เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9
  พิมพ์  
อ่าน: 35989 หลุมลึกลับ
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 105  เมื่อ 06 ต.ค. 14, 19:04

แบบนี้ เจียรนัยแล้วแน่นอน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 106  เมื่อ 06 ต.ค. 14, 19:09

ค้นคำว่าบุศราคัม เขาแปลว่า yellow sapphire ค่ะ 


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 107  เมื่อ 06 ต.ค. 14, 19:09

ผมมีข้อสังเกตเล็กๆน้อยๆที่อยากจะให้นำไปพิจารณาดังนี้ครับ

เพชรเป็นแร่ที่มีความแข็งมากที่สุดในบรรดาสารประกอบทั้งหลายที่เกิดในธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่า มันทนต่อการขูดขีดให้เกิดริ้วรอยใดๆบนผิวหน้าของตัวมัน  ดังนั้น ไม่ว่ามันจะมีรูปทรงเช่นใด มันก็จะคงดำรงความใสของมันอยู่เช่นนั้น และไม่ว่าจะผ่านการใช้งานนานมาแล้วเพียงใดก็ตาม

แต่เรื่องของความแวววับ การเล่นไฟ หรือน้ำของมันนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นมากน้อยขึ้นอยู่กับกระบวนการปรับแต่งที่เหมาะสม

ครับ เพชรซีกคงจะไม่ผ่านกระบวนการปรับแต่ง (enhancement) ใดๆมากนัก แต่ไม่ว่ามันจะถูกใช้งานมานานเพียงใดก็ตาม มันก็ควรจะยังคงสภาพความใสดังแก้วของมันเหมือนกับที่เขาเอาความงามใสของมันมาประกอบเป็นเครื่องประดับแต่แรกเริ่ม
 
ที่เรียกว่าเพชรซีกที่อยู่ในเครื่องประดับสมัยก่อนๆโน้น หากมีความขุ่นมัว ก็จึงน่าจะมิใช่เพชรแท้  น่าจะเป็นพลอย Topaz ซึ่งมีความแข็งน้อยกว่าเพชรไม่มากนัก หรือ อาจจะเป็นพลอย Corundum ก็ได้

ว่าไปตามหลักทางวิชาการนะครับผม    
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 108  เมื่อ 06 ต.ค. 14, 19:20

เคยเห็นพลอยขาวชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายเพชร  เรียกว่าเพทาย   บางคนนำไปทำแหวนออกมาเหมือนเพชร แต่ราคาถูกกว่ามาก
ไม่ทราบว่ามันคือ Corundum หรือเปล่าค่ะ


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 109  เมื่อ 07 ต.ค. 14, 22:08

เพทาย ไม่ใช่ corundum ครับ  เป็นแร่ชื่ิอ Zircon  เป็นพวกที่มีได้หลากสีเช่นกัน  มีตวามแข็งกว่าแร่ Quartz (เขี้ยวหนุมาณ) เล็กน้อย จะเรียกว่าพอๆกันก็ได้ ส่วนมากจะพบเป็นเม็ดขนาดเม็ดทรายในลานแร่ดีบุก โดยเฉพาะในกองทรายท้ายรางล้างแร่ดีบุก ซึ่งหากนำมาผ่านเครื่องแยกแร่อีกครั้ง ก็จะเพิ่มจำนวนเม็ดมากขึ้น จัดเป็นกลุ่มแร่พวก heavy minerals
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 110  เมื่อ 10 ต.ค. 14, 19:11

เซอร์คอนเป็นแร่ที่เกิดร่วมกับหินแกรนิต และพบในหิน Pegmatite vein (ซึ่งเป็นสายแร่ที่นำพาแร่ที่มีคุณค่าทั้งทางอุตสาหกรรมและเครื่องประดับ และรวมทั้งตัวมันเองด้วย) 

zircon ที่พบในเนื้อหินแกรนิตจะมีขนาดเม็ดเล็กมาก แต่หากพบในหิน pegmatite ก็จะมีขนาดโตพอจะนำมาทำเครื่องประดับได้ 

แร่นี้มีคุณสมบัติพิเศษบางประการ คือ มันมักมีฟองอากาศ (ทั้งแบบมีและไม่มีของเหลวในฟองนั้น เรียกว่า inclusions หรือ fluid inclusions)   แล้วตัวมันเองก็มีเชื้อของธาตุยูเรเนียม (Uranium) ธาตุธอเรียม (Thorium) และธาตุอื่นๆติดอยู่ด้วย (เรียกว่ามี trace elements) จึงทำให้มันเกิดมีสีได้สารพัดสี    ในทางวิชาการเราใช้ข้อมูลที่ถูกกักเก็บไว้ใน inclusion ในแร่นี้ เพื่อสืบรู้สภาพต่างๆในช่วงเวลาของการกำเนิดหินและแร่ชนิดต่างๆ     
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 111  เมื่อ 10 ต.ค. 14, 19:44

ไปค้น Zircon สีต่างๆมาประกอบกระทู้ค่ะ รวมทั้ง Zircon ที่เจียรนัยแล้ว


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 112  เมื่อ 10 ต.ค. 14, 20:18

กลับมาเรื่องเพชรที่พบในแหล่งแร่ดีบุกครับ

เรารู้แน่นอนว่า แร่ดีบุกพบอยู่ในหิน pegmatite ที่เกิดแทรกขึ้นมาเป็นสาย (vein) ในช่วงสุดท้ายของกระบวนการเกิดหินแกรนิต   เรารู้ว่าอุณหภูมิและความดันบรรยากาศ (temperature & pressure) ของการเกิดแร่ดีบุกนั้นไม่สูงนัก  (ไม่ขยายความนะครับว่ารู้จากอะไร เพราะจะต้องเข้าไปในเรื่องทางเคมี)  โดยนัยก็คือ ดีบุกเกิดในสภาวะใกล้กับธรรมชาติบนพื้นผิวโลก

แต่เพชรนั้น เกิดในสภาพที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง    เพชรเกิดในสภาวะที่มีความเข้มสูงมากๆ โดยเฉพาะในเรื่องของอุณหภูมิและความดันบรรยากาศ    เพชรสังเคราะห็จึงทำได้ยากมากกว่าพลอยสังเคราะห์

อย่างไรก็ตาม ในแหล่งแร่ดีบุกที่พบเพชรนี้  ขนาดของเม็ดแร่ดีบุกมีขนาดเล็กมาก (พอๆกับละเอียดสีดำ) ในขณะที่ขนาดเม็ดของเพชรที่พบมีขนาดใกล้หัวไม้ขีดไฟ    แต่เมื่อความถ่วงจำเพาะของเพชร (ประมาณ 3.5) น้อยกว่าแร่ดีบุก (ประมาณ 7.5)  ก็พอจะสอดคล้องกันในเชิงของ hydraulic equivalent (ขนาดต่างกันแต่น้ำหนักเท่ากัน จะตกจะกอนพร้อมกัน)    
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 113  เมื่อ 11 ต.ค. 14, 19:04

ก็เพราะตกตะกอนอยู่ด้วยกัน ก็แสดงว่าน่าจะถูกพัดพามาด้วยตัวกลางเดียวกันตัวใดตัวหนึ่งในสี่นี้_น้ำไหล ลม คลื่น น้ำแข็ง  หรือถูกนำพามาด้วยตัวกลางชนิดหนึ่งแล้วก็มาร่วมอยู่ด้วยกันให้อีกตัวกลางหนึ่งนำพาต่อไป

จะเป็นภาพใดก็ได้ แต่มันก็แสดงว่าแหล่งต้นตอนั้นมันอยู่ในพื้นที่ในบ้านเราและชายขอบ คือ ภายในวงรอบของพื้นที่รับน้ำ (catchment area) ของแม่น้ำสาละวินและอิระวดี  (ซึ่งก็อาจจะไปได้ไกลถึงเขตของแม่น้ำพรหมบุตรได้เช่นกัน)

หากเป็นเช่นนั้นจริง มันก็มีสองเรื่องที่ต้องนำมาคิด คือ ในพื้นที่ละแวกเอเซียตอนล่างนี้ ต้องมีหิน kimberlite ซึ่งเป็นหินแม่ของเพชร    หรือว่าเพชรนั้นถูกอุ้มมาพร้อมๆกับตะกอนอื่นๆโดยภูเขาน้ำแข็งที่ลอยฟ่องอยู่ในทะเล (ice rafts) นมนานกาเลมาแล้ว พอน้ำแข็งละลาย พวกเศษหินดินทรายก็จะตกลงสู่ก้นทะเล เหมือนกับเราเอาก้อนหินโยนลงไปในเลนที่กำลังเริ่มแห้ง   ซึ่งในกรณีภูเขาน้ำแข็งนี้ เราก็พบว่ามีชั้นหินที่แสดงภาพของก้อนหินหล่นลงมาฝังอยู่ในตะกอนดินก้นท้องทะเล (drop stone)  พบทางด้านตะวันตกของเราตั้งแต่แถวเขตราชบุรีลงไปจนถึงฝั่งตะวันออกตอนบนของเกาะภูเก็ต   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 114  เมื่อ 12 ต.ค. 14, 18:25

ให้บังเอิญว่า หิน kimberlite ซึ่งเป็นหินอัคนีชนิดหนึ่ง กับหินตะกอนที่เราพบตลอดแนวตามด้ามขวานของประเทศเรา ซึ่งเป็นหินตะกอน นั้น มีสีดำเหมือนกัน  และเราเองต่างก็ไม่เคยได้เห็นได้สัมผัสกับหิน kimberlite กันเลย แถมการสำรวจในภาคสนามก็อยู่ในช่วงของความขัดแย้งในความคิดด้านระบบการปกครอง มีข้อจำกัดมากของการเข้าไปในพื้นที่และการเดินสำรวจในพื้นที่ป่าเขา  ก็เป็นอันว่ามีข้อมูลจำกัดมาก

อย่างไรก็ตาม เราก็พอจะรู้อยู่บ้างว่า หินของเราที่ว่านี้ก็พบอยู่ในอินเดียในบริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเขาเรียกหินชนิดนี้ว่า Diamictite แล้วก็มีรายงานว่า มีการพบเพชรอยู่ในตะกอนที่พัดพามาจากพื้นที่ภายในเขตพื้นที่รับน้ำที่มีแต่หินชนิดนี้ เหมือนกัน

ก็เลยทำให้เกิดเรื่องเป็นงงกันในวงวิชาการว่า แล้วเพชรมาจากใหน?  ก็ยังคงควานหาคำตอบคำอธิบายกันอยู่ แต่คำอธิบายเรื่องหินนั้นดูจะยอมรับกันแล้ว ก็คือ หินตะกอนนี้มีต้นกำเนิดมาจากการเกิดตะกอนถล่ม (submarine slide) ที่บริเวณปลายขอบที่ราบของใหล่ทวีปใต้ทะเล ซึ่งพื้นที่จะหักลาดชันลงไป (continental slope) สู่พื้นท้องมหาสมุทร (abyssal plain) ที่เราพบปลาหน้าตาประหลาดเยอะแยะไปหมด     ขื่อเรียกของหินชนิดนี้ ดูจะมีหลายชื่อ นอกจาก diamictite แล้ว ก็ได้แก่ greywacke, flysch, และ terbidite 
     
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 115  เมื่อ 12 ต.ค. 14, 18:56

diamond kimberlite


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 116  เมื่อ 12 ต.ค. 14, 18:57

 diamictite


บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 117  เมื่อ 12 ต.ค. 14, 19:20

ครับ ก็ได้เล่ามาว่า เรื่องของเพชรนี้ดูจะไปผูกพันกับหิน kimberlite เท่านั้น  แล้วเป็นความจริงดังนั้นหรือไม่ ?

ก่อนจะไปต่อ จะขอเกริ่นเรื่องว่า ในวงการวิชาการนั้น   การเรียนรู้ใดๆก็ตาม   ที่เรียกว่ารู้นั้น มีสองลักษณะ คือ รู้ในลักษณะของการมีความรู้แบบ Empirical approach (รู้ตามที่เขาได้พบได้มีการศึกษามา)   กับการรู้ในทาง Theoretical approach (รู้ในทางแก่นหรือหัวใจของเรื่องราว)    นักวิชาการที่อยู่ในสองระบบนี้จึงมีความขัดแย้งในเชิงความคิดและกระบวนการทำงาน

ผมเป็นพวกควบกล้ำครับ ไม่แน่จริงสักอย่างนึง   เป็นเป็ดครับ แล้วก็คิดว่าน่าจะเป็นพวกนกเป็ดน้ำ (มีสีสรรสวยหน่อยครับ)

บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 118  เมื่อ 13 ต.ค. 14, 19:07

ในเรื่องของเพชรกับหิน kimberlite ก็เช่นกัน
 
ที่ผ่านมาในอดีต หรือแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ตาม  เมื่อจะหาแหล่งเพชร เกือบร้อยทั้งร้อยก็จะมุ่งไปสำรวจหาหิน kimberlite   ซึ่งเป็นผลทำให้กระบวนการสำรวจทั้งหลายในแต่ละขั้นตอน มุ่งไปสู่การพิสูจน์ทราบข้อมูลและข้อเท็จจริงสำหรับแต่ละเรื่อง ที่ใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ามีแหล่งแร่ ตามที่เคยพบกันมาแล้ว ความคิดทั้งหลายจึงถูกจำกัดอยู่ในกรอบของข้อมูลและเรื่องอื่นๆที่ได้พบกันมา   นี่คือ การสำรวจแบบ empirical approach   
 
ซึ่งวิธีการมาตรฐานของนักสำรวจทั้งหลาย ก็คือ การใช้วิธีการทางธรณีเคมี (Geochemical prospecting) และการบินสำรวจทางธรณีฟิสิกส์ (Airborne geophysical prospecting) เพื่อเอาข้อมูลจากการสำรวจเหล่านี้ไปกำหนดพื้นที่ให้แคบลง แล้วเดินสำรวจตรวจสอบในสนาม กำหนดพื้นที่ให้แคบลงอีก จากนั้นจึงถึงขั้นเจาะสำรวจทั่วไป (scout drilling) เพื่อพิสูจน์ทราบ แล้วก็ไปอีกหลายขั้นตอนจนถึงขั้นการทำเหมือง   
การดำเนินการต่อไปในแต่ละวันในแต่ละขั้นนั้นเสียค่าใช้จ่ายมากมาย เป็นการลงทุนที่สูงมาก   ดังนั้น ในกระบวนการสำรวจทรัพยากรธรณีทั้งหลายจึงต้องมีการตัดสินใจกันทุกวัน _จะไปต่อ หรือ พอแล้ว (go or no go)_  นักสำรวจทรัพยากรธรณีตัวจริงทั้งหลายจึงจำเป็นต้องมีความรู้หลากหลาย และมีฐานความรู้มากพอที่จะฟังและพูดคุยถกปัญหากับผู้ที่เกี่ยวข้องจากศาสตร์สาขาอื่นๆได้บ้างอย่างมีความเข้าใจ

 

 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 119  เมื่อ 13 ต.ค. 14, 19:34

แล้ว theoretical approach เป็นอย่างไร

เอาจากเรื่องจริงที่ออสเตรเลียได้พบแหล่งเพชรนอกกรอบหิน kimberlite นะครับ

มีนักศึกษาระดับปริญญาเอกมากมายทำการศึกษาวิจัยในเรื่องของสถานะหรือสภาวะของสารประกอบต่างๆ (ที่พบอยู่ในธรรมชาติ) เมื่ออยู่ภายใต้แรงอัดสูงและอุณหภูมิสูง เรียกกันง่ายๆว่า high pressure and temperature lab.   
นักธรณีวิทยาที่เรียนมาจากโรงเรียนที่สอนวิชาธรณีวิทยาจริงๆ จะได้เรียนในเรื่องนี้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในวิชาที่เกี่ยวกับองค์ประกอบของแร่ในหินอัคนีและหินแปร (Igneous petrology และ Metamorphic petrology)    เรียกกันว่า phase diagram ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของธาตุในสภาพความร้อนและความดันต่างๆ ทำให้เกิดแร่ต่างๆ เช่น กลุ่มธาตุโซเดียม แคลเซียม และโปแตสเซียม และกลุ่มธาตุแม็กนีเซียม และเหล็ก
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.079 วินาที กับ 19 คำสั่ง