เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 7045 กบฏ ร.ศ. ๑๓๐
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


 เมื่อ 13 พ.ย. 14, 11:57

เจอข้อมูลเกี่ยวกับ รศ 130 ที่ต่างออกไปจากของท่านอื่น ขอท่านผู้รู้ชี้แจงด้วยค่ะ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 11:59

ต่อค่ะ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 12:02

อันนี้เป็นหนังสืออ้างอิงที่ผู้เขียนใช้ค่ะ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 12:27

ไม่ต้องบอกก็พอเดาได้ว่าเอามาจากหนังสืออะไร

เชิญอาจารย์วรชาติอธิบายดีกว่าครับ
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 12:38

ว่าจะถามถึงหนังสือนี้อยู่เหมือนกัน แต่ขอรอฟังเรื่องนี้ก่อนนะคะ ^^'
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 17:41

เรื่อง ร.ศ. ๑๓๐ ที่มีการเผยแพร่กันมานั้นล้วนเป็นข้อมูลที่บิดเบือนทั้งสิ้น
เอกสารจดหมายเหตุเรื่องกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ที่มีเก็บรักษาไว้ที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติรวม ๒ กล่องกว่า ๒๐ แฟ้ม  เป็นเอกสารหลายพันหน้า  มีทั้งเอกสารที่ค้นได้จากบ้านผู้ต้องหาในดคดีดังกล่าว  คำให้การของผู้ถูกกล่าวหาในคดี  พระราชหัตถเลขาและลายพระหัตถ์รวมทั้งหนังสือโต้ตอบของผู้เกี่ยวข้องกับการจับกุม  สรุปความได้ว่า การก่อการกำเริบครั้ง ร.ศ. ๑๓๐ นั้น  มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นรีพปับลิค (Republic)  โดยจะมีการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นสำคัญ

มูลเหตุของการคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น  มีความปรากฏในเอกสาร "ว่าด้วยความเสื่อมซามแลความเจริญของประเทศ" ที่เจ้าพนักงานค้นได้จากบ้านนายพันตรี หลวงวิฆเนศวรประสิทธิ์วิทย์ นายร้อยเอก ขุนทวยหาญพิทักษ์  และนายร้อยตรี ชลอ  ซึ่งมีประเด็นที่สำคัญกล่าวถึงความเสื่อมทรามของชาติสยามว่า เกิดมาจากการปกครองแบบ "แอบโซลู๊ด มอนากี่"  ซึ่งกษัตริย์สยามใช้อำนาจ "แอ๊บโซลู๊ด"  "กดขี่"  และ "กดคอ" ราษฎรตามอำเภอใจ  ทำให้ราษฎรขาดอิสรภาพ  และเป็นอุปสรรคที่ทำให้ชาติสยามไม่สามารถก้าวสู่ความเจริญรุ่งเรืองหรือภาวะ "ศีวิลัย" ดังนานาชาติที่เจริญแล้วได้  ด้วยเหตุนี้เอกสารนี้จึงเสนอความคิดให้ "ล้มล้างประเพณีอันชั่วร้ายของกระษัตริย์"  ด้วยการนำเสนอทางเลือกสองแพร่งระหว่างการปกครองแบบ "ลิมิเต็ด มอนากี้" หรือการปกครองแบบ "รัปับลิก" ที่จำกัดอำนาจรัฐ  ตั้งแต่การจำกัดอำนาจของพระมหากษัตริย์จนถึงการเสนอให้มีการเลือกตั้งผู้ปกครองที่มาจากสามัญชนเพื่อให้ราษฎรมีความเสมอภาคกัน

สาระสำคัญของแนวคิดของนายทหารหนุ่มที่คิดก่อการคราวนั้นมีดังที่กล่าวมา  จากนั้นจึงมีการหยิบยกเรื่องภัยแล้งในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ และเรื่องการฝึกหัดเสือป่ามาเป็นเหตุผลประกอบ  นอกจากนั้นก็มีเรื่องการพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์ที่มหาดเล็กไดรับพระราชทานต่อพระหัตถ์  ส่วนข้าราชการอื่นๆ ต้องรอกันนานๆ  ส่วนที่มีผู้หยิบยกเรื่องการเล่นโขนของเสือป่ามาอ้างถึง  ไม่มีที่ใดที่กล่าวถึงเรื่องการใช้จ่ายเงินในพระราชสำนัก  เรื่องปัญหาการเงินการคลังของประเทศ  รวมถึงเรื่องการโบยหลังทหาร ๕ คนที่ศาลาว่าการยุทธนาการ  เมื่อมีการตรวจสอบแล้วกลับไม่มีการกล่าวถึงในเอกสารจดหมายเหตุชุด ร.ศ. ๑๓๐ เลย  คาดว่าเป็นนิยายที่แต่งขึ้นในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง  เพื่อสนับสนุนความชอบธรรมให้แก่คณะราษฎรผ฿้กระทำการเปลี่ยนแปลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕

จากเหตุผลของการก่อการกำเริบในคราวนั้นเมื่อตรวจดูรายชื่อผู้ร่วมก่อการล้วนเป็นนายทหารลั้นผ๔้น้อย  มีนายพันตรีเพียง ๑ นาย  นายร้อยเอกอีกไม่กี่นาย  ที่เหลือเป็นนายทหารชั้นนายร้อยโท และนายร้อยตรีหลายสิบคน  มีพลเรือนเข้าร่วมด้วยก็แต่เพียงข้าราชการกระทรวงยุติธรรมเพียงไม่กี่คน
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 18:01

แต่ดูจากที่มาแล้ว หนังสือ เหรียญรำลึก ที่พูดถึงเรื่องนี้เป็นหนังสือที่ผู้ก่อการกบฏในครั้งนั้นเขียนขึ้นมาเองในภายหลัง แสดงว่าผู้เขียนจงใจใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไปเองทีหลังใช่มั้ยคะ ถ้าบอกว่าไม่ตรงกับข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ แล้วส่วนที่พูดถึงเหตุการณ์ที่พระบรมโอรสาธิราชฯ ทรงยืนกรานที่จะสละพระอิสริยยศเพื่อกดดันรัชกาลที่ 5 ให้ทรงลงพระอาญาเฆี่ยนหลังนายทหารที่วิวาทกับมหาดเล็กของพระองค์นี่เป็นเรื่องจริงมั้ยคะ ตัดสินได้มั้ยคะว่าหนังสือเหรียญรำลึกนี้ให้ข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 18:10

เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

เอกสารจดหมายเหตุได้กล่าวถึงเรื่องราวการก่อกบฏครั้งนั้นไว้ชัดเจนว่า เจ้าพระยายมราช (ปั้น  สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาลได้ทราบข่าวการเตรียมการก่อการกำเริบมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ทราบจนถึงว่ามีการว่าจ้างชาวจีนซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างวินเซอร์ในกรุงเทพฯ ให้ฃักลอบติดต่อซื้ออาวุธจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง  แต่ยังมิได้ลงมือจับกุมเพราะต้องการรอให้หลักฐานมัดแน่น  ประจวบกับนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ  คงอยู่) ซึ่งกำลังจะย้ายไปรับราชการที่พิษณุโลกได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการ  โดยกลุ่มผู้ก่อการหวังจะให้นำแนวคิดของผู้ก่อการไปขยายต่อที่พิษณุโลก  แต่เมื่อหลวงสินาดฯ ได้รับทราบแนวคิดนี้แล้วได้นำความไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีการรายงานเป็นลำดับไปจนถึงนายพลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ซึ่งเวลานั้นทรงเทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกระกระลาโหม ซึ่งเสด็จไปรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เสนาธิการทหารบกทรงทราบเรื่องตลอดแล้ว  ได้มีพระบัญชาเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ ที่กองบัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์เมื่อจอนเช้าวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ (นับแบบเก่า)  เลิกประชุแล้วผู้บังคับบัญชาทหารได้แยกย้ายกันออกจับกุมแบะตรวจค้นที่ทำงานและบ้านพักแาศัยของผู้ก่อการทั้งหมด  แล้วนำตัวไปคุมขังไว้ที่ศาลาว่าการกระลาโหม  ส่วนตัวผู้นำในการก่อความไม่สงบถูกนำไปฝากขังไว้ที่เรือนจำมหันตโทษ (ตลองเปรม) ในความควบคุมของกระทรวงนครบาล  จากนั้นได้มีการสอบสวนโดยให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเขียนคำให้การด้วยลายมือของตน  

เนื่องจากในคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหานับจำนวนได้หลายร้อยคน  แม้จะผู้ถูกกล่าวหาจะมียศสูงสุดเพียงนายพันตรี  ซึ่งตามข้อบังคับศาลทหารองค์คณะตุลาการศาลทหารจะมีนายทหารยศสูงสุดเพียงชั้นนายพันน่วมเป็นองค์คณะ  แต่คงจะเป็นเพราะคณะผู้ก่อการนี้มุ่งร้ายถึงขั้นจะปลงพระชนม์ชีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จฯ เสนาธิการทหารบกจึงกราบบังคมทูลเสนอให้มีศาลทหารพิเศษประกอบด้วยองคณะ ๗ คน  เป็นตุลาการพิพากษาคดีนี้  เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วได้มีพระบรมราชโองการตั้งตุลาการศาลทหารพิเศษสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้รวม ๗ นาย คือ
๑. นายพลเอก พระยาสีหราชเดโชไชย (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล – จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม  
๒. นายพลตรี พระยาวรเดชศักดาวุธ (แย้ม  ณ นคร – นายพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ปลัดทูลฉลองกระทรวงกระลาโหม  
๓. นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม  อินทรโยธิน – นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน) จเรทหารม้าและทหารราบ  
๔. นายพลตรี พระยาพิไชยสงคราม (ม.ร.ว.สิทธิ์  สุทัศน์ – นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
๕. นายนาวาเอก พระยาวิจิตรนาวี (วิลเลียม  บุณยกลิน - นายพลเรือโท พระยาวิจิตรนาวี)  เจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ
เป็นตุลาการทหาร  และตุลาการพระธรรมนูญ อีก ๒ นาย ประกอบด้วย  
๑. นายพันเอก พระศรีณรงค์วิไชย (เจิ่น  บุนนาค – นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี) เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก  
๒. นายนาวาโท พระสุนทรานุกิจปรีชา (วิม  พลกุล – นายพลเรือตรี พระยาวินัยสุนทร) ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญทหารเรือ

ศาลทหารในเวลาปกติ จะประกอบด้วยตุลาการทหารซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ๒ - ๓ นาย  โดยตุลาการผู้เป็นหัวหน้าต้องมียศสูงกว่าจำเลยในคดี  เพื่อปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นผู้แทนของผู้บังคับบัญชาทหาร มีสิทธิออกเสียงในการพิจารณาพิพากษาได้ ๑ เสียง เช่นเดียวกับตุลาการพระธรรมนูญ เพื่อให้บังคับบัญชาทหารได้ทราบถึงมูลเหตุแห่งการกระทำผิด  มีส่วนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดตามความเหมาะสม และหาทางป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก  ส่วนตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารทั้วไปจะมีเพียง ๑ นายเป็นองคณะ  มีฐานะเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมาย เป็นองค์คณะผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทหาร ให้เป็นไปตามกฎหมาย  
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 18:12

เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

เอกสารจดหมายเหตุได้กล่าวถึงเรื่องราวการก่อกบฏครั้งนั้นไว้ชัดเจนว่า เจ้าพระยายมราช (ปั้น  สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาลได้ทราบข่าวการเตรียมการก่อการกำเริบมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ทราบจนถึงว่ามีการว่าจ้างชาวจีนซึ่งทำงานอยู่ที่ห้างวินเซอร์ในกรุงเทพฯ ให้ฃักลอบติดต่อซื้ออาวุธจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อก่อความไม่สงบในบ้านเมือง  แต่ยังมิได้ลงมือจับกุมเพราะต้องการรอให้หลักฐานมัดแน่น  ประจวบกับนายพันตรี หลวงสินาดโยธารักษ์ (ยุทธ  คงอยู่) ซึ่งกำลังจะย้ายไปรับราชการที่พิษณุโลกได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมขบวนการ  โดยกลุ่มผู้ก่อการหวังจะให้นำแนวคิดของผู้ก่อการไปขยายต่อที่พิษณุโลก  แต่เมื่อหลวงสินาดฯ ได้รับทราบแนวคิดนี้แล้วได้นำความไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งมีการรายงานเป็นลำดับไปจนถึงนายพลเอก สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ซึ่งเวลานั้นทรงเทำการแทนเสนาบดีกระทรวงกระกระลาโหม ซึ่งเสด็จไปรักษาพระองค์ที่ต่างประเทศ

เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าฯ เสนาธิการทหารบกทรงทราบเรื่องตลอดแล้ว  ได้มีพระบัญชาเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาทหารในกรุงเทพฯ ที่กองบัญชาการกองพลที่ ๑ รักษาพระองค์เมื่อจอนเช้าวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ (นับแบบเก่า)  เลิกประชุแล้วผู้บังคับบัญชาทหารได้แยกย้ายกันออกจับกุมแบะตรวจค้นที่ทำงานและบ้านพักแาศัยของผู้ก่อการทั้งหมด  แล้วนำตัวไปคุมขังไว้ที่ศาลาว่าการกระลาโหม  ส่วนตัวผู้นำในการก่อความไม่สงบถูกนำไปฝากขังไว้ที่เรือนจำมหันตโทษ (ตลองเปรม) ในความควบคุมของกระทรวงนครบาล  จากนั้นได้มีการสอบสวนโดยให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดเขียนคำให้การด้วยลายมือของตน  

เนื่องจากในคดีนี้มีผู้ถูกกล่าวหานับจำนวนได้หลายร้อยคน  แม้จะผู้ถูกกล่าวหาจะมียศสูงสุดเพียงนายพันตรี  ซึ่งตามข้อบังคับศาลทหารองค์คณะตุลาการศาลทหารจะมีนายทหารยศสูงสุดเพียงชั้นนายพันน่วมเป็นองค์คณะ  แต่คงจะเป็นเพราะคณะผู้ก่อการนี้มุ่งร้ายถึงขั้นจะปลงพระชนม์ชีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  สมเด็จฯ เสนาธิการทหารบกจึงกราบบังคมทูลเสนอให้มีศาลทหารพิเศษประกอบด้วยองคณะ ๗ คน  เป็นตุลาการพิพากษาคดีนี้  เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้วได้มีพระบรมราชโองการตั้งตุลาการศาลทหารพิเศษสำหรับพิจารณาพิพากษาคดีนี้รวม ๗ นาย คือ
๑. นายพลเอก พระยาสีหราชเดโชไชย (ม.ร.ว.อรุณ  ฉัตรกุล – จอมพล เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงกระลาโหม  
๒. นายพลตรี พระยาวรเดชศักดาวุธ (แย้ม  ณ นคร – นายพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต) ปลัดทูลฉลองกระทรวงกระลาโหม  
๓. นายพลตรี พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (อุ่ม  อินทรโยธิน – นายพลเอก เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน) จเรทหารม้าและทหารราบ  
๔. นายพลตรี พระยาพิไชยสงคราม (ม.ร.ว.สิทธิ์  สุทัศน์ – นายพลโท พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร) ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก
๕. นายนาวาเอก พระยาวิจิตรนาวี (วิลเลียม  บุณยกลิน - นายพลเรือโท พระยาวิจิตรนาวี)  เจ้ากรมช่างโยธาทหารเรือ
เป็นตุลาการทหาร  และตุลาการพระธรรมนูญ อีก ๒ นาย ประกอบด้วย  
๑. นายพันเอก พระศรีณรงค์วิไชย (เจิ่น  บุนนาค – นายพลตรี พระยาเทพาธิบดี) เจ้ากรมพระธรรมนูญทหารบก  
๒. นายนาวาโท พระสุนทรานุกิจปรีชา (วิม  พลกุล – นายพลเรือตรี พระยาวินัยสุนทร) ผู้ช่วยเจ้ากรมพระธรรมนูญทหารเรือ

ศาลทหารในเวลาปกติ จะประกอบด้วยตุลาการทหารซึ่งเป็นนายทหารสัญญาบัตร ๒ - ๓ นาย  โดยตุลาการผู้เป็นหัวหน้าต้องมียศสูงกว่าจำเลยในคดี  เพื่อปฏิบัติหน้าที่เสมือนเป็นผู้แทนของผู้บังคับบัญชาทหาร มีสิทธิออกเสียงในการพิจารณาพิพากษาได้ ๑ เสียง เช่นเดียวกับตุลาการพระธรรมนูญ เพื่อให้บังคับบัญชาทหารได้ทราบถึงมูลเหตุแห่งการกระทำผิด  มีส่วนพิจารณาลงโทษผู้กระทำผิดตามความเหมาะสม และหาทางป้องกันมิให้มีการกระทำผิดเช่นนั้นเกิดขึ้นได้อีก  ส่วนตุลาการพระธรรมนูญในศาลทหารทั้วไปจะมีเพียง ๑ นายเป็นองคณะ  มีฐานะเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งสำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมาย เป็นองค์คณะผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทหาร ให้เป็นไปตามกฎหมาย  
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 18:23

ขออนุญาตเล่าเรื่องการพิจารณาพิพากษาจำดลยในคดีกบฎ ร.ศ. ๑๓๐ ให้จบก่อนนะครับ  แล้วขะมาขยายความเรื่องโบยหลังทหารในตอนต่อไป

การสอบสวนและพิจ่ารณาพิพากษาคดีกบฏ ร.ศ. ๑๓๐ ดำเนินมาหลายเดือนที่สุด ศาลทหารพิเศษได้มีคำพิพากษาวางโทษจำเลยทั้งหมด ดังนี้ ประหารชีวิต ๓ คน จำคุกตลอดชีวิต ๒๐ คน จำคุก ๒๐ ปี ๓๒ คน จำคุก ๑๕ ปี ๖ คน และจำคุก ๑๒ ปี ๓๑ คน

แต่เมื่อได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลแล้ว   พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระมหากรุณาลดโทษให้ทุกคน  ด้วยทรงพระราชดำริว่า “...กรรมการพิพากษาลงโทษพวกเหล่านี้ชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมายทุกประการแล้ว แต่ว่าความผิดของพวกเหล่านี้ มีข้อสำคัญที่จะกระทำร้ายต่อตัวเรา  เราไม่ได้มีจิตรพยาบาลคาดร้ายแก่พวกนี้  เห็นควรที่จะลงหย่อนผ่อนโทษ  โดยถานกรุณาซึ่งเปนอำนาจของเจ้าแผ่นดินจะยกให้ได้...” ในที่สุดมีผู้ได้รับโทษดังนี้

โทษประหารชีวิตได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ๓ คน คือ นายร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ นายร้อยโท จรูญ ณ บางช้าง  และนายร้อยตรี เจือ ศิลาอาสน์
โทษจำคุกตลอดชีวิตได้รับพระราชทานอภัยโทษเหลือจำคุก ๒๐ ปี  จำนวน ๒๐ คน มีนายร้อยโทจือ  ควกุล  นายร้อยตรีเขียน อุทัยกุล  นายร้อยตรีวาศ วาสนา  นายร้อยตรีถัด รัตนพันธ์  นายร้อยตรีหม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร  นายร้อยตรีเหรียญ  ทิพยรัตน์  นายร้อยตรีเหรียญ ศรีจันทร์  นายอุทัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา ว่าที่นายร้อยตรีทวน เธียรพิทักษ์  นายร้อยตรีเนตร์ พูนวิวัฒน์  นายร้อยตรีสอน วงษ์โต  นายร้อยตรีปลั่ง บูรณะโชติ  นายร้อยตรีจรูญ ษตะเมษ  นายร้อยตรีทองดำ คล้ายโอภาส  นายร้อยตรี บ๋วย บุณยรัตนพันธ์  ว่าที่นายร้อยตรีศริ ชุณห์ประไพ  นายร้อยตรีจันทร์ ปานสีดำ  ว่าที่นายร้อยตรี โกย วรรณกุล นายพันตรีหลวงวิฆเนศประสิทธิวิทย์  นายร้อยตรีบุญ  แตงวิเชียร
   
ส่วนผู้มีชื่ออีก ๖๘ คนที่เหลือให้รอการลงอาญาไว้ “ซึ่งวางโทษไว้ในชั้นที่ ๓ ให้จำคุก ๒๐ ปี ๓๒ คน  แลวางโทษชั้นที่ ๔ ให้จำคุก ๑๕ ปี  แลวางโทษชั้นที่ ๕ ให้จำคุก ๑๒ ปี ๓๐ คนนั้น”  ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ “ให้รอการลงอาญาไว้  ทำนองอย่างเช่นที่ได้กล่าวในกฎหมายลักษณอาญา มาตรา ๔๑ แล ๔๒  ซึ่งว่าด้วยการรอลงอาญา  ในโทษอย่างน้อยนั้น  แลอย่าเพ่อให้ออกจากตำแหน่งยศก่อน” 

น่าสังเกตว่าผู้ก่อการทั้งหมดล้วนเป็นทหารชั้นผู้น้อยและอายุยังน้อยทั้งสิ้น นายพันตรี หลวงวิฆเนศร์ประสิทธิวิทย์ ผู้เดียวที่มีอายุ ๓๘ ปี  นอกนั้นมีอายุระหว่าง ๒๐ – ๓๐ ปีเป็นอย่างมาก  ผู้ที่ต้องโทษทั้งหมดนี้ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๗ ระหว่างถูกคุมขังถึงแก่กรรม ๒ คน คือ นายร้อยตรีวาส วาสนา และ นายร้อยตรีหม่อมราชวงศ์แช่ รัชนิกร ระหว่างต้องโทษทุกคนถูกถอดออกจากตำแหน่งยศและบรรดาศักดิ์
   
คณะผู้ก่อการซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเมื่อครั้งพระราชทานอภัยโทษเป็นอย่างมากดังที่ ร้อยตรีเหรีญ  ศรีจันทร์ และร้อยตรีเนคร  พูนพวิวัฒน์ ได้เขียนไว้ในภาคสรุปของหนังสือ "หมอเหล็งรำลึก  ภาคปฏิวัติครั้งแรกของไทย ร.ศ. ๑๓๐  พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานศพ ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษ์ (นายแพทย์เหล็ง  ศรีจันทร์) เมื่อวันที่  ๑๙  เมษายน  พ.ศ. ๒๕๐๓ ว่า

พระมหากรุณาที่มีต่อพวกเราซึ่งนับว่าเป็นครั้งสำคัญอย่างยิ่งล้นก็คือได้พระราชทานชีวิตพวกเราไว้จากคำพิพากษาของกรรมการศาลทหาร โดยเรามิแน่ใจนักว่าหากมิใช่พระราชาพระองค์นี้ทรงเป็นพระประมุขแล้วพวกเราจะได้พ้นจากการประหารชีวิตหรือหาไม่ขอให้ดูการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสมัยหลังจากนั้นมา ก็จะพบว่าน้ำพระทัยของพระองค์สูงกว่าน้ำใจของหลายคน ผู้ซึ่งยกตัวเองว่าเป็นนักประชาธิปไตยจนติดปาก
ครั้นเมื่อเสร็จสิ้นกระบวนความแห่งคดีปฏิวัติร.ศ.๑๓๐ แล้ว เราจำได้ไม่ผิดว่าองค์พระประมุขได้ทรงยอมให้รัฐบาลของพระองค์เรียกเก็บภาษีอากรได้จากทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์เยี่ยงพลเมืองทุกประการ...ยิ่งกว่านั้นยังได้ลดพระองค์ลงมาทาบกับระดับประชาธิปัตย์ โดยทรงขียนความเห็นทางการเมืองซึ่งใช้พระนามแฝงว่า “อัศวพาหุ” บ้าง “รามจิตติ” บ้าง ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ทำนองจะใคร่สดับตรับฟังความคิดเห็น (Public  Opinion) จากประชาชนที่รักของพระองค์ และถ้าความเห็นฉบับใดขัดแย้งกับพระองค์ พระองค์ก็ทรงโต้ด้วยน้ำพระทัยนักประชาธิปัตย์ มิได้เกรี้ยวกราดใช้พระอำนาจโดยโทสาคติที่อาจจะกระทำได้นั้นเลย...นับว่าพระองค์เป็นนักกีฬาที่น่าสรรเสริญ


นอกจากนั้น ร้อยตรีเหรียญ  ศรีจันทร์ และร้อยตรี เนตร  พูนวิวัฒน์  ยังได้กล่าวถึง “น้ำพระทัยพระมหาธีรราชเจ้า” ไว้ใน “ปฏิวัติ ร.ศ. ๑๓๐” ซึ่งตีพิมพ์ใน "หมอเหล็งรำลึก" อีกว่า
“พวกเรายังรำลึกถึง น้ำพระทัย ในครั้งกระนั้นอยู่มิรู้วาย  และในที่สุดควรนำมากล่าวรวมกันไว้เสียเลย  คือ พระองค์ได้ทรงตั้ง “ดุสิตธานี”  เพื่อเป็นการฝึกข้าราชการในพระองค์ให้ได้ศึกษาการปกครองระบบประชาธิปไตยไปในตัว  ซึ่งพวกเราก็ได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและในการสร้างบ้านเล็กเรือนน้อย ณ ดุสิตธานีนั้นด้วย” 

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 19:42

อ้างถึง
เรื่อง กบฏ ร.ศ. ๑๓๐ นี้จะว่าไปแล้ว  น่าจะเป็นมหากาพย์ได้อีกเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว  เพราะภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการแต่งเติมและสร้างสีสันให้คณะผู้ก่อการ ร.ศ. ๑๓๐ จากกบฏให้เป็นนักปฏิวัติรุ่นหนุ่มชุดแรกของกรุงสยามเลยทีเดียว

ผมขอเสนอให้ท่านผู้ดูแลเว็บช่วยกรุณาแยกเรื่องนี้ออกไปจะดีกว่าครับ กระทู้เดิมจะได้ไม่ยาวมากจนเกินเหตุ
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 20:22

แหะ ๆ ที่จริงว่าจะช่วยปั่นกระทู้เก่าต่อสักหน่อยค่ะ มีคำถามเกี่ยวกับ หนังสือของ มจ พูนพิศมัย ที่เขียนถึง 2475 ด้วย แต่ตอนแรกคิดว่าจะเก็บเอาไว้หลังจากถามเรื่อง กบฏ รศ 130 >_<
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 20:23

ถ้ายังไงขอกลับไปถามเรื่องนั้นในกระทู้เก่าได้มั้ยคะ ^^'
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 20:39

ถ้าคิดว่าไม่ยาวก็เชิญครับ

แต่ถ้าอยากให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ตั้งเป็นกระทู้ใหม่มาเลยน่าจะดีกว่า
บันทึกการเข้า
cottoncandy
อสุรผัด
*
ตอบ: 21


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 13 พ.ย. 14, 20:46

งั้นขออนุญาตนะคะ ^^
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.046 วินาที กับ 20 คำสั่ง