เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
อ่าน: 19445 ข่าวเท็จสมัยรัชกาลที่๔ ซึ่งคนสมัยนี้ช่วยกันแพร่
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 14:28

ประเด็นมันอยู่ที่การลอบสังหารบุคคลสำคัญ ไม่ว่าด้วยระเบิดหรืออาวุธอย่างอื่น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆในยุโรป ตรงข้ามกับในสยาม ซึ่งการกระทำแบบลอบสังหารนี้ไม่มี เคยมีแต่เข้าต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างซึ่งๆหน้า ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงธนบุรี  ครั้นเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์แล้วก็ไม่เคยปรากฏ

ในยุครัตนโกสินทร์ ถ้าเป็นเรื่องการลอบสังหารด้วยการวางยาพิษ ก็มีทั้งที่ยังเป็นคำถามอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ อย่างกรณีนี้ ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๒ จริงหรือข่าวลือ? หรือ อย่างในกรณีที่นี้ทึ่คุณหนุ่มยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  ยิงฟันยิ้ม

แต่ข่าวต้นรัชกาลที่ ๕ มีการวางยาพิษท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้สำเร็จราชการก็มีจริงนะ ขอบอกๆๆ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 19:30

ประเด็นมันอยู่ที่การลอบสังหารบุคคลสำคัญ ไม่ว่าด้วยระเบิดหรืออาวุธอย่างอื่น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆในยุโรป ตรงข้ามกับในสยาม ซึ่งการกระทำแบบลอบสังหารนี้ไม่มี เคยมีแต่เข้าต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างซึ่งๆหน้า ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงธนบุรี  ครั้นเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์แล้วก็ไม่เคยปรากฏ

ในยุครัตนโกสินทร์ ถ้าเป็นเรื่องการลอบสังหารด้วยการวางยาพิษ ก็มีทั้งที่ยังเป็นคำถามอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ อย่างกรณีนี้ ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๒ จริงหรือข่าวลือ? หรือ อย่างในกรณีที่นี้ทึ่คุณหนุ่มยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  ยิงฟันยิ้ม

แต่ข่าวต้นรัชกาลที่ ๕ มีการวางยาพิษท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้สำเร็จราชการก็มีจริงนะ ขอบอกๆๆ

ในเงื้อมมือของท้าวศรีสุดาจันทร์ ก็มีฉากวางยาพิษพ่ออยู่หัว ในแบบฉบับของท่านมุ้ย  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 20:00

ประเด็นมันอยู่ที่การลอบสังหารบุคคลสำคัญ ไม่ว่าด้วยระเบิดหรืออาวุธอย่างอื่น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆในยุโรป ตรงข้ามกับในสยาม ซึ่งการกระทำแบบลอบสังหารนี้ไม่มี เคยมีแต่เข้าต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างซึ่งๆหน้า ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงธนบุรี  ครั้นเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์แล้วก็ไม่เคยปรากฏ

ในยุครัตนโกสินทร์ ถ้าเป็นเรื่องการลอบสังหารด้วยการวางยาพิษ ก็มีทั้งที่ยังเป็นคำถามอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือข่าวลือ อย่างกรณีนี้ ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ ๒ จริงหรือข่าวลือ? หรือ อย่างในกรณีที่นี้ทึ่คุณหนุ่มยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  ยิงฟันยิ้ม

แต่ข่าวต้นรัชกาลที่ ๕ มีการวางยาพิษท่านสมเด็จเจ้าพระยาฯ ผู้สำเร็จราชการก็มีจริงนะ ขอบอกๆๆ

ในเงื้อมมือของท้าวศรีสุดาจันทร์ ก็มีฉากวางยาพิษพ่ออยู่หัว ในแบบฉบับของท่านมุ้ย  ยิงฟันยิ้ม

ยาพิษถือว่าเป็นอาวุธด้วยหรือครับ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 20:02

เรื่องวางระเบิดอะไรทำนองนี้เป็นข่าวเท็จ ไว้รอสักพักให้สนทนาให้อิ่มแล้วจะเอาข่าวจริงเกี่ยวกับรัชกาลที่ ๔ มาให้อ่านกันนะครับ
ยกสำรับคับค้อนมาประกอบสนทนาให้อิ่ม ค่ะ

กลับมาสยามกันเสียเถิดครับ และช่วยมาแวะที่เมืองใหม่ สิงคโปร์ก่อนนะครับ ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์มากมาย นี่เป็นบทความที่นำลงตีพิมพ์ในยุครัชกาลที่ ๔ (แน่นอนว่าไม่ใช่ของปลอม)

รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าไปแก้ข่าวลือแก่ชาวยุโรป ชาวจีน ให้อ่านกัน


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7165


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 20:13

มีผู้รู้ได้แปลบทความการแก้ข่าวลือในสมัยรัชกาลที่ ๔ ความว่า

"มีข่าวลือแพร่สะพัดไปจากกรุงสยาม กล่าวกันในหมู่ชาวต่างประเทศ  โดยเฉพาะชาวยุโรปและชาวจีน ฯลฯ มีอยู่ด้วยกัน ๓ เรื่องด้วยกัน ดังนี้คือ

๑. กรุงสยามอยู่ภายใต้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหญ่ จะมีพระบรมราชโองการมาประการใดก็ต้องปฏิบัติตาม จะคัดค้านมิได้ไม่ว่าจะเป็นราษฎรผู้ใดก็ตาม


๒. ในท้องพระคลังของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงสยามนั้น เต็มไปด้วยเงิน ประหนึ่งภูเขาทองและเงิน และเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่มั่งคั่งที่สุด

๓. พระเจ้าแผ่นดินผู้ครองกรุงสยามองค์ปัจจุบัน มีพระทับคับแคบและทรงนิยมิสิ่งของทั้งหลายที่แปลกๆ ทรงโปรดธรรมเนียม ประเพณี วิทยาศาสตร์

ศิลป และวรรณคดี ฯลฯ ของยุโรปโดยไม่มีขอบเขต พระองค์ยังทรงพอพระราชหฤทัยถ้อยประจบ และทะเยอทะยานในพระเกียรติ ดังนั้นในนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่

จะทำการกอบโกยเอาเงินทองจำนวนมากจากท้องพระคลังของกรุงสยามฯ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 20:22

เรื่องข้างบนยังไม่จบ คุณหนุ่ม ขอเวลาหน่อย

โยงของคุณเพ็ญชมพู มีความดังนี้

หลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2367 ก็เกิดเสียงร่ำลือว่านี้คือ "ฆาตกรรมอำพราง"

เสียงร่ำลือพาดพิงถึงบุคคลที่ได้ประโยชน์

หนึ่งคือ เจ้าจอมมารดาเรียม พระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และเป็นพระราชชนนีของกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

หนึ่งคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ที่ขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ที่แม้จะเป็น "ลูกชายคนโต" และมีทั้งอำนาจและบารมีในขณะนั้น แต่โดยราชประเพณีของการสืบสันตติวงศ์ต้องถือว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ

เสียงร่ำลือดังยาวนานมาเกือบ 200 ปี เบาบ้าง ตามเหตุบ้านการเมืองแต่ละช่วง

ล่าสุด ปรามินทร์ เครือทอง เขียนบทความวิเคราะห์สถานการณ์ดังกล่าวจากการค้นคว้าเอกสารร่วมสมัยต่างๆ ลงนิตยสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ฉบับเดือนพฤศจิกายน ชื่อบทความว่า "ฆาตกรรมวังหลวง : คดีลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 2 จริงหรือลือ?" โดยการสาวไปตามเงื่อนงำต่างๆ เท่าที่เอกสารจะมีให้สาวได้

เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เขียนถึงเหตุการณ์สวรรคตครั้งนี้ไว้ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 2 ว่า

"สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรงราชสมบัติมาตั้งแต่ปีมะเส็งเอกศก มาถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสี่ค่ำ ปีวอกฉศก ทรงพระประชวรให้มึนเมื่อยพระองค์ เรียกพระโอสถชื่อจารในเพชรข้างที่ ที่เคยเสวยนั้นมาเสวย ครั้นเสวยแล้วให้ร้อนเป็นกำลัง เรียกทิพยโอสถมาเสวยอีก พระอาการก็ไม่ถอยให้เชื่อมซึมไป แพทย์ประกอบพระโอสถถวายก็เสวยไม่ได้ มิได้ตรัสสิ่งไร มาจนถึง ณ วันพุธ เดือนแปด แรมสิบเอ็ดค่ำ เวลาย่ำค่ำแล้วห้าบาทเสด็จสู่สวรรคต"

จารในเพชร และทิพยโอสถ เป็นพระโอสถชนิดใด มีคุณสมบัติอย่างไร ผู้เขียน (ปรามินทร์) ตรวจสอบค้นหาชื่อและสรรพคุณทางยาจาก ตำราพระโอสถ ครั้งรัชกาลที่ 2 หากไม่พบยาชื่อดังกล่าวทั้งที่เป็นพระโอสถ "ที่เคยเสวย"

พระโอสถชื่อ "จารในเพชร" พระโอสถที่เรียกเสวยได้เองน่าจะเป็นยาสามัญพื้นฐานทั่วๆ ไป แต่กลับเกิดพระอาการ "ร้อนเป็นกำลัง"

เงื่อนเวลาเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ปรามินทร์นำเสนอชวนให้พิจารณาว่ามีการเตรียมความพร้อม

ปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยสวรรคต เจ้าฟ้ามงกุฎฯ (ภายหลังขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) มีพระชนมายุ 20 พรรษา กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ 37 พรรษา วันเวลาของเจ้าฟ้ามงกุฎฯกำลังรุ่งโรจน์ด้วยวัยของคนหนุ่ม

ขณะเดียวกันวัย 20 พรรษาที่ต้องผนวช

พระราชพงศาวดารฯบันทึกว่า มีการกำหนดพระฤกษ์ผนวชของเจ้าฟ้ามงกุฎฯไว้ล่วงหน้า คือวันพุธ ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 8 จุลศักราช 1186 (7 กรกฎาคม พ.ศ.2367) ในพระราชพิธีดังกล่าว พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยมีพระพลานามัยปกติเสด็จออกถวายเครื่องบริขารและไตรจีวร

แต่หลังจากนั้นเพียง 14 วันพระองค์ก็เสด็จสวรรคตในวันพุธ แรม 11 ค่ำ เดือน 8 (21 กรกฎาคม พ.ศ.2367)

พระราชพงศาวดารฯ ระบุว่าทรงเริ่มพระประชวรเมื่อวันพุธ แรม 4 ค่ำ เดือน 8 (14 กรกฎาคม)

จดหมายความทรงจำฯของกรมหลวงนรินทรเทวี บันทึกว่าเป็นวันศุกร์ แรม 6 ค่ำ เดือน 8 (16 กรกฎาคม)

จดหมายเหตุโหรระบุว่าทรงเริ่มพระประชวรวันเสาร์ แรม 7 ค่ำ (17 กรกฎาคม)

แม้วันที่เริ่มมีพระอาการประชวรจะไม่ตรงกัน แต่ทำให้เห็นว่าระยะเวลาประชวรจนเสด็จสวรรคตนั้นสั้นมาก และในระหว่างมีพระอาการประชวร พระองค์ยังเสด็จออกปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นปกติ

กลับไปถึงเสียงร่ำลือที่พาดพิงถึงเจ้าจอมนั้น หมอมัลคอล์ม สมิธ หมอหลวงประจำราชสำนักรัชกาลที่ 5 บันทึกถึงสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังมาในวังหลวงไว้ในหนังสือราชสำนักสยามฯ ว่า

"หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง 2 สัปดาห์ พระราชบิดาของพระองค์ [รัชกาลที่ 2] ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนั่งเกล้าฯ พระเชษฐาซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอมแต่ก็เป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ"

ซึ่งก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 4 แหม่มแอนนาก็เคยได้ยินคำเล่าลือทำนองนี้มาแล้ว

เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ปรามินทร์อ้างอิงถึงในครั้งนี้คือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระราชบิดาว่า เสมือนพบเจอกับอสรพิษทำให้สวรรคตกะทันหันไม่ทันพระราชทานพระราชสมบัติให้ผู้ใด

เรื่องราว และเอกสารทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในอดีต บันทึกไว้ในอดีต และร่ำลือกันในอดีต ในวังหลวงของกรุงรัตนโกสินทร์


ขอให้คุณเพ็ญหาเอกสารมาสนับสนุนข้อความเหล่านี้หน่อย

๑"หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง 2 สัปดาห์ พระราชบิดาของพระองค์ [รัชกาลที่ 2] ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน พระนั่งเกล้าฯ พระเชษฐาซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอมแต่ก็เป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ"
เหตุการณ์ใดที่บ่งบอกว่าเจ้าจอมมารดาเรียมเป็นหญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญคือมีอำนาจเหนือเจ้านายฝ่ายหน้าและมุขอำมาตย์ทั้งหลาย

๒ซึ่งก่อนหน้านั้น ในรัชกาลที่ 4 แหม่มแอนนาก็เคยได้ยินคำเล่าลือทำนองนี้มาแล้ว

แกเขียนไว้ว่าอย่างไร จะได้วิจารณ์ต่อว่าจริงหรือมั่วนิ่ม

๓เอกสารชิ้นสุดท้ายที่ปรามินทร์อ้างอิงถึงในครั้งนี้คือ พระราชนิพนธ์ภาษาบาลี ว่าด้วยพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกล่าวถึงสาเหตุแห่งการสวรรคตของพระราชบิดาว่า เสมือนพบเจอกับอสรพิษทำให้สวรรคตกะทันหันไม่ทันพระราชทานพระราชสมบัติให้ผู้ใด
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นภาษาบาลี?
ช่วยหามาดูกันหน่อยเถอะครับ

แล้วตกลงว่า คุณเพ็ญชมพูเชื่อว่ารัชกาลที่๒ ถูกลอบปลงพระชนม์จริงหรือเป็นข่าวลือ ช่วยแสดงจุดยืนหน่อย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 21:00

มาลงชื่อว่าเกาะขอบจอรอคุณเพ็ญชมพูอีกคน
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 26 ส.ค. 14, 21:23

บทความต้นเรื่องที่นำความเท็จที่ฝรั่งเขียนมาขยายในหนังสือศิลปวัฒนธรรมของค่ายมติขน ที่คุณเพ็ญชมพูโยงให้อ่านนั้น มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง

คดีลอบปลงพระชนม์ในอังกฤษและฝรั่งเศส ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และเป็นข่าวอยู่หลายวัน กับถูกบันทึกอยู่ในพงศาวดารอย่างละเอียดลออ เป็นส่วนหนึ่งของพระราชประวัติ ที่ถูกกล่าวขวัญว่าเป็น "ราคาของความสำเร็จ" ที่ไม่ได้มาแบบถูกๆ(๖)

กล่าวฝ่ายในเมืองไทย บังเอิญเรื่องอื้อฉาวที่เป็นข่าวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นตอนเปลี่ยนแผ่นดิน แต่อยู่ในปีที่ ๕ ซึ่งยังเป็นช่วงต้นรัชกาลที่ ๔ การแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ของฝ่ายตรงข้ามต่อราชบัลลังก์ยังไม่ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัดนัก ความร้าวฉานใดๆ ในวงราชการยังมิได้อุบัติขึ้น รัชกาลที่ ๔ ผู้ทรงรอบรู้ในเรื่องศิลปวิทยาการแบบตะวันตก และแตกฉานในการเมืองระหว่างประเทศ จึงเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นองค์ประมุขของประเทศ ตามสภาวะของยุคสมัยที่กำลังปรับเปลี่ยน บรรยากาศทางการเมืองที่ตึงเครียด ถ้ามีอยู่จริงก็น่าจะมีเค้ามาจากการเสียผลประโยชน์อย่างรุนแรง และความขัดแย้งกับพระวิเทโศบายต่างประเทศ ที่รุดหน้าเร็วเกินไป ทำให้คนบางกลุ่มรับไม่ได้ นี่คือข้อสันนิษฐานเบื้องต้น แต่ที่ผิดสังเกตและ "น่าพิจารณา" อย่างยิ่ง ซึ่งทำให้สมมุติฐานมีน้ำหนักขึ้นไปอีก คือ "คำให้การ" ของคนในครอบครัวบุนนาคเอง ชี้เบาะแสความระหองระแหงว่ามีมูลความจริง ปรากฏอยู่ในพระดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี ในรัชกาลที่ ๕ ผู้เป็นเชื้อสายของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค) มีไปยังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ พระราชโอรส ความว่า...

"เพราะแม่รู้อยู่เต็มใจว่าชาวฟากข้างโน้น (สกุลบุนนาค มีถิ่นฐานบ้านช่องอยู่ที่ฝั่งธนบุรีเป็นส่วนมาก จึงเรียกว่าชาวฟากข้างโน้น-ผู้เขียน) นั้น เป็นที่รังเกียจของเจ้านายเป็นอันมาก เพราะผู้ใหญ่บางคนทำยุ่งเหยิงไว้ ความชั่วเลยมาแปดเปื้อนแก่พวกลูกหลานต่อมา แลพวกเหล่านั้นกองพันโตหนักด้วย ประการหนึ่งตัวของลูกก็ไม่ใช่เป็นเจ้านายสามัญ ความระแวงสงไสยมันอาจต้องเกิดขึ้นเพราะเป็นเจ้าฟ้าปัญญาดี แลมีญาติข้างแม่มาก เพราะฉนั้นจึงเห็นว่า การที่จะแก้ความรแวงว่าจะหมายเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ก็มีอย่างเดียวที่จะต้องทำให้ทูนหม่อมโต (รัชกาลที่ ๖) ท่านรักใคร่ไว้วางพระทัยจริง ให้ปรากฏแก่ตาคนทั้งหลายมากๆ เท่านั้น"(๕)

คำว่า "ทำยุ่งเหยิงไว้" และ "ความชั่วจึงมาแปดเปื้อนลูกหลาน" เป็นคำพูดค่อนแคะที่มีความนัยโยงใยไปถึงความไม่ดีไม่งาม ที่ผู้ใหญ่ในตระกูลบางท่านสร้างไว้กับเจ้านายในอดีตนั่นเอง


คือคุณไกรฤกษ์บอกเป็นนัยๆว่า เป็นเรื่องวางระเบิดหรือเปล่า
ผมค้นอยู่นานว่าเรื่องยุ่งเหยิงที่พวกบุนนาคก่อนั้นคืออะไร ก็ได้เพียงเบาะแสเดียวก็คือ

เมื่อเกิดเรื่องพระสุริยภักดิ์ (คุณชายสนิท บุตรชายใหญ่สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย) กับเจ้าจอมอิ่ม เป็นเหตุให้พระสุริยภักดีต้องพระราชอาญาประหาร อายุพระสุริยภักดีแก่กว่า สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เพียง ๔ ปี (พระสุริยภักดีต้องโทษประหาร อายุเพียง ๒๗ ปี)

หรือคุณเพ็ญชมพูจะสามารถหาไอ้ที่ยุ่งเหยิงกว่านี้มาแสดงได้ ผมก็จะคอยดู
ก็คิดเองเถิด กฏมณเฑียรบาลสมัยโน้น ศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดอย่างไร ขนาดลูกบุคคลระดับสมเด็จเจ้าพระยาก็ยังหัวขาด ไม่มีละเว้น

http://writer.dek-d.com/bird711/story/viewlongc.php?id=524172&chapter=2

บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 05:27

สมเด็จพระบรมมหาพิชัยญาติ (ทัต บุนนาค) ในรัชกาลที่ ๓ ยังเป็นที่พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษาธิบดีอยู่ ท่านมีบุตรชายใหญ่แก่แต่ท่านผู้หญิงคนเดียว ซึ่งเป็นที่รักและเป็นความหวังสำหรับสายของท่าน..สมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย บุตรชายคนนี้เจริญในหน้าที่ได้เป็นพระศรีภักดีตั้งแต่หนุ่ม  บังเอิญเกิดเรื่อง มีผู้กราบบังคมทูลฟ้องว่าพระศรีภักดี กับเจ้าจอมอิ่ม ธิดาพระยามหาเทพ(ปาน)ผูกสมัครรักใคร่ มีเพลงยาวถึงกัน" โปรดฯเกล้าให้สอบสวนได้ความจริงว่าพระศรีภักดีกับเจ้าจอมอิ่มเพียงแต่เคยเห็นกัน และที่มีเพลงยาวถึงกันนั้นเพราะบ่าวเป็นสื่อ มิได้เคยออกไปพบปะพูดจากันเลยสักครั้งเดียว  แต่กฎมณเทียรบาลตราไว้ว่าผู้ใดลอบรักด้วยนางใน แม้เพียงมีการติดต่อ ก็ให้ลงพระราชอาญาประหารชีวิตด้วยกันทั้งคู่  ลูกขุนตัดสินประหารชีวิตตามกฎมณเฑยีรบาล
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงพระเมตตา ด้วยเห็นว่ายังมิได้ถึงกับรักใคร่พูดจากัน  และพระยาศรีพิพัฒน์ฯก็มีความชอบต่อราชการแผ่นดินมาก พระศรีภักดียังอยู่ในวัยคะนองก็คงจะหลงลืมตัวไปบ้าง  จึงรับสั่งกับพระยาศรีพิพัฒน์ฯว่าจะพระราชทานชีวิตพระศรีภักดีแก่พระยาศรีพิพัฒน์ฯ   พระยาศรีพิพัฒน์ฯไม่ยินยอมตามรับสั่ง กราบบังคมทูลว่าเมื่อพระศรีภักดีผิดต่อกฎมณเฑียรบาล ก็ต้องรับโทษตามตัวบทพระอัยการ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงจนพระราชหฤทัยต้องโปรดฯให้เป็นไปตามลูกขุนศาลตัดสิน
แสดงถึงความจงรักภักดีอันมีต่อพระเจ้าอยู่หัว  ยอมถวายชีวิตลูกหัวแก้วห้วแหวนเป็นราชพลีเพื่อรักษาเกียรติศักดิ์ในองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ถึงแม้สายของท่านสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยจะร่วงโรยไปบ้าง แต่กุศลกรรมที่ท่านได้บำเพ็ญมานี้ ส่งเสริมให้ท่านเป็นอมตะ  ไม่ตายไปจากประเทศนี้เลย


จากคุณกัมม์
เชิญเข้าไปอ่านหน่อยครับ กระทู้ที่คุณกัมม์เขียนยังมีเรื่องพระจริยาวัตรอันงดงามของสมเด็จพระศรีสุลาลัย(เจ้าจอมมารดาเรียม) จำเลยในบทความที่คุณเพ็ญยกมาอีกด้วย

http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilightcgi?Home=/home/InterWeb2000&File=/home2/searchdata/Forums/http/www.pantip.com/cafe/library/topic/K3267628/K3267628.html
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 05:50

จากระโยงเดียวกัน

ในช่วงวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชืพในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยนั้น พระองค์ทรงประชวรเมื่อเดือน ๘ แรม ๔ ค่ำ ปีวอก พ.ศ.๒๓๖๗ อยู่ไม่เท่าไร(ไม่ทรงทรมานเนื่องจากไม่มีสิ่งใดๆให้ทรงวิตกกังวล พูดแบบชาวบ้าน"ตายตาหลับ")ทรงซึมด้วยพิษไข้แล้วเสด็จสวรรคตอย่างสงบ(จริงๆ)เมื่อเดือน ๘ แรม ๑๑ ค่ำ  ท่านเล่าว่าขณะนั้นเจ้าฟ้าบุญรอด(สมเด็จพระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)ทรงหยิบพระแสงดาบอาญาสิทธิ์ข้างพระแท่น เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยื่นให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ แล้วทรงออกพระโอษฐ์ว่า"รักษาไว้ให้น้องด้วยนะ" จากคำบอกเล่าข้างต้นนี้ หากพิจารณาถึงพระอุปนิสัยส่วนพระองค์แล้ว  พระองค์ทรงเป็นหญิงเหล็กพระองค์หนึ่งที่เดียว แม้แต่พระราชสวามีพระองค์ก็ไม่ทรงยอมลงให้ เช่น เมื่อสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯทรงรับเจ้าฟ้ากุณฑลฯเป็นพระราชชายานารีอีกพระองค์  เจ้าฟ้าบุญรอดก็ไม่เสด็จขึ้นเฝ้าอีกเลย จนกระทั่งวาระสุดท้ายของแผ่นดินที่ ๒ พระเจ้าอยู่หัวจึงตรัสให้หา(ว่ากันว่า)เพื่อทรงขออโหสิกรรมก่อนเสด็จทางสู่สวรรค์  เมื่อพิเคราะตรงนี้แล้ว ด้วยความกล้าหาญในส่วนพระองค์แล้ว อาจเป็นไปได้ที่ทรงกล้าตรัสคำนี้
บันทึกการเข้า
hobo
พาลี
****
ตอบ: 324


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 06:43

ผมกลับจำได้ลางๆ ว่า หม่อมเจ้าในราชสกุลดิศกุลเล่าไว้ ว่าพอสวรรคต ท่านก็ถือพระแสงออกมาประทับบนพระราชบัลลังก์หรือพระแท่นทรงว่าราชการในท้องพระโรงเอง พระบรมวงศานุวงศ์ ตลอดจนขุนนางข้าราชการที่มารอเฝ้าต่างต้องกราบถวายบังคมโดยปริยายครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 07:30

เหตุการณ์ในคคห.ที่๔๐ ย่อมต้องต่อจากเหตุการณ์ในคคห.๓๙ ครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 09:07

เคยได้ยินมาเช่นเดียวกับคุณ hobo ค่ะ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 09:10

คุณครูนวรัตนให้การบ้านไว้ประมาณ ๖ ข้อ จะพยายามตอบเท่าที่จะหาหลักฐานหรือเอกสารประกอบได้

ข้อ ๑.
ยาพิษถือว่าเป็นอาวุธด้วยหรือครับ

คงจะต้องอ้างท่านรอยอิน

อาวุธ  เครื่องมือที่ใช้ในการทำร้าย ทำลาย ป้องกัน ต่อสู้ หรือฆ่า; โดยปริยายหมายถึงสิ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงเช่นนั้น เช่น ใช้ปัญญาเป็นอาวุธ;ในทางกฎหมายหมายถึงสิ่งซึ่งโดยสภาพได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประทุษร้ายร่างกายของบุคคล และรวมถึงสิ่งซึ่งไม่เป็นอาวุธโดยสภาพแต่ซึ่งได้ใช้หรือเจตนาจะใช้ประทุษร้ายร่างกายถึงอันตรายสาหัสอย่างอาวุธ

คุณนวรัตนคงเคยได้ยินคำว่า อาวุธชีวภาพซึ่งก็คือเชื้อโรคร้ายแรกตัวอย่างเช่น สปอร์ของเชื้อแอนแทรกซ์ (Bacillus anthracis) ซึ่งเคยเป็นข่าวโด่งดังไม่นานมานี้ หรืออาวุธเคมี โดยนัยแล้วยาพิษก็จัดอยู่ในอาวุธประเภทนี้  ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 27 ส.ค. 14, 09:36

เอ้า นับก็นับ

อ้างถึง
ประเด็นมันอยู่ที่การลอบสังหารบุคคลสำคัญ ไม่ว่าด้วยระเบิดหรืออาวุธอย่างอื่น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆในยุโรป ตรงข้ามกับในสยาม ซึ่งการกระทำแบบลอบสังหารนี้ไม่มี เคยมีแต่เข้าต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอย่างซึ่งๆหน้า ตั้งแต่สมัยอยุธยามาจนถึงธนบุรี  ครั้นเข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์แล้วก็ไม่เคยปรากฏ

ผมไม่ใช่ครู แต่จะเป็นทนายจำเลยให้แก่ผู้ที่ถูกกล่าวหา
ตกลงในสมัยอยุธยามีการใช้อาวุธแบบวางยาพิษ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีการวางยาพิษรัชกาลที่๒จนเสด็จสวรรคตหรือเปล่าครับ คุณเพ็ญ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.061 วินาที กับ 19 คำสั่ง