SILA
|
ความคิดเห็นที่ 165 เมื่อ 17 มี.ค. 15, 10:10
|
|
ส่วนตะวันตกของเนบิวลา(ด้านล่างของภาพนี้) มีชื่อว่า เนบิวลาไม้กวาดแม่มด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 166 เมื่อ 17 มี.ค. 15, 10:12
|
|
The Witch's Broom Nebula
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 167 เมื่อ 17 มี.ค. 15, 10:14
|
|
เมื่อมองภาพขยายใกล้ แลเห็นดาวเจิดจ้าดวงนั้นคือ 52 Cygnus - ดาวยักษ์สีเหลือง ซึ่งเป็นหนึ่งในเหล่าดาวคู่แห่งหมู่ดาววงศ์หงส์ Cygnus
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 168 เมื่อ 25 มี.ค. 15, 10:35
|
|
จากธุลีละอองดาวฤกษ์ขนาดยักษ์แบบ เนบิวลาซากซุปวา ต่อไปมาดูธุลีละอองดาวฤกษ์ขนาดย่อม แบบ เนบิวลาดาวเคราะห์ Helix Planetary Nebula ดาวฤกษ์ขนาดดวงอาทิตย์ที่กำลังสิ้นอายุขัยปล่อยรังสี UV เปล่งแสงสว่าง แลเห็นเป็นเมฆหมอก ดาวเคราะห์ Planetary Nebula นี้มีรูปลักษณ์แลดูคล้ายเนตรนภากาศ บ้างเรียกว่า Eye of Sauron แห่ง Lord of the Rings เป็นหนึ่งในเนบิวลาดาวเคราะห์ที่สุกสว่างและอยู่ใกล้โลกที่สุด('แค่'ราว 700 ปีแสง) ในแถบหมู่ดาว คนเท(คนโท) น้ำ(Aqaurius) ผลงานศิลปะสร้างสรรค์โดยธรรมชาตินี้ คืออังคารของดาวฤกษ์อย่างดวงอาทิตย์ของเรา ที่ใจกลาง ของดาวนี้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่คือ ขบวนการนิวเคลียร์ฟิวชั่นผันไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมปลดปล่อยพลังความร้อน และแสงสว่างออกมา เมื่อไฮโดรเจนหมดลง ดาวก็หันไปใช้ฮีเลียมเป็นเชื้อเพลิงหลอมให้เกิดธาตุหนักกว่าขึ้น มา ได้แก่ คาร์บอน, ไนโตรเจน และ อ็อกซิเจน จนกระทั่งเมื่อฮีเลียมหมดลง, ดาวที่ใกล้ตายก็จะกระจายชั้นแก๊สด้านนอกออกไป เหลือมวลไว้เป็น ดาวแคระขาวในส่วนใจกลางที่มีขนาดเล็ก, หนาแน่น และร้อนระอุ มีขนาดประมาณโลกเราแต่มีมวลมากกว่า
บันทึกโดยกล้อง Spitzer/IRAC(Infrared Array Camera)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 169 เมื่อ 25 มี.ค. 15, 10:38
|
|
ประกายเจิดจรัสของเมฆหมอกนี้มีสเปคตรัมที่กว้างตั้งแต่ ultraviolet - infrared, รังสี uv เข้มข้นแผดเผาชั้นแก๊สให้โชนแสงเป็นสี infrared ในขณะที่กล้องอีกตัวจับแสง ultraviolet เห็น เป็นสีน้ำเงิน และอีกตัวจับสัญญาน infrared เป็นสีเหลือง นอกอาณาเขตเมฆหมอก ดาวแคระขาวที่เหลือมองเห็นเป็นจุดสีขาวขนาดเท่าปลายเข็มอยู่ใจกลางเมฆหมอก
Helix Planetary Nebula บันทึกโดย Visible and Infrared Survey Telescope for Astronomy (VISTA)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 170 เมื่อ 25 มี.ค. 15, 10:40
|
|
กล้องนี้ยังได้จับภาพของโครงสร้างรูปเส้นสายของเมฆโมเลกุลเย็นที่จับตัวกันเป็นเส้นในแนวรัศมี ชี้ออกจากใจกลาง เมฆโมเลกุลไฮโดรเจนนี้มีชื่อเรียกว่า ปมดาวหาง(cometary knots) แต่มีความยาว เท่าความกว้างของระบบสุริยะ รวมตัวกันแน่นจนทนทานแรงรังสีจากดาวใกล้ดับด้วยมีฝุ่นและแก๊สโมเลกุล เป็นเกราะหุ้ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 171 เมื่อ 25 มี.ค. 15, 10:42
|
|
ภาพขยายปมปริศนานี้ที่รอคำอธิบาย คือ ปม(knot) แก๊สไฮโดรเจนจำนวนมหาศาล รูปร่างราว กับดาวหางชี้ออกจากดาวใจกลาง หนึ่งในสมมติฐานที่มาคือ แก๊สที่ถูกขับออกด้วยลมดาวจากดาวใจกลาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 172 เมื่อ 26 มี.ค. 15, 09:50
|
|
ภาพจาก Hay Creek Observatory เผยให้เห็นอาณาบริเวณสุกสว่างข้างในซึ่งมีความยาว ราว 3 ปีแสง เมื่อรวมกับส่วนขอบนอกที่จางกว่า เนบิวลานี้จะมีความกว้างยาวราว 6 ปีแสง จุดสีขาว ที่ตรงกลางคือ ดาวแคระร้อนระอุใจกลางเนบิวลานี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 173 เมื่อ 26 มี.ค. 15, 09:53
|
|
วาระสุดท้ายของดาวขนาดยักษ์ที่ดับลงด้วยการระเบิดแบบซุเปอร์โนวานั้น ได้หว่านสสาร กระจายสู่มวลสารระหว่างดวงดาวที่ในเวลาต่อมา สสารเหล่านี้ได้รวมตัวกันเกิดเป็นมวลหมู่ดาวพราวฟ้า ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือระบบสุริยะของเราด้วย ประมาณการว่าระบบสุริยะก่อกำเนิดขึ้นเมื่อ 4,600 ล้านปีมาแล้ว โดยเชื่อว่า คลื่นกระแทก (shockwave) จากซุปวาเมื่อ 4,700 ล้านปี ส่งผลให้เมฆโมเลกุลยักษ์ยุบตัวลงเป็นระบบสุริยะ เนื่องจากช่วงระหว่างการระเบิดซุปวานี้ได้เกิดมีขบวนการสร้างธาตุกัมมันตรังสีขึ้นมาด้วย เมื่อ นักวิทย์ทำการศึกษาระยะเวลาการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีนี้ ทำให้สามารถระบุเวลาของซุปวาได้ที่ 100 ล้านปีก่อนกำเนิดระบบสุริยะ นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า มีเหตุการณ์ดาวแดงยักษ์เกิดขึ้นเมื่อ 30 ล้านปีก่อนกำเนิดระบบสุริยะด้วย นั่นคือ ระบบสุริยะของเรานี้ได้รับสสารที่มากับแรงกระแทกของซุปวาและตามมาด้วยลมจาก ดาวแดงยักษ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 174 เมื่อ 26 มี.ค. 15, 09:56
|
|
ส่วนวาระสุดท้ายของดาวขนาดย่อมยามเมื่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ไฮโดรเจนใกล้หมด ดาวจะปลด ปล่อยแสงส่องสว่างกว่าเดิมนับพัน, นับหมื่นเท่า และมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่ดาวใกล้จะดับ แต่ดาวกลับสร้างธาตุกำเนิดชีวิตขึ้น นั่นคือ ธาตุคาร์บอนที่เกิดมาจากเตา นิวเคลียร์ของดาวแขนง AGB (ที่ได้กล่าวถึงไปแล้ว)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 175 เมื่อ 26 มี.ค. 15, 09:59
|
|
คาร์บอนและธาตุหนักตัวอื่นๆ จะค่อยๆ ถูกปล่อยออกไปในลักษณะของลมฝุ่นโอบรอบดวงดาว แลดูคล้ายรังไหม และ เฉกเช่นผ้าไหมสวยงามที่ถือกำเนิดจากรังไหม ในที่สุดรังฝุ่นนี้ก็จะกระจายออกไป กลายเป็น เมฆหมอกดาวเคราะห์ Planetary Nebula เนบิวลาแสนงามแห่งห้วงอวกาศและทิ้งดาวแคระ สีขาวไว้เบื้องหลัง
ภาพ NGC 2440 - เนบิวลาดาวเคราะห์ - เมฆหมอกที่ถูกขับออกมาจากดาวสิ้นอายุขัย เหมือนดั่งรังไหม ห่อหุ้มดาวแคระขาวตรงใจกลางซึ่งเป็นหนึ่งในดาวที่ร้อนแรงสุดด้วยอุณหภูมิผิวเกือบถึง 200,000 Celsius แผดรังสี UV ทำให้เนบิวลาเปล่งแสง ในขณะที่ส่วนซึ่งเป็นฝุ่นบังแสงแลเห็นเป็นเส้นมืดพุ่งออกจากใจกลาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 176 เมื่อ 30 มี.ค. 15, 09:54
|
|
คาร์บอนและธาตุอื่นๆ ในลมจากดาวแขนง AGB จะผสมปะปนกับมวลสารระหว่างดาว เป็น มวลพร้อมสำหรับการก่อเกิดเป็นดาวดวงใหม่ และ อาจกล่าวได้ว่าธาตุเกือบทุกชนิดบนโลกของเรานี้มีที่มาจากอังคารดาว โดยที่นอกจากไฮโดรเจน และฮีเลียม(ซึ่งมาจากฝุ่น Big Bang)แล้ว คาร์บอน,ไนโตรเจน, อ็อกซิเจนในร่างกายของมนุษย์ทั้งหลาย ตลอดจนธาตุหนักอื่นๆ ก็น่าจะมาจากภัสมธุลีเศษละอองฝุ่นดาวดับในอดีตเมื่อก่อนกำเนิดระบบสุริยะนั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 177 เมื่อ 30 มี.ค. 15, 09:56
|
|
จากการคำนวณจำนวนอะตอมของร่างกายเรามีจำนวนทั้งสิ้นมหาศาลราว 7 x 10^(ยกกำลัง) 27 เป็นอะตอมไฮโดรเจน 4.2 x 10^27 ส่วนที่เหลือเป็นอะตอมที่มาจากละอองดาวคิดได้เป็น 40 % เนื่องจากอะตอมจากละอองดาวนี้เป็นธาตุหนัก ดังนั้นหากคิดเป็นมวลแล้วก็จะมีค่ามากกว่าคิดตาม จำนวนอะตอม ไฮโดรเจนในร่างกายของเรานั้นส่วนใหญ่ไหลไปในรูปของน้ำซึ่งเป็นส่วนประกอบราว 60% ของร่างกาย ซึ่งคำนวณแล้วได้เป็นมวลไฮโดรเจนเพียงราว 11 % ของมวลของน้ำ จากข้อมูลเหล่านี้ เราสามารถสรุปได้ว่า 93 % ของมวลร่างกายเรานั้นมาจากละอองดาว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 178 เมื่อ 30 มี.ค. 15, 09:59
|
|
นักดาราศาสตร์ชื่อดัง(ซึ่งเคยกล่าวถึงไปแล้ว) Carl Sagan บอกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 179 เมื่อ 30 มี.ค. 15, 10:01
|
|
นักจักรวาลวิทยา ผู้เคลื่อนไหวให้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อลดลบความเชื่อเดิมๆ Lawrence Maxwell Krauss ประกาศว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|