SILA
|
ความคิดเห็นที่ 105 เมื่อ 11 ก.พ. 15, 10:16
|
|
Stellar wind ลมดาวฤกษ์ คือ การเคลื่อนไหลอย่างต่อเนื่องของสสารในสภาพแก๊ส ที่ถูกขับออกมาจากชั้นบรรยากาศด้านบนของดาว ด้วยอัตราระหว่าง 20 - 2,000 กม./วินาที ขึ้นกับขนาดของดาว ดาวแดงยักษ์(Red Giant), ดาวแดงยักษ์มหึมา(Red Supergiant) และดาว AGB จะขับมวลสสารจำนวนมากแต่พัดช้า ลมนี้ถูกขับเคลื่อนโดยแรงดันการแผ่รังสีที่กระทำต่อฝุ่นซึ่ง มีอยู่หนาแน่นในชั้นบรรยากาศชั้นนอกของดาว ส่วนลมจากดาวมวลมหึมาจะมีมวลน้อยแต่เร็วแรง กว่าลมจากดาวมวลต่ำ และ ลมสุริยะ ที่เป็นอนุภาคประจุไฟฟ้าซึ่งถูกปล่อยออกมาจากชั้นบรรยากาศ ชั้นนอกของดวงอาทิตย์ก็จัดเป็นลมดาวฤกษ์เช่นกัน
ภาพจากกล้อง Spitzer นำเสนอ ดาวยักษ์ Zeta Ophiuchi แผลงฤทธิ์ออกแรงกระแทกเมฆฝุ่น ที่รายรอบด้วยลมดาวฤกษ์จากดาวดวงนี้ที่โคจรอย่างเร็วรี่ก่อแรงกระเพื่อมธุลีเป็นระลอกริ้วแลเห็น เป็นพลิ้วพรายสายเส้นใย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 106 เมื่อ 11 ก.พ. 15, 10:20
|
|
ภาพที่จะนำเสนอต่อไปจากกล้องฮับเบิลเป็นภาพปรากฏการณ์ของดาวฤกษ์มวลปานกลาง วัยชราในขั้นตอนสุดท้ายวายชีวีที่ดาวต้องก้าวไปสู่ นั่นคือ ยามที่ดาวนั้นหมดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์แล้ว อยู่ในระยะที่เรียกว่า สภาวะก่อนเนบิวลาดาวเคราะห์(preplanetary /protoplanetary nebula stage) ซึ่งเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ระหว่างระยะตอนปลายของแขนงดาวยักษ์อะซิมโทติก(late asymptotic giant branch - LAGB) กับ ระยะ เมฆหมอกดาวเคราะห์(planetary nebula -PN) ช่วงเวลานี้ ส่วนใจกลางของดาวจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นจากการเผาไหม้ของแก๊สไฮโดรเจน อุณหภูมิ ที่สูงขึ้นจนถึง 30,000 K ทำให้เกิดการแผ่รังสี ultraviolet เผาแก๊สรอบดวงดาวจนเกิดประจุกลายเป็น planetary nebula
|
คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 107 เมื่อ 11 ก.พ. 15, 10:24
|
|
ที่เป็นขั้นตอนหนึ่งของวิวัฒนาการช่วงสุดท้ายของดาวฤกษ์มวลน้อย และมวลปานกลาง เมื่อปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ในแกนกลางยุติลง ทำให้ดาวเสียสมดุลระหว่างแรงดันออกจาก ความร้อนกับแรงโน้มถ่วง แกนกลางดาวจะยุบตัวเข้าหาศูนย์กลางจากแรงโน้มถ่วง กลายเป็น ดาวแคระขาว ส่วนเปลือกภายนอกและเนื้อสารของดาวจะหลุดออก และขยายตัวไปในอวกาศ เป็น เนบิวลาดาวเคราะห์ซึ่งไร้พลังงาน แต่สว่างได้เนื่องจากได้รับพลังงานจากดาวแคระขาวที่ อยู่ภายใน เมื่อเวลาผ่านไปดาวแคระขาวจะเย็นตัวลง และเนบิวลาดาวเคราะห์ก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนจางไปในอวกาศ แม้จะเรียกว่าเนบิวลาดาวเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์ ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะ ที่เป็นวงกลมขนาดเล็กแลคล้ายดาวเคราะห์เมื่อสังเกตจากกล้องโทรทรรศน์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 108 เมื่อ 11 ก.พ. 15, 10:28
|
|
ส่วนคำว่า เนบิวลา (Nebula - มาจากภาษาละติน หมายถึง "เมฆ, หมอก") ละอองระหว่างดาว หมายถึง กลุ่มเมฆหมอกของ ฝุ่น, แก๊สไฮโดรเจน, ฮีเลียม และพลาสมา* ในอวกาศ รวมตัวกันด้วย แรงโน้มถ่วง มีปริมาณมหึมามหาศาลกระจายอยู่ท่ามกลางดาวฤกษ์ในดาราจักร บ้างมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ถึง 10 ปีแสง บ้างก็ใหญ่กว่าระบบสุริยะถึง 10 เท่า *พลาสมา - สถานะ(ที่สี่)ของสสาร คือ แก๊สที่มีสภาพเป็นไอออน - ประจุไฟฟ้า เกิดจากการเผาแก๊ส จนมีอุณหภูมิสูงมาก หรือการผ่านสนามแม่เหล็กไฟฟ้ากำลังแรงจากแสงเลเซอร์หรือไมโครเวฟ ทำให้ เกิดการเพิ่มหรือลดจำนวนอิเล็คตรอน ส่งผลให้ได้เป็นอนุภาคที่มีประจุบวกหรือลบ เรียกว่า ไอออน ประจุไฟฟ้าจะทำให้พลาสมามีสภาพการนำไฟฟ้าจึงสนองตอบต่อสนามแม่เหล็กไฟฟ้าก่อเกิดรูปร่าง เป็นเส้นสาย(filaments), ลำแสง(beams) และชั้นต่างประจุคู่ขนานกัน(double layers)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 109 เมื่อ 11 ก.พ. 15, 10:36
|
|
เนบิวลา มีทั้ง'แบบว่า' เนบิวลาเปล่งแสง ในตัวเองจากการเรืองแสงของอะตอมของไฮโดรเจน ที่อยู่ในสถานะไอออน เนื่องจากได้รับความร้อนจากดาวฤกษ์เกิดใหม่ภายในเนบิวลานั้นเอง ไอออน ไฮโดรเจนนี้จะถูกอิเล็กตรอนอิสระกลับเข้าไปจับแล้วคายพลังงานออกมาในช่วงคลื่นเฉพาะตัวตามธาตุ องค์ประกอบของเนบิวลา ทำให้มีสีต่างๆ กัน กับ เนบิวลาสะท้อนแสง จากการกระเจิงแสงของดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ไม่ร้อนมากพอ และ เนบิวลามืด ที่มีองค์ประกอบหลักเป็นฝุ่นหนาเช่นเดียวกับเนบิวลาสะท้อนแสง แต่เนบิวลามืดนี้ไม่มีแหล่งกำเนิดแสง อยู่ภายในหรือโดยรอบ ปฏิสนธิของเนบิวลานั้น คาดว่าเกิดขึ้นมาพร้อมกับกำเนิดของจักรวาลที่ก่อกำเนิดดาวฤกษ์รุ่นแรก แล้วเกิดการระเบิดแตกดับของดาวฤกษ์กลายเป็นซากแก๊สและฝุ่นกระจายออกจากกัน ที่อาจจะกระจาย ออกไปรวมกับฝุ่นและแก๊สที่อื่นแล้วกลายกลับเป็นดาวฤกษ์ดวงใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 110 เมื่อ 12 ก.พ. 15, 10:13
|
|
ภาพเนบิวลาทั้ง 3 ชนิด ใน กลุ่มดาวนายพราน(Orion) ที่มนุษย์รู้จักกันมายาวนาน แถบย่านกึ่งกลางกลุ่มดาวนี้มีดาวเรียงกัน 3 ดวง เรียกว่า เข็มขัดนายพราน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 111 เมื่อ 12 ก.พ. 15, 10:15
|
|
เนบิวลาหัวม้า(Horsehead)มืด ที่โด่งดัง ตั้งอยู่ใต้ดาว Alnitak ในเข็มขัดนายพราน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 112 เมื่อ 12 ก.พ. 15, 10:21
|
|
ภาพนี้เป็นภาพประกอบ(composite image) จากฟิลเตอร์โพลาไรซ์ทั้ง 3 สี แสดงแสงสี (ซึ่งสีสันในภาพไม่ใช่สีที่แท้จริง) จาก"ประภาคารอวกาศ" นั่น คือ Egg Nebula อยู่ห่างจากโลกไป 3,000 ปีแสง เผยสภาวะขั้นตอนนี้ที่แลเห็นเป็นประกายเจิดจ้าจาก ความร้อนของดาวที่กำลังถึงแก่กรรมส่องแสงสว่างสู่เมฆหมอกแก๊สและฝุ่นที่รายลอบดาวนั้น แสงจากดาวส่องสะท้อนกับอนุภาคฝุ่นในลักษณะที่เรียกว่า แสงโพลาไรซ์ (Polarized light) ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ที่ชั้นบรรยากาศของโลกเช่นกัน เมื่อฝุ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ในลักษณะที่มีการเรียงตัว ของคลื่นเพียงแบบเดียว ในทิศทางที่แน่นอนก่อนที่จะถึงตาเรา ภาพนี้ถ่ายโดย Advanced Camera for Survey(ACS) ของฮับเบิล แสงจากฟิลเตอร์โพลาไรซ์ที่แตกต่างกัน 3 อันแสดงให้เห็นเป็นสีแดง เขียว และน้ำเงิน บริเวณใจกลาง เห็นเป็นสีขาวเนื่องจากมีฝุ่นหนากว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 113 เมื่อ 13 ก.พ. 15, 10:13
|
|
ที่ใจกลางของภาพ, ซ่อนอยู่ใต้เมฆฝุ่นหนาเนบิวลา คือ ดาวฤกษ์คู่ที่เราไม่สามารถมองเห็นดาวได้ โดยตรง หากแต่มีลำแสง 4 ลำจากดาวฤกษ์พุ่งตรงผ่านเนบิวลาออกมา นักวิทย์คิดกันว่า หลุมรูปร่างเหมือน วงแหวนในกลุ่มฝุ่นหนานี้ที่ถูกเจาะโดยไอพ่นพุ่งจากดาวได้เปิดช่องทางให้ลำแสงลอดออกมาจากเมฆทึบแสง ส่วนลักษณะประกายแสงของเมฆที่จางกว่าซ้อนกันเป็นชั้นๆ คล้ายหอมหัวใหญ่ ที่รายล้อมรังฝุ่นบริเวณ ใจกลางนั้นเป็นผลจากการระเบิดของมวลสารที่เกิดขึ้นอย่างเป็นช่วงเวลาที่แน่นอนจากดาวซึ่งกำลังจะตาย การปะทุนี้มักจะเกิดขึ้นทุกๆ ไม่กี่พันปี
ภาพนี้จากกล้อง Wide Field Camera 3 ของ Hubble บันทึกภาพโดยเปิดรับแสงที่ตามองเห็น และ แสง infrared
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 114 เมื่อ 13 ก.พ. 15, 10:18
|
|
ฝุ่นผงละเอียดนี้ ส่วนใหญ่เป็นธาตุคาร์บอนที่สร้างมาจากนิวเคลียร์ฟิวชั่นในใจกลางของดาวแล้ว ถูกผลักออกสู่อวกาศเมื่อเวลาผ่านไป ในดาวที่มีอายุน้อยกว่า ฝุ่นนี้จะเป็นองค์ประกอบสำคัญในการก่อตัว ของดาวเคราะห์รายรอบดาวฤกษ์
สองภาพจาก Hubble นี้ มีกล้อง Wide Field and Planetary Camera 2 (WFPC2) จับภาพใน แสงสีแดง(ซ้าย) และกล้อง Near Infrared Camera and Multi-Object Spectrometer (NICMOS) แสงสีแดงคือ แก๊สไฮโดรเจนที่ถูกเผาจากการปะทะชนกันของชั้นเปลือกดาวที่ขยายออก และ สีฟ้าคือ แสงจากดาวในใจกลางที่ถูกฝุ่นกระเจิงกระจายออก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 115 เมื่อ 13 ก.พ. 15, 10:24
|
|
พรุ่งนี้ วันที่ 14 ภุมภาพันธ์ ขอชวนชม เนบิวลารูปกุหลาบ ครับ
The Rosette Nebula (หรือ NGC 2237) เป็นกลุ่มเมฆอวกาศและฝุ่นชนิดเปล่งแสง (Emission Nebula) ที่สดสวยด้วยสีสันและรูปทรงดอกกุหลาบสีแดง ประดับเวหาหาวห่างไกล ออกไป 5,200 ปีแสง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 116 เมื่อ 13 ก.พ. 15, 10:40
|
|
เนบิวลานี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 50 ปีแสง อยู่ที่ชายขอบของกลุ่มเมฆโมเลกุลใหญ่ ในย่านกลุ่มดาว Monoceros (เมฆชนิดโมเลกุล - Molecular cloud กล่าวคือ พื้นที่ของมวลสารระหว่างดาว* ที่มีความหนาแน่น จนอะตอมตั้งแต่สองตัวขึ้นไปสามารถรวมตัวกันเป็นโมเลกุลซึ่งส่วนใหญ่ คือ ไฮโดรเจน เมฆชนิดนี้จะมี อุณหภูมิต่ำมากถึง - 225 องศาซี และแก๊สจะเบียดเสียดกันแน่นจนรวมตัวกันด้วยแรงโน้มถ่วงให้กำเนิด เป็นดวงดาว)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 117 เมื่อ 14 ก.พ. 15, 09:05
|
|
ภาพนี้มีส่วนที่เป็นก้านยาวขนาดใหญ่ คือ แก๊สไฮโดรเจนสุกสกาว ส่วนกลีบกุหลาบคือ เมฆชนิดโมเลกุลหรือ เรือนอนุบาลดารา(Molecular Cloud เมื่อมียุวดาวกำเนิดขึ้นเรียกว่า Stellar Nursery) ที่ได้กระแสลมและรังสีจากกระจุกดาวตรงใจกลางสลักเสลารูปร่างสมมาตร
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 118 เมื่อ 14 ก.พ. 15, 09:16
|
|
ตามมาด้วย เนบิวลารูปหัวใจ ที่อยู่แสนไกลจากโลกถึง 7500 ปีแสง เป็นเนบิวลาเปล่งแสง สุกสว่างสร้างรูปหัวใจด้วยพลาสมาที่เป็นแก๊สไฮโดรเจนมีประจุและอิเล็คตรอนอิสระ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 119 เมื่อ 14 ก.พ. 15, 09:19
|
|
เคียงข้างอยู่ทางซ้ายมือคืออีกเนบิวลาเปล่งแสง จึงได้ชื่อคู่กับ Heart Nebula ว่า Soul Nebula
Soul & Heart
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|