วันที่ ๓ ธันวาคม
เวลา ๒ ล.ท. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร เป็นขบวนพยุหยาตราโดยสกลมารคตามโบราชราชประเพณีเคลื่อนขบวนจากพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมราชินีพระพันปีหลวงและบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ฝ่ายในตามเสด็จ
เสวกโท จมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์) อดีตคุณมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้กล่าวถึงการเสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวนพยุหยาตราและกระบวนราบไว้ใน “อนุสรณ์ “ศุกรหัศน์”” ว่า
“กระบวนราบธรรมดาอย่างไม่ใหญ่โต ซึ่งเรียกว่าพยุหยาตรานั้น เป็นขบวนเล็ก มีตำรวจหลวงถือหอกบ้าง สะพายกระบี่บ้างตามยศ มีกลองชนะ แตรงอน แตรฝรั่ง สังข์ มีราชองครักษ์แซงพระยานุมาศ มีทหารมหาดเล็กแซง และเดินเป็นประตูหลัง มีมหาดเล็กเชิญเครื่องและพระแสงตาม นี้เป็นกระบวนราบเป็นการภายใน ถ้าเป็นกระบวนใหญ่ เป็นการภายนอกเรียกพยุหยาตราใหญ่หรือน้อยมี ๒ ชนิด มีทหารรักษาพระองค์แห่หน้า เริ่มด้วยทหารม้ารักษาพระองค์ แล้วทหารปืนใหญ่ ทหารช่าง และทหารราบ ต่อมามีทหารอากาศ กระบวนพระอิสริยยศก็เป็นสี่สาย คือเดินเป็นคู่ ๒ สาย ตำรวจหลวงกับมหาดเล็ก คนละสาย ทหารบกกับทหารเรือ ทหารอากาศคู่กับตำรวจมหาดเล็ก มีมโหรทึก มีพระแสงหว่างเครื่อง มีพนักงานเชิญเครื่องสูงเต็มพระราชอิสริยยศ มีพระแสงรายตีนตอง มีคู่เคียงพระราชยาน มีอินทรพรหมเชิญพุ่มดอกไม้เงินทอง เรียกพุ่มเข้าบิณฑ์ มีพระแสงสี่ รองหัวหมื่นมหาดเล็กเชิญ คือ พระแสงดาบคาบค่าย พระแสงใจเพชร พระแสงนาคสามเศียร พระแสงอัศฎาพานร ทั้งหมดฝักและด้ามเป็นทองคำลงยาประดับเพชรทั้งนั้น แล้วก็คุณมหาดเล็กเชิญเครื่องราชกกุธภัณฑ์ตั้งแต่พระมณฑป พานพระขันหมาก จนถึงพระสุพรรณศรี พระสุพรรณราช พานพระภูษา ทุกอย่างล้วนทองคำลงยา แล้วถึงเครื่องหลังและพระแสงหว่างเครื่อง ทหารมหาดเล็กกับทหารเรือเดินกองปิดประตูหลัง
สิ่งที่น่าดูและน่ารู้ ก็เรื่องการเชิญพระราชยาน เดิมใช้ข้าราชการในกองอภิรมย์ราชยาน ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ ๖ ทรงตั้งกรมทหารรักษาวังขึ้น โปรดเกล้าฯ ให้ทหารรักษาวังเป็นผู้เชิญคือแบก แรกๆ เล่นกันทุลักทุเล เพราะแกเป็นทหาร แกก็ตั้งใจจะให้เข้มข้นแข็งแรงอย่างทหาร ทำเอาในหลวงไม่ทรงสบายไปหลายวัน ปรากฏว่าแกเดินพร้อมกันอย่างทหาร ราชยานก็แกว่งไปตามจังหวะเดิน ท่านผู้ฟังโปรดลองหลับตานึกเอาเองว่า คนเดินอย่างท่าทหารแล้วแบกสิ่งของไว้บนบ่า สิ่งของนั้นจะกวัดไกวไปได้อย่างไร ถึงปวดเมื่อย เพราะวิธีเดินเชิญราชยาน เขาไม่เดินเท้าพร้อม เขาต้องใช้วิธีเดินอย่างกิ้งกือเดิน เวลาผลัดเปลี่ยนมีเป็นระยะ
การเปลี่ยนผู้เชิญพระราชยานก็มักเปลี่ยนกันในระยะพอสมควร เช่น จากประตูวิเศษไชยศรีก็ไปเปลี่ยนราวๆ หน้าศาลยุติธรรม คือ แถวๆ ถนนผ่ากลางสนามหลวง แล้วก็ไปราวหน้ากรมสรรพากร ไปบางลำพูตรงสี่แยก แล้วก็ถึงวัดบวรนิเวศ วิธีเข้าเปลี่ยนผู้จะเข้ายืนสองฟากของกระบวน แต่ต้องให้คล้อยพระที่นั่งเสียก่อน จึงเข้ามาแล้วเดินแทรกกระบวนเข้ามาจนถึงตัวผู้เชิญเดิม หันหน้าเดินตามผู้เชิญเดิมไปจนคานพระราชยานอยู่บนบ่าคนเปลี่ยนใหม่เรียบร้อย คนเก่าค่อยๆ เดินตามแล้วค่อยย่อๆ ออกไปจนหมด ถ้าชำนาญใช้เวลาไม่เกิน ๕ นาทีเสร็จ ผู้เชิญแต่งกายสวมกางเกงแบบไทยสีขาวลายแดง สวมถุงเท้ารองเท้าทหาร สวมเสื้อแบบไทยขาวขลิบแดง สวมหมวกหูกระต่ายสีแดง ข้อสำคัญต้องคัดเลือกผู้มีร่างกายบึกบึนแรงขนาดเท่าๆ กัน โดยแน่ชัดคือต้อวัดแล้วหัดเดินหัดเปลี่ยนจนช่ำชอง แม้กระนั้นถ้าไม่ชำนาญจริงๆ มักจะรู้สึกไหว ผู้เล่าเคยได้ฟังพระราชกระแสตรัสเล่าว่า ถ้าคนชำนาญๆ จริงๆ เวลาเปลี่ยนไม่ใคร่รู้สึก แต่เวลาเขาเมื่อยหรือเหนื่อยละก็รู้ คือ ทรงทราบด้วยการไหวของพระราชยาน แต่อย่างไรก็ตามทรงเล่าอย่างขันๆ ว่า ไม่มียานพาหนะใดที่จะนั่งด้วยอาการเป็นคิงแท้ๆ เท่าราชยาน เพราะหาความสุขสบายมิได้เลย