เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
สมัยธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์ จีนเข้ามาอยู่ในกรุงเทพมากพอจะตั้งเป็นแหล่งชุมชนได้ เริ่มจากตรงที่เป็นพระบรมมหาราชวังในตอนแรก แล้วถูกย้ายไปอยู่บริเวณสำเพ็งเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา คนจีนแม้ว่ายังแต่งกายและดำเนินชีวิตแบบจีน อยู่บ้านแบบจีน มาจนถึงรัชกาลที่ ๓ คนไทยก็ถือเป็นของชินตา ไม่แปลกแยกจากชีวิตไทย เห็นได้จากภาพฝาผนังวาดในรัชกาลที่ ๓ ในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน วาดศาลเจ้าและบ้านเรือนแบบจีน มีทั้งสามัญชนจีน และพวกที่หน้าตาเป็นซินแสปัญญาชน มาเดินกันขวักไขว่ แถมหน้าศาลเจ้ายังมีเทพารักษ์ไทยไม่ใช่จีนยืนโชว์ตัวอยู่เสียอีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 14:59
|
|
.  http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW626x001.jpg'>
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 15:06
|
|
ภาพลายกำมะลอบนตู้พระธรรม ในพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ การออกแบบลายและเส้น อิทธิพลจีน ค่ะ  http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW626x002.jpg'>
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เจ้าเปิ้ล
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 16:07
|
|
ขอบคุณคุณเทาชมพูมากค่ะ สำหรับรูปสวยๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
วรวิชญ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 17:13
|
|
นอกจากงานจิตรกรรมและสถาปัตยกรรมแล้วในงานวรรณกรรมก็มีเรื่องจีนอยู่มาก รัชกาลที่หนึ่งโปรดฯให้เจ้าพระยาพระคลังหนแปลและเรียบเรียงเรื่องสามก๊กเป็นภาษาไทย ซึ่งคงจะสืบเนื่องมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาที่มีการนำเอาพงศาวดารจีนมาแปลเป็นไทย เล่าสู่กันฟัง อันที่จริงแล้วมีคนจีนเดินทางเข้ามาตั้งบ้านเรือนตามริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน เป็นชุมนุมชนตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าแล้ว เจ้าพระยาพระคลังหนนอกจากเรียบเรียงเรื่องสามก๊กแล้ว ท่านยังแต่งเรื่องกากีด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชาย
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 19:07
|
|
สมัย รัชกาลที่ 5 รับสั่งให้กรมพระนริศฯเป็นหัวเรือใหญ่ในการประยุกต์ศิลปตะวันตกให้เข้ากับศิลปไทย และแพร่หลายตั้งแต่นั้น ในขณะที่ศิลปจีนเข้ามาก่อนหน้านี้หลายร้อยปีแต่ไม่แพร่เข้าไปถึงกึ๋น ( ไม่รู้จะใช้คำอะไร) ยังคงจำกัดอยู่ในวงแคบๆ ยังไงก็ไม่แพร่หลาย มีสาเหตุจากราชสำนักด้วยหรือเปล่า อาจจะเห็นว่าคนจีนเป็นเพียงชาวต่างชาติที่มีสาเหตุต้องเข้ามาพึ่งใบบุญ และการที่มีคนจีนรับราขการอยู่ในต้นรัตนโกสินทร์ ตลอดจนการแปลวรรณกรรมจีนเป็นสาเหตุทางการเมืองหรือไม่ เพราะพระเจ้ากรุงธนฯเป็นคนจีน ถ้าหากมีคำสั่งจากราชสำนักให้ประยุกต์ศิลปจีนเข้ากับศิลปไทย อาจจะมีเก๋งจีนอยู่หน้าบ้านคนไทยในปัจจุบันมากกว่าเก๋งฝรั่ง ( คิดอยู่ตั้งนานว่าจะเขียนอย่างไร ปกติจะเขียนเรื่องวิศวกรรม )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 19:58
|
|
ขออนุญาตแย้งนิดครับ
เห็นด้วยว่า พระราชนิยมในพระมหากษัตริย์ เป็นจุดเริ่มต้นของกระแสได้หลายอย่าง ตั้งแต่แฟชั่นการแต่งกายไปจนถึงสถาปัตยกรรม และอื่นๆ ที่ว่า ร. 5 ทรงเป็นผู้หนึ่งในการนำสถาปัตยกรรมฝรั่งเข้ามาให้แพร่หลาย นั้นก็อาจจะใช่ (แต่ไม่ใช่ ร.5 พระองค์เดียว ศิลปะฝรั่งเข้ามาหลายกระแส)
แต่ในอักรัชกาลหนึ่ง พระราชนิยมใน ร. 3 ก็ทำให้เกิดขนบใหม่ในการสร้างวัดในเมืองไทยขึ้นมาแล้ว คือ สร้างเป็นทรงจีนประดับกระเบื้องจีน เพราะ ร.3 ก่อนรับราชสมบัติ ท่านทรงเป็น "เจ้าสัว" ทรงค้าสำเภากับเมืองจีน ก็มีวัดหลายวัดที่สร้างสมัยนั้นที่เป็นแบบจีนแปลงหรือจีนประยุกต์ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 20:22
|
|
แพร่เข้าไปถึงกึ๋น เป็นยังไงคะ?
เท่าที่ทราบ รัชกาลที่ ๑-๓ เป็นการรับศิลปะและวรรณคดีจีนเข้ามาใน วัง วัด และบ้านเรือนสามัญชน ตอนนั้นยังไม่มีฝรั่ง บ้านเรือนสร้างแบบจีน มีหลักฐานอยู่ในภาพผนังโบสถ์ต่างๆ สวนที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดในพระบรมมหาราชวัง ในรัชกาลที่ ๒ คือสวนขวา( ัปัจจุบันสูญไปแล้ว )ก็มีการตกแต่งแบบจีนประกอบ
ศิลปะจีนเฟื่องฟูถึงที่สุดในรัชกาลที่ ๓ ทรงสนพระทัยเรื่องสร้างวัดเป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่สร้างวัง จึงทรงตกแต่งวัดวาอารามต่างๆด้วยศิลปะจีน เป็นรูปแบบใหม่เข้ามาแทนศิลปะไทยอย่างปลายอยุธยา อย่างวัดราชโอรสซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล ช่างเขียนฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งคือครูคงแป๊ะ ก็เป็นคนจีน ภาพที่วัดสุวรรณาราม ยังอยู่ในสภาพดี ฝีมือไม่แพ้ช่างเก่งๆของจีน โดยเฉพาะภาพสามก๊ก
พอถึงรัชกาลที่ ๔ อิทธิพลตะวันตกเข้ามาแทนที่ ศิลปะและสถาปัตยกรรมก็เริ่มรับแบบฝรั่ง มาเห็นชัดมากที่สุดในรัชกาลที่ ๕
ส่วนวรรณคดีเรื่องสามก๊ก ถือเป็นตำราพิชัยสงคราม แปลขึ้นเพื่อ "ประโยชน์ของราชการบ้านเมือง" แสดงว่ารัชกาลที่ ๑ ท่านคงคิดจะเอามาใช้ หากว่าบ้านเมืองต้องทำศึกสงครามมากมายหลายครั้ง ก็ย่อมต้องมียุทธวิธีหลายๆแบบเอาไว้ให้เหมาะกับทำศึก จึงเป็นงานระดับชาติของราชสำนักรัชกาลที่ ๑ มีการตั้งทีมงานชั้นเยี่ยมทั้งไทยและจีน มีเสนาบดีคลังซึ่งเป็นกวีสำคัญของยุค เป็นประธาน แปลกันนานนับสิบปีจนเจ้าพระยาพระคลัง(หน) สิ้นไปแล้วก็ยังแปลไม่จบ มาจบเอาทีหลัง
"การแปลวรรณกรรมจีนเป็นสาเหตุทางการเมืองหรือไม่ เพราะพระเจ้ากรุงธนฯเป็นคนจีน " ไม่เข้าใจค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชาย
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 01 มิ.ย. 01, 21:53
|
|
ต้องเขียนเป็น prelim ก่อน ส่วนลึกๆในใจค่อยเรียบเรียงออกมาเป็นถ้อยคำทีหลัง การแปลที่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้น นับเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำหรับราชสำนัก เนื่องจากได้มีการติดต่อค้าขายกับจีนมานานมาก น่าจะมีผู้รู้ทั้งสองภาษาเป็นอย่างดี และถ้าเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติด้วยแล้ว ส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นการซื้อเวลาอย่างหนึ่งเพื่อให้ชาวจีนเห็นว่ายังเห็นความสำคัญอยู่ ตอนที่พระเจ้ากรุงธนฯกู้เอกราชนัยว่าได้ใช้นักรบชาวจีนเป็นจำนวนมากอยู่ด้วยและเมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดินแบบฟ้าถล่มดินทะลาย ชาวจีนที่อยู่ในแผ่นดินธนบุรีน่าจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ในสมัยรัชกาลที่สองและสามเข้าใจว่าเชื้อสายพระเจ้ากรุงธนฯก็ยังมีการแข็งข้ออยู่ การติดต่ิอกับราชสำนักจีนจึงเป็นเรื่องจำเป็นทางการเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชาย
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 02 มิ.ย. 01, 01:28
|
|
ผมคิดว่าสาเหตุหนึ่งที่ศิลปจีนหยุดไปในรัชกาลที่สามอาจเป็นเพราะว่าชาวจีนเองก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเผยแพร่ ต่างคนก็ทำมาหากินและขาดช่วง(และขาดช่าง) และเข้าใจว่าอาจจะมีการหวงวิชาไม่ถ่ายทอดต่อ ในรัชกาลที่ห้าก็มีกรมช่างจีนอยู่แล้วก็หายไป ( เหมือนกับไม่ได้มีการถ่ายทอด พร้อมกับถูกทอดทิ้ง โดยหันไปเห่อศิลปตะวันตกแทน ) ศิลปจีนไม่ได้รับการเหลียวแลจากชาวจีนด้วยซ้ำ ชาสจีนที่เข้ามาตอนแรก โดยปกติก็จะอาศัยอยู่หัวเมืองใหญ่ โดยมาที่กรุงเทพก่อนเสียส่วนใหญ่ และอยู่รวมด้วยกัน ( เป็นธรรมดา ) การที่ต่างคนต่างอยู่ แม้จะมีการติดต่อเรื่องการค้ากับคนไทย ก็เฉพาะในหัวเมือง หาได้ทำให้คนไทยเกิดความชื่นชมกับศิลปจีนไม่ กอร์ปกับขาดแรงสนับสนุนจากราชสำนัก ศิลปจีนจึงถูกเก็บไว้หลังบ้าน คนไทยจึงมีความรู้สึกกับศิลปจีนเหมือนขี่ม้าชมดอกไม้ ( เปรียบเทียบถูกหรือเปล่า ) ไม่ถึงกึ๋น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
สมชาย
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 02 มิ.ย. 01, 02:25
|
|
จากประวัติศาสตร์ รัชกาลที่หนึ่งกับพระเจ้ากรุงธนฯก็รู้จักกันมาก่อน รัชกาลที่หนึ่งน่าจะทรงทราบเรื่องทางจีนอยู่บ้าง นอกจากจะทรงให้แปลสามก๊กโดยเจ้าพระยาพระคลัง( หน )แล้วยังให้มีการแปลไซฮั่นอีกด้วยโดยกรมพระราชวังหลัง ซึ่งดูแล้วออกจะเป็นลักษณะขี่ช้างจับตั๊กแตน อีกทั้งลักษณะการแปลสมัยก่อนก็เหมือนกับที่ น.นพรัตน์แปลสมัยนี้ ฝ่ายหนึ่งแปล อีกฝ่ายหนึ่งก็เรียบเรียง ทำไมต้องใช้เวลาถึงปี 2348 จึงเสร็จ ผมก็สงสัยประเด็นของผมว่าการแปลหนังสือสองเล่มจะเกียวข้องกับชาวจีนอย่างไร เมื่อนึกถึงที่กรมดำรงฯเคยให้ความเห็นว่าต้องใช้คนจำนวนมากในการแปล ดูๆก็คล้ายกับเรียกคนมาสอบถามต่างหาก และชาวจีนที่แปลอาจจะต้องอยู่ใน supervision อย่างใกล้ชิด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 02 มิ.ย. 01, 20:56
|
|
ดิฉันขอส่งภาพถ่ายเก่าแก่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๗ มาให้ดู เป็นภาพถ่ายที่พระบรมมหาราชวัง มองเห็นวัดโพธิ์ซึ่งเจดีย์ ๔ รัชกาลยังสร้างไม่ครบ คงมองเห็นอาคาร หลังคาแบบจีนในพระบรมมหาราชวังนะคะ  http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW626x011.jpg'>
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 02 มิ.ย. 01, 21:04
|
|
การแปลสามก๊กเป็นงานใหญ่ค่ะ ใช้ผู้มีความรู้ทางภาษาจีนชุดหนึ่ง และบรรดาขุนนางอาลักษณ์ฝ่ายไทยอีกชุดหนึ่ง ให้ซินแส(หรือผู้รู้ภาษาจีน)อ่านต้นฉบับสามก๊กแล้วถอดความเป็นไทย ต่อจากนั้นบรรดาอาลักษณ์ไทยก็เรียบเรียงเป็นภาษาไทยที่ไพเราะน่าอ่าน เพราะต้องทูลเกล้าฯถวาย เจ้าพระยาพระคลังเป็นผู้อำนวยการ ชี้ขาดปัญหาการแปลและขัดเกลาตรวจทานอีกที สมัยรัชกาลที่ ๑ ทำศึกกันเกือบไม่ว่างเว้น ก่อสร้างบ้านเมืองก็ทำกันมาเรื่อย ขุนนางไม่ค่อยจะว่าง งานชิ้นนี้เลยกินเวลายาวนานกว่าจะเสร็จ รวมทั้งไซ่ฮั่นด้วย ถึงเป็นสมัยนี้ก็เถอะ มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากกว่าเยอะ ลองตั้งกรรมการให้แปลหนังสือยาวขนาดนี้ คงหลายปีเหมือนกัน ดูจากสารานุกรมหลายๆเรื่องก็ได้ ดิฉันยังไม่ได้เช็คว่าเจ้าพระยาพระคลังท่านล่วงลับไป พ.ศ.ไหน แต่ที่นักวิชาการหลายคนลงความเห็นว่าท่านสิ้นไปก่อน ข้อหนึ่งก็เพราะดูสำนวนภาษาว่าสามก๊กตอนท้ายๆ สำนวนไม่ดีเท่าตอนต้นและกลางเรื่อง
ทราบมาว่านักการทหารยุคหลัง เอาตำราพิชัยสงครามมาวิเคราะห์และใช้ศึกษากันด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 02 มิ.ย. 01, 23:25
|
|
ปัญหาในเรื่องการแปลสามก๊กนั้นเข้าใจว่าประเด็นที่ทำให้เสียเวลานานนั้นมีอยู่ 3 เรื่องคือ 1.ผู้รับผิดชอบมีงานประจำอื่นอยู่แล้ว ในขณะที่บ้านเมืองช่วง ร.1 เอง เป็นช่วงที่มีสงครามอยู่บ่อยครั้ง และยังมีงานการสร้างเมืองอยู่ด้วย อาจจะไม่มีเวลาทำงานนี้เต็มที่นัก 2.ล่ามจีนเท่าที่ได้ยินมามีปัญหาว่าคนที่อ่านภาษาจีนแตกฉานนั้นพูดไทยไม่ได้ การแปลต้องมีการแปลกันหลายทอด ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สามก๊กฉบับพระยาพระคลัง(หน) นั้นมีการเรื่องชื่อจีนพิลึกพิลั่น และยังมีเนื้อความบางตอนที่มีการแปลผิดพลาดด้วย 3.เนื้อเรื่องในสามก๊กนั้น บางส่วนล่อแหลมต่อความเชื่อทางการเมืองในยุคนั้น ทำให้ต้องมีการปรับ ดัดแปลงเนื้อเรื่องบางตอน งานส่วนนี้เป็นงานที่ต้องใช้เวลาครับ สำหรับวัตถุประสงค์ในการแปลนั้น ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นประเด็นเรื่องการทหาร เพราะในยุคร.1นั้น เห็นได้ชัดเจนว่ามีการปรับปรุงด้านการข่าว แนวคิดในแง่ที่ว่ารู้เขารู้เรารบร้อยครั้งไม่มีแพ้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการทำ "พม่าศึกษา" อย่างจริงจัง ทำให้รู้ความเป็นมาเป็นไปในแผ่นดินพม่าได้ดีกว่าที่เคย ซึ่งเป็นประโยชน์ในเรื่องของการศึกสงครามด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ืne sais que
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 03 มิ.ย. 01, 00:53
|
|
จากความคิดเห็นที่ 11 นะครับ
ไม่แน่ใจว่า รูปนั้นคือ หมู่พระที่นั่งอภิเนานิเวศน์หรือไม่ ( ถ้าพระนามผิดขออภัยอย่างยิ่ง นะครับ) แต่ คาดว่า น่าจะใช่ เพราะ หมู่พระที่นั่งองค์นี้ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงต่อยุคระหว่างศิลปกรรมไทยแท้ ไทย-จีน จีน และ ตะวันตก ทั้งนี้ สาเหตุ ที่ร.4 ทรงสร้างก็เพื่อแสดงความเป็น ประเทศอารย ที่ทัดเทียมตะวันตก เพื่อเหตุผลทางการเมืองในเวลานั้น อย่างไรก็ตาม หมู่พระที่นั่งนี้ มิได้เน้นการก่อสร้างในรูปแบบของ ศิลปกรรมจีน แต่ประการใด เพียง แต่ ช่างของไทย ณ เวลานั้น ยังไม่ชำนาญในการช่างแบบตะวันตก จึงต้องสร้าง ตัวอาคารแบบตะวันตก -- สังเกต ได้จาก ลักษณะของพระบัญชร และ ลายปูนปั้นด้านบน และ ใช้หลังคาแบบจีน ดังนั้น ถ้าจะกล่าวไปแล้ว ศิลปกรรมจีน นั้น ก็พอมี กลิ่นอาย เข้มข้นพอสมควร ภายใน ราชสำนักสยาม แต่ มิได้ถึงขนาดที่จะเรียกว่า "บูม" ได้ ทั้งนี้ น่าจะมาจาก ประเทศไทย ไม่จำเป็นต้อง แสดงความเป็นอารยแบบจีน เพื่อเหตุผลทางการเมือง เฉกเช่น ตะวันตก นั่นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|