในโลกนี้ และเมื่อ อุณหภูมิโลกขึ้นสูงเกิน 140 องศาซี ที่เป็นจุดแตกสลายของ DNA สิ่งมีชีวิตสิ่งสุดท้ายก็จะตาย สิ้นโลก ก่อนถึงเวลานั้นมนุษย์ก็ได้พากันโยกย้ายไปยังดาวดวงอื่นแล้ว เพราะโลกโดนแผดเผาจน อยู่ไม่ได้และต่อไปก็จะถูกกลืนกินด้วยดวงอาทิตย์ที่ขยายตัวเป็นดาวแดงยักษ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 22 ม.ค. 15, 10:46
|
|
ส่วนนักวิทยาศาสตร์เซเลบ Stephen Hawking (ซึ่งหนังชีวประวัติของเขาเรื่อง The Theory of Everything จะเข้าฉายในต้นเดือนหน้านี้ ) ให้ความเห็นว่า มนุษยชาติจะไม่สามารถอยู่ในโลกใบนี้ได้อีกถึง 1,000 ปี พวกเราต้องท่องไปในอวกาศ เพื่อแสวงหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ สตีเฟนเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่เชื่อมั่นว่า มีมนุษย์ต่างดาวอาศัยอยู่บนดาวต่างๆ ในจักรวาลนี้ และหากพวกเขามาเยือนโลกเมื่อใด จะเกิดมหันตภัยกับมวลมนุษย์คล้ายกับเมื่อตอนที่โคลัมบัสค้น พบทวีปอเมริกา นักวิทยาศาสตร์บางคนให้เวลาที่เหลือน้อยลงไปอีก ด้วยแนวคิดว่า อีก 300 ปีโลกเรา จะมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 12 องศา น้ำจะท่วมแผ่นดินราว 40% และทรัพยากรในพื้นดินที่เหลือ จะถูกใช้ไปหมดสิ้นจนมนุษย์ต้องอพยพออกจากโลกนี้ไปหาที่อยู่ใหม่ในโลกหน้า
เป้าหมายในขณะนี้ที่พอจะสามารถไปถึงได้ - ดาวอังคาร, บ้านใหม่ในระบบสุริยะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ทอภู่เท่า
อสุรผัด
ตอบ: 7
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 22 ม.ค. 15, 17:22
|
|
อ่านแล้วตัวเล็กลงเล็กลงเท่ากับโมเลกุลของอะไรสักอย่างนึง ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 22 ม.ค. 15, 17:49
|
|
อาจจะเล็กลงอีก เท่าอะตอม ค่ะ เมื่ออ่านจบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 05:45
|
|
อาจจะเล็กเสียยิ่งกว่าอะตอม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 09:45
|
|
และ เล็กลงไปได้อีก, ยิ่งกว่าอะตอม ที่ระดับ Quark ซึ่งเป็นอนุภาคเล็กที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ ครับ
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 23 ม.ค. 15, 10:13
|
|
เมื่อมีจุดหมายปลายทางแล้ว ก้าวต่อไปคือ การไปให้ถึง ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญ มนุษย์เราจะท่องไปในอวกาศโดยดำรงคงอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก(แรงโน้มถ่วง) เป็นเวลา ยาวนานได้อย่างไร นักบินอวกาศที่กลับมาจากการปฏิบัติหน้าที่เป็นเวลานานในอวกาศประสบปัญหาอ่อนเพลีย และอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับกายได้เอง
มีนาคม 2014, แคปซูลโซยุสได้พานักบินอวกาศรัสเซียสองนายและอเมริกันหนึ่งนายกลับสู่โลก โดยปลอดภัยหลังเสร็จสิ้นภารกิจที่สถานีอวกาศนานาชาติ ISS นาน 5 เดือนครึ่ง ในภาพคือ Flight Engineer Sergey Ryazanskiy ขณะได้รับการช่วยเหลือนำออกจากแคปซูลที่คาซัคสถาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|