เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 10:17
|
|
ตามไปอ่านบทความในมติชน http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352354938ขอตั้งข้อสังเกตตามนี้ค่ะ 1 หลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2367 ก็เกิดเสียงร่ำลือว่านี้คือ "ฆาตกรรมอำพราง" เสียงร่ำลือพาดพิงถึงบุคคลที่ได้ประโยชน์ หนึ่งคือ เจ้าจอมมารดาเรียม พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชชนนีของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ หนึ่งคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ที่ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่แม้จะเป็น "ลูกชายคนโต" และมีทั้งอำนาจและบารมีในขณะนั้น แต่โดยราชประเพณีของการสืบสันตติวงศ์ต้องถือว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ เสียงร่ำลือดังยาวนานมาเกือบ 200 ปี เบาบ้าง ตามเหตุบ้านการเมืองแต่ละช่วง เรื่องนี้เป็นข้อหาฉกาจฉกรรจ์ ถ้ากล่าวหาอย่างเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ก็ต้องมีแหล่งอ้างอิงที่กล่าวหาเต็มปากเต็มคำเช่นกัน จึงน่าแปลกใจว่าผู้เขียนไม่ได้อ้างเลยว่า เสียงร่ำลือที่ยาวนานมาเกือบ 200 ปีนั้นมีหลักฐานจากที่ใดบ้าง เรื่องร้ายกาจขนาดนี้ และถ้าลือกันยาวนานขนาดนี้น่าจะเป็นที่รู้กันทั่วไป เพราะจะต้องมีหลักฐานมากกว่าหนึ่ง และสืบทอดบอกเล่ากันมาในหลายรัชกาล ไม่ใช่ว่าผุดขึ้นมาในบทความ ศิลปวัฒนธรรม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 10:26
|
|
2 "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรงราชสมบัติมาตั้งแต่ปีมะเส็งเอกศก มาถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสี่ค่ำ ปีวอกฉศก ทรงพระประชวรให้มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชรข้างที่ ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสิ่งไร มาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาทเสด็จสู่สวรรคต"
จารในเพชร และทิพยโอสถ เป็นพระโอสถชนิดใด มีคุณสมบัติอย่างไร ผู้เขียน (ปรามินทร์) ตรวจสอบค้นหาชื่อและสรรพคุณทางยาจาก ตำราพระโอสถ ครั้งรัชกาลที่ 2 หากไม่พบยาชื่อดังกล่าวทั้งที่เป็นพระโอสถ "ที่เคยเสวย"
พระโอสถชื่อ "จารในเพชร" พระโอสถที่เรียกเสวยได้เองน่าจะเป็นยาสามัญพื้นฐานทั่วๆ ไป แต่กลับเกิดพระอาการ "ร้อนเป็นกำลัง"
ในเมื่อคุณปรามินทร์เองก็ยังตรวจสอบไม่ได้ว่าพระโอสถทั้งสองอย่างนั้นเป็นยาอะไรแบบไหน ก็ไม่ควรจะเดาต่อว่าเป็นยาสามัญหรือยาเฉพาะทาง เพราะข้อนี้เรียกว่าขาดหลักฐานเสียแต่ต้นมือแล้ว เกิดจากผู้ค้นคว้าหาคำอธิบายต่อไม่พบ จึงไม่ควรเหมาต่อไปอีกเพื่อสนับสนุนความเชื่อของตน การใช้คำว่า เสวยยาสามัญก็เกิดพระอาการร้อนเป็นกำลัง เหมือนบอกใบ้ว่า เพราะทรงถูกวางยาพิษ เลยเกิดอาการร้อนขึ้นมาในพระองค์ ทั้งๆเสวยยาสามัญ ไม่น่าจะเกิดอาการนี้ จริงๆแล้วเราเองก็ไม่รู้ว่าทรงประชวรเป็นโรคอะไร มันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวกับยาสองอย่างนั้นก็ได้ คนป่วยด้วยโรคหนึ่งไปกินยาที่ไม่ได้รักษาอาการโรคนั้น อาการกำเริบขึ้นมา ก็ไม่แปลก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 10:33
|
|
3 กลับไปถึงเสียงร่ำลือที่พาดพิงถึงเจ้าจอมนั้น หมอมัลคอล์ม สมิธ หมอหลวงประจำราชสำนักรัชกาลที่ 5 บันทึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาในวังหลวงไว้ในหนังสือราชสำนักสยามฯ ว่า
"หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง 2 สัปดาห์ พระราชบิดาของพระองค์ [รัชกาลที่ 2] ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนั่งเกล้าฯ พระเชษฐาซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอมแต่ก็เป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ"
นี่ก็เหมือนจะให้เข้าใจว่าสมเด็จพระศรีสุลาลัยอยู่เบื้องหลังแผนวางยาพิษ ถ้าจะเอาความจริงจากการอ้างนี้ก็ควรจะไปหาต้นฉบับมาดูให้สิ้นสงสัยว่า "มีเล่ห์เหลี่ยม" นั้นหมอสมิธใช้คำว่าอะไร cunning หรือ sophisticated หรืออะไรกันแน่ และหมอสมิธพูดอะไรให้เห็นว่า สมเด็จพระศรีสุลาลัยท่านช่วยกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กำจัดพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ หมอสมิธไม่ได้อยู่ใต้กฎหมายสยาม เขียนเรื่องเล่านี้เป็นภาษาอังกฤษ ตีพิมพ์ในเมืองนอก แกไม่จำเป็นต้องมากลัวเกรงอะไรถ้าจะเอ่ยถึงข่าวลือในสามรัชกาลก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มี นอกจากคำว่า มีเล่ห์เหลี่ยม ที่ผู้แปลแปลเป็นไทยอีกที ก็ถือว่ายังไม่มีหลักฐานน่าเชื่อถือได้
คุณเพ็ญชมพูน่าจะมีหนังสือของหมอสมิธ ซึ่งแปลกันสองสำนวน พอจะค้นมาบอกกันได้ไหมคะ ดิฉันก็มีเหมือนกันแต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 11:37
|
|
ผมมีต้นฉบับของ Malcolm Smith พิมพ์ครั้งแรก หน้า 21 แกว่า
..., Pra Nang Klao, with the support of a scheming mother, a small but powerful clique of his own, and because he had already held high office in the State, secured the throne.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
hobo
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 11:41
|
|
ส่วนแม่ท่านจะวางแผนอย่างใด นั้นสุดจะทราบได้ ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งสิ้นครับ ที่น่าสงสัยคือหมอสมิทไม่รู้ไม่เห็นด้วยตัวเองแน่ๆ ไปฟังมาจากใคร คนที่พูดให้ฟัง แสดงว่าเรื่องนี้เป้นที่รู้กันหรือพูดกันมาก่อนใช่หรือไม่ เพราะการอ้างถึงเจ้าจอมมารดาคนหนึ่งอย่างนี้ โดยไม่มีเหตุมาก่อน น่าประหลาดครับ ไม่มีความจำเป็นเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 11:50
|
|
ข้อ ๒. ขอให้คุณเพ็ญหาเอกสารมาสนับสนุนข้อความเหล่านี้หน่อย
๑"หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง 2 สัปดาห์ พระราชบิดาของพระองค์ [รัชกาลที่ 2] ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนั่งเกล้าฯ พระเชษฐาซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอมแต่ก็เป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ" เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่าเจ้าจอมมารดาเรียมเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญคือมีอำนาจเหนือเจ้านายฝ่ายหน้าและมุขอำมาตย์ทั้งหลาย
คุณเพ็ญชมพูน่าจะมีหนังสือของหมอสมิธ ซึ่งแปลกันสองสำนวน พอจะค้นมาบอกกันได้ไหมคะ ดิฉันก็มีเหมือนกันแต่ตอนนี้ยังหาไม่เจอ สำนวนแปลของ คุณพิมาน แจ่มจรัส ในชื่อหนังสือ "หมอฝรั่งในวังสยาม" แปลจากหนังสือชื่อ "A Physician at the Court of Siam" ของ นพ.มัลคอล์ม สมิธ พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน้า ๑๑ ความว่า หลังจากผนวชเพียงสองสัปดาห์ พระบรมราชชนกก็เสด็จสวรรคตกะทันหัน พระเชษฐาคือ พระนั่งเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ ทั้งนี้เป็นผลจากการสนับสนุนของพระราชชนนีผู้ชาญฉลาด กับพระบรมวงศานุวงศ์กลุ่มเล็ก ๆ แต่มีอำนาจยิ่งของพระองค์รวมทั้งการที่ได้ดำรงพระยศอยู่ในลำดับสูงตามลำดับการสืบราชสันตติวงศ์คำว่า "มีเล่ห์เหลี่ยม" กับ "ผู้ชาญฉลาด" เป็นวาทะของผู้แปลโดยแท้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 12:16
|
|
เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่าเจ้าจอมมารดาเรียมเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญคือมีอำนาจเหนือเจ้านายฝ่ายหน้าและมุขอำมาตย์ทั้งหลาย ข้างบนของคุณเพ็ญ เป็นแค่คำใส่ร้ายของฝรั่งที่มาเมืองไทยสมัยร๔-ร๕ แล้วคนไทยบางคนมาอ้างกันต่อ แต่มีเอกสารไทยใดๆมายืนยันเรื่องนี้บ้าง คุณเพ็ญยังไม่ได้ตอบผมนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 12:16
|
|
หมอสมิธ เป็นคนที่สนใจรายละเอียดเล็กน้อยของสังคมไทยอยู่มาก ไม่ได้บันทึกเฉพาะเหตุการณ์ใหญ่ๆในประวัติศาสตร์ที่ตัวเองประสบเท่านั้น แต่พยายามเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ของบุคคลต่างๆที่เขาได้พบปะคลุกคลีด้วย บันทึกของหมอจึงทำให้เราเข้าใจได้หลายอย่างถึงเรื่องที่คนไทยไม่ได้บันทึกไว้ อ่านสนุกมากค่ะ
ส่วนเรื่องข้างบนนี้หมายถึงอะไร ก็พอจะตีความได้จากคำบอกเล่าที่อ่านพบมาก่อน หนึ่งในนั้นคือจากหนังสือของคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์์ หรือม.ล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์ที่บรรพบุรุษของท่านสืบสายตรงจากพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ท่านเล่าว่าเมื่อกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงมีวังของพระองค์เองอยู่ตรงมหาวิทยาลัยศิลปากรในปัจจุบัน เจ้าจอมมารดาเรียมก็กราบถวายบังคมลาออกมาจากพระบรมมหาราชวังมาอยู่กับท่าน กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ทรงรับผิดชอบงานบ้านเมืองหลายอย่าง ในฐานะพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ที่พระชันษาเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงมีทั้งพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางไปเฝ้ากันตามหน้าที่ เจ้าจอมมารดาเรียมผู้มีฝีมือด้านเครื่องเสวยก็ต้อนรับคนเหล่านี้ด้วยสำรับคับค้อนอย่างดี ข้อนี้ย่อมผูกใจได้มากว่ามีน้ำพระทัยกว้างขวาง ข้อนี้จะเรียกว่า scheming ของแม่ได้หรือไม่ เพราะแม่ที่ฉลาดย่อมช่วยลูกสร้างคะแนนนิยม จะมุ่งหวังถึงราชบัลลังก์หรือไม่ก็ตาม ไม่มีหลักฐาน อย่างน้อยที่เห็นๆกันคือช่วยสร้างพระบารมีให้น่านิยมชมชื่น การทำงานก็จะราบรื่นตามมา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องกลัวสิ้นเปลือง เพราะกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ท่านเป็น "เจ้าสัว" ค้าขายกับเมืองจีนจนมั่งคั่งอยู่แล้ว บุคคลพวกนี้เองคือคนที่หมอสมิธเรียกว่า a small but powerful clique of his own
ในเมื่อมีผู้สนับสนุน มีตำแหน่งสูงในราชการ การขึ้นสู่ราชบัลลังก์ก็สบายหายห่วง secured the throne.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 12:52
|
|
หม่อมเรียม กำเนิดท่านเป็นสามัญชนก็จริงอยู่ แต่ด้วยวาสนาบารมี ส่งเสริมให้ท่านเป็นที่รักและเคารพ ของกษัตริย์ทุกๆพระองค์ที่ได้ทรงรู้จักกับท่าน
ท่านเรียมเป็นธิดาของพระยานนทบุรี เจ้าเมืองนนทบุรี ทางมารดาเป็นมุสลิม นิกายสุหนี่ จึงไม่แปลกที่นามว่า"เรียม"ของท่าน มาจากคำว่ามาเรียมหรือมาริอา ท่านมีผิวพรรณขาวคมคายเป็นที่โปรดปรานในพระสวามียิ่งนัก ภายหลังเมื่อสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จเถลิงราชย์ จึงโดยเสด็จเข้าพระบรมมหาราชวัง ที่พระสนมเอก และทรงว่าห้องเครื่องด้วยจนสิ้นรัชกาล (จะว่าห้องเครื่องได้ต้องเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่างสูงสุดและยังต้องมีฝีมืออย่างเอกอีกด้วย น้อยคนนักจะถึงพร้อม) จะเล่าเลยต่อไปถึงพระอัธยาศัยของท่านเรียมอีกสักหน่อยซึ่งจะสืบไปถึงพระราชอัธยาศัยในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯด้วย เจ้าคุณจอมมารดาเรียม ท่านกล่าวกันว่าทรงเฉลียวฉลาด และเป็นเจ้าจอมมารดาที่ทรงโปรดปรานยิ่ง ทั้งยังมีพระราชโอรสถวายเป็นกำลังสำคัญแก่แผ่นดินอีกด้วย แต่ท่านก็มิได้เย่อหยิ่งอย่างใด เป็นเรื่องที่ควรกล่าวไว้ ณ ที่นี้เลย เมื่อสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯทรงมีความสัมพันธ์กับ เจ้าฟ้าบุญรอด(หลังเจ้าจอมมารดาเรียม ๑๕ ปี พระองค์เจ้าทับ พระชนมายุ ๑๔ ปี) เจ้าจอมมารดาเรียมก็ลงให้พระอัครชายาผู้มาที่หลังอย่างเรียบร้อย และต้องด้วยขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี (เป็นแบบฉบับให้พระองค์เจ้าทับทรงได้ซึมซับเป็นอย่างดี) ทั้งยังทรงโอบอ้อมอารีไม่เลือกหน้าหรือชนชั้น วังของท่านคือวังท่าพระ(มหาวิทยาลัยศิลปากรปัจจุบัน)นั้น ที่หน้าวังของท่านตั้งโรงทานสำหรับราษฎรทุกชนชั้น ส่วนในวังนั้นเป็นที่สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการขุนนาง พอกลับจากเข้าเฝ้าฯในวังหลวงแล้ว วังกรมหมื่นเจษฎาฯจึงเป็นที่พึ่งด้วย เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีร้านอาหาร
และพระจริยวัตรในสมเด็จพระศรีสุลาลัย(เจ้าจอมมารดาเรียม)ที่เป็นที่ซาบซึ้งยิ่งนัก ตอนที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯเสด็จเสวยราชย์ เจ้าฟ้าบุญรอดถึงที่"หมดวาสนา"แล้ว ต้องเสด็จออกจากพระบรมมหาราชวังตามพระราชประเพณี ไปประทับกับพระราชโอรสพระองค์เล็กที่พระราชวังเดิมนั้น ต้องเสด็จข้ามฝากโดยเรือที่ตำหนักแพ คุณจอมมารดาเรียมซึ่งขณะนั้นอยู่ในฐานะพระบรมราชชนนีเป็นที่สูงสุดแล้ว พระองค์ก็ยังทรงอ่อนน้อม เชิญหีบพระศรีตามไปส่งเสด็จถึงตำหนักแพ และลงหมอบถวายหีบพระศรี(เหมือนที่ทรงเคยกระทำ) สมเด็จพระศรีสุริเยนทราฯทรงก้มพระองค์ลงรับ และตรัสว่า"ลาก่อนละนะ เรียม" พระจริยวัตรอันงดงาม เป็นผู้ดี กอปรทั้งน้ำพระทัยประเสริฐนี้ เป็นเครื่องส่งเสริมบุญวาสนาให้สถิตที่พระอิสริยศสูงยิ่ง เป็นที่รักของบุคคลทุกชั้นไม่เว้นแม้กษัตริย์
(เก็บความจาก เวียงวัง ของจุลลดา ภักดีภูมินทร์ และคุณกัมม์)
ย่อหน้าสุดท้ายนี้ ยืนยันได้จากรัชสมัยต่อมา เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติแล้ว พระองค์ก็ทรงรับเป็นพระราชภาระในการสร้างวัดที่นนทบุรีต่อจากที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้าง หมายจะทรงอุทิศให้พระราชมารดา กรมสมเด็จพระศรีสุลาลัย และพระอัยกาอัยกี แต่ยังค้างไว้นั้นจนแล้วเสร็จ และพระราชทานชื่อว่า วัดเฉลิมพระเกียรติ
ถ้าทรงหมางพระทัยอยู่ ก็อาจจะไม่เป็นเช่นนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 14:51
|
|
ข้อ ๒.๑ เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่าเจ้าจอมมารดาเรียมเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญคือมีอำนาจเหนือเจ้านายฝ่ายหน้าและมุขอำมาตย์ทั้งหลาย ข้างบนของคุณเพ็ญ เป็นแค่คำใส่ร้ายของฝรั่งที่มาเมืองไทยสมัยร๔-ร๕ แล้วคนไทยบางคนมาอ้างกันต่อ แต่มีเอกสารไทยใดๆมายืนยันเรื่องนี้บ้าง คุณเพ็ญยังไม่ได้ตอบผมนะครับคำตอบของคุณเทาชมพูใน #๕๒ คงจะใช้ได้ ข้อ ๓ ๒ซึ่งก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 4 แหม่มแอนนาก็เคยได้ยินคำเล่าลือทำนองนี้มาแล้ว แกเขียนไว้ว่าอย่างไร จะได้วิจารณ์ต่อว่าจริงหรือมั่วนิ่ม ตรงนี้ยังหาเอกสารยืนยันไม่ได้ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 55 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 14:59
|
|
ข้อ ๔ ๓เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ปรามินทร์อ้างอิงถึงในครั้งนี้คือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระราชบิดาว่า เสมือนพบเจอกับอสรพิษทำให้สวรรคตกะทันหันไม่ทันพระราชทานพระราชสมบัติให้ผู้ใด พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาบาลี? ช่วยหามาดูกันหน่อยเถอะครับ ข้อมูลตรงนี้ผิดพลาด ที่ถูกต้องคือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีแปลเป็นภาษาไทยโดย หลวงญาณวิจิตร์ คุณนวรัตนสามารถหาอ่านฉบับเต็มออนไลน์ได้ที่ สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ลำดับที่ ๓๕ (ตอนนี้อาจจะขัดข้องอยู่ แต่คงเข้าไปอ่านได้ในไม่ช้า) 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 56 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 15:13
|
|
เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่าเจ้าจอมมารดาเรียมเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญคือมีอำนาจเหนือเจ้านายฝ่ายหน้าและมุขอำมาตย์ทั้งหลาย ข้างบนของคุณเพ็ญ เป็นแค่คำใส่ร้ายของฝรั่งที่มาเมืองไทยสมัยร๔-ร๕ แล้วคนไทยบางคนมาอ้างกันต่อ แต่มีเอกสารไทยใดๆมายืนยันเรื่องนี้บ้าง คุณเพ็ญยังไม่ได้ตอบผมนะครับ คำตอบของคุณเทาชมพูใน #๕๒ คงจะใช้ได้ ตกลงผู้ที่มีน้ำใจกว้าง ตั้งโรงทานให้ผู้คนทั่วไปและโรงเลี้ยงญาติมิตร กลายเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือครับ ทั้งยังทรงโอบอ้อมอารีไม่เลือกหน้าหรือชนชั้น วังของท่านคือวังท่าพระ(มหาวิทยาลัยศิลปากรปัจจุบัน)นั้น ที่หน้าวังของท่านตั้งโรงทานสำหรับราษฎรทุกชนชั้น ส่วนในวังนั้นเป็นที่สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการขุนนาง พอกลับจากเข้าเฝ้าฯในวังหลวงแล้ว วังกรมหมื่นเจษฎาฯจึงเป็นที่พึ่งด้วย เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีร้านอาหาร
การตีความข้างล่างเป็นคนละความหมายกับบทความที่คุณเพ็ญชมพูยกมา ตกลงจะเอาทางไหนแน่ ข้อนี้จะเรียกว่า scheming ของแม่ได้หรือไม่ เพราะแม่ที่ฉลาดย่อมช่วยลูกสร้างคะแนนนิยม จะมุ่งหวังถึงราชบัลลังก์หรือไม่ก็ตาม ไม่มีหลักฐาน อย่างน้อยที่เห็นๆกันคือช่วยสร้างพระบารมีให้น่านิยมชมชื่น การทำงานก็จะราบรื่นตามมา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องกลัวสิ้นเปลือง เพราะกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ท่านเป็น "เจ้าสัว" ค้าขายกับเมืองจีนจนมั่งคั่งอยู่แล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 15:20
|
|
ข้อ ๓ อ้างจาก: NAVARAT.C ที่ 26 ส.ค. 14, 20:22
๒ซึ่งก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 4 แหม่มแอนนาก็เคยได้ยินคำเล่าลือทำนองนี้มาแล้ว แกเขียนไว้ว่าอย่างไร จะได้วิจารณ์ต่อว่าจริงหรือมั่วนิ่ม
ตรงนี้ยังหาเอกสารยืนยันไม่ได้ ยิ้มกว้างๆ ข้อ ๔ อ้างจาก: NAVARAT.C ที่ 26 ส.ค. 14, 20:22
๓เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ปรามินทร์อ้างอิงถึงในครั้งนี้คือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระราชบิดาว่า เสมือนพบเจอกับอสรพิษทำให้สวรรคตกะทันหันไม่ทันพระราชทานพระราชสมบัติให้ผู้ใด พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาบาลี? ช่วยหามาดูกันหน่อยเถอะครับ ข้อมูลตรงนี้ผิดพลาด ที่ถูกต้องคือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีแปลเป็นภาษาไทยโดย หลวงญาณวิจิตร์ คุณนวรัตนสามารถหาอ่านฉบับเต็มออนไลน์ได้ที่ สำนักหอสมุดมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อยู่ลำดับที่ ๓๕ (ตอนนี้อาจจะขัดข้องอยู่ แต่คงเข้าไปอ่านได้ในไม่ช้า) ยิงฟันยิ้ม ถ้างั้น ก็ตอบตรงนี้เลยครับ NAVARAT.C แล้วตกลงว่า คุณเพ็ญชมพูเชื่อว่ารัชกาลที่๒ ถูกลอบปลงพระชนม์จริงหรือเป็นข่าวลือ ช่วยแสดงจุดยืนหน่อย เทาชมพู มาลงชื่อว่าเกาะขอบจอรอคุณเพ็ญชมพูอีกคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 15:21
|
|
คำว่า "มีเล่ห์เหลี่ยม" กับ "ผู้ชาญฉลาด" เป็นวาทะของผู้แปลโดยแท้ ตกลงผู้ที่มีน้ำใจกว้าง ตั้งโรงทานให้ผู้คนทั่วไปและโรงเลี้ยงญาติมิตร กลายเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือครับ ขออนุญาตตีความว่าเป็น "ผู้ชาญฉลาด" 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อ 27 ส.ค. 14, 15:23
|
|
ข้อ ๕ แล้วตกลงว่า คุณเพ็ญชมพูเชื่อว่ารัชกาลที่๒ ถูกลอบปลงพระชนม์จริงหรือเป็นข่าวลือ ช่วยแสดงจุดยืนหน่อย มิบังอาจตั้งตนเป็นผู้พิพากษาคดีนี้ดอก ก็ได้แต่รับฟังและยืนอยู่ระหวางข้อมูลทั้ง ๒ ด้าน อย่างความเห็นของคุณ Eddie Atsadang Yommanak ก็มีข้อมูลทางการแพทย์ที่น่ารับฟังอยู่ บทความข้างต้นที่เขียนโดยคุณปรามินทร์ เครือทอง ใน "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ นี้ผมได้อ่านจนจบ และหลังจากนั้นในศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ได้มีการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ โดย ผศ.นพ.เอกชัย โควาวิสารัช ว่าคุณปรามินทร์เขียนขึ้นจากหลักฐานเพียงอย่างเดียวจากหนังสือเรื่อง Rex siamen sium หรือพระเจ้ากรุงสยาม ที่เขียนโดย ส.ธรรมยศ ซึ่งได้รับข้อมูลนั้นมาจากคุณหมอสมิธและจอห์น ครอว์ฟอร์ดอีกที โดยที่ทั้ง ๒ ท่านนี้ไม่ได้อ้างอิงหลักฐานใด ๆ เพียงแต่ได้ยินคนนินทาให้ฟังเท่านั้น ในหน้งสือของ ส.ธรรมยศ มีการให้ข้อมูลที่ผิด ๆ หลายอย่าง เช่น บอกว่า เจ้าจอมมารดาเรียม (แม่ของ ร.๓) คือผู้วางแผนการเปลี่ยนพระมหากษัตริย์ ตลอดจนจัดให้เจ้าฟ้ามงกุฎ (ร.๔) ทรงอุปสมบทโดยทันทีทันใด (หลังจาก ร.๒ สวรรคต) ซึ่งความเป็นจริง เจ้าฟ้ามงกุฎบวชได้ ๒ สัปดาห์แล้ว ร.๒ ถึงสวรรคต คุณปรามินทร์ตั้งประเด็นโดยสมมุติฐานว่า ๑.มีแผนกำจัด เจ้าฟ้ามงกุฎ โดยให้ออกผนวช ๒.ลอบปลงพระชนม์ โดยเจ้าจอมมารดาเรียม (แม่ ร.๓) โดยคุณหมอเอกชัยวิเคราะห์ว่า ร.๒ น่าจะมีอาการพระโรคสมองอักเสบ หรือโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือโรคเนื้องอกของสมอง และสาเหตุการสวรรคตน่าจะเกิดจากการแพ้ยา ไม่ใช่ถูกวางยาพิษ ตามเอกสารอ้างอิงที่กล่าวว่า "ทรงประชวรไข้พิษอันแรงกล้า มิได้รู้สึกพระองค์ ได้แต่เรียกพระโอสถชื่อจาระไนเพ็ชร์..." ซึ่งพอสรุปได้ว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นมาก่อนที่จะเสวยยาจาระไนเพ็ชร์ และตามประวัติศาสตร์ ร.๒ ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (ต่อมาคือ ร.๓)กำกับดูแลราชการสำคัญมากมาย มีอำนาจเป็นรองก็เพียง ร.๒ เท่านั้น ในพงศาวดารบันทึกว่า หลังจาก ร.๒ สวรรคต มิได้ตรัสมองราชสมบัติให้ผู้ใด ร.๓ ได้ครองราชสมบัติต่อมาโดย "อเนกมหาชนนิกร สโมสรสมมุติ" คือพระบรมวงศานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการน้อยใหญ่ได้ประชุมกันเห็นว่าพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงพระสติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้ว่าราชการต่างพระเนตรพระกรรณในพระเจ้าอยู่หัวมาช้านาน มีความจงรักภักดี สมควรจะครองสิริราชสมบัติสืบไป" การจะศึกษาประวัติศาสตร์ ต้องศึกษาวิเคราะห์ให้ถ่องแท้ อย่าฉาบฉวย นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ ๆ ต่างมีมุมมองที่ต่างกันออกไป อย่าเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างในทันที ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|