naitang
|
ความคิดเห็นที่ 390 เมื่อ 15 ม.ค. 15, 19:12
|
|
นึกขึ้นได้ว่า ผู้ที่เขียนเผยแพร่เรื่องภูเขาไปที่ประจวบฯนี้ อาจไปเอาตำแหน่งของ อานัคการากาตัว (Anak Krakatoa) ที่มีการ pin ผิดที่ใน Google Earth แล้วเอาเรื่องราวพัฒนาการของมันมาบรรยายเสริมเติมแต่งเพิ่มเข้าไป กองเปลือกมะพร้าวที่ติดไฟอยู่ในแถบนั้นก็ดูจะเข้าบรรยากาศของลาวา ควัน และเถ้าถ่าน ฯลฯ
ณ บริเวณที่เป็นภูเขาไฟกะรากะตัว (Krakatoa) ซึ่งได้ระเบิดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งเมื่อร้อยกว่าปีมี่ผ่านมานั้น จัดเป็น hot spot (เบ้าหลอมหิน) ที่สำคัญจุดหนึ่ง เมื่อกะรากะตัวระเบิดไปแล้ว ไม่นานก็มีรุ่นลูกค่อยๆปูดตามขึ้นมาในพื้นที่เดิม ซึ่งมีการตั้งชื่อว่า Anak Krakatoa เหตุการณ์ที่เกิดอย่างต่อเนื่องมาก็คือ มีผืนหินค่อยๆปูดขึ้นมาจากทะเล ค่อยๆสูงขึ้นๆ จนในปัจจุบันถึงสูงประมาณ 300 เมตร มันก็พ่นทั้งเถ้าถ่านและปล่อยหินละลายไหลออกมาตลอดเวล ไม่รู้ว่าอีกนานเพียงใดจึงจะระเบิด (อีกหลายรอยปีแน่นอน) อย่างไรก็ตาม ก็มีการเฝ้าติดตามศึกษาตลอดมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 391 เมื่อ 18 ม.ค. 15, 18:34
|
|
กลับมาต่อเรื่องพื้นที่แผ่นดินไหวในเขตประเทศไทยที่เราน่าจะพึงให้ความใส่ใจ
กลับไปทบทวนนิดนึง ต้นตอของแผ่นดินไหวปกติจะจำแนกเป็น 3 ประเภท คือ พวกที่เกิดจากการขยับปรับตัวของผิวโลก พวกที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก และพวกที่เกิดจากผลของการกระทำของมนุษย์
พวกแรก เป็นพวกที่เราอยู่กับมัน เช่นเดียวกันกับคนทั้งโลก พวกที่สอง เราไม่ได้อยู่ในพื้นที่ๆเป็นเนื้อตัวของมัน เราอยู่ห่างจากมันพอสมควร แต่ได้รับผลกระทบปลายแถวจากมัน พวกที่สาม เราคงมีกิจกรรมน้อยมากที่จะไปเกี่ยวข้องกับมัน
เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ณ ที่ใดๆในแผ่นดิน คำอธิบายเกือบทั้งหมดมักจะไปเกี่ยวพันกับรอยเลื่อนใดลอยเลื่อนหนึ่ง ซึ่งแท้จริงแล้วมันโยงกันไปหมด และในหลายๆกรณีก็ยังโยงไปถึงผลจากการกระทำของมนุษย์ร่วมด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 392 เมื่อ 18 ม.ค. 15, 19:15
|
|
คำว่ารอยเลื่อน หรือ Fault ที่เราได้ยินกันในคำอธิบายหรือในการอ้างถึงบ่อยๆนั้น จะมีอีกวลีหนึ่งต่อท้ายเข้ามา ได้แก่ ...มีพลัง
รอยเลื่อนมีพลัง ตรงกับศัพท์ว่า active fault ซึ่งหมายถึงว่า มันยังมีพลังงานหรือมีการสะสมพลังงานอยู่ตลอดเวลา หากมีมากพอ มันก็พร้อมที่จะเคลื่อนขยับปรับตัว ทำให้เกิดแผ่นดินไหวตามมา ซึ่งก็ยังมีการจำแนกแบบหยาบๆออกไปอีกว่า เป็นพวกทำลายล้าง (destructive) หรือพวกไหวธรรดาๆ (non-destructive) โดยการย้อนไปดูประวัติและลักษณะความเสียหายที่มันเคยทำๆมา
เมื่อมีการจำแนกรอยเลื่อนที่พลังออกมาได้ ก็ย่อมต้องมีอีกกลุ่มรอยเลื่อนในทางตรงกันข้าม ซึ่งก็คือพวกที่ไม่มีพลัง ซึ่งก็จำแนกออกไปอีกได้ว่า จะเป็นประเภทไม่มีอะไรในกอไผ่อีกแล้ว เรียกกันว่า dead fault (ตายไปแล้ว) หรือจะเป็นพวกที่มีโอกาศฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้เป็นพักๆ เรียกกันว่า inactive fault ก็คือไม่แน่ใจว่ามันตายไปแล้วหรือยังไม่ตายจริง เพียงสลบไป จะตื่นมาเมื่อใดก็ไม่ทราบ จึงได้แต่เป็นการเดา (แบบมีหลักวิชาการทางสถิติ) โดยการย้อนกลับไปดูประวัติอาการของมันในอดีต (เท่าที่มีการบันทึกมาจะโดยธรรมชาติหรือประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติก็ตาม) นั่นก็เลยเป็นที่มาของคำว่า "ในรอบ...ปี" (return period)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 393 เมื่อ 18 ม.ค. 15, 19:37
|
|
เล่ามาถึงตรงนี้ ก็คงพอจะวิเคราะห์และจำแนกได้บ้างแล้วว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้น อะไรควรจะเป็นอย่างไร ยิ่งมีความสนใจในเรื่องของสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงการมีความรอบรู้สภาพต่างๆในอดีตเพื่อเปรียบเทียบกับในปัจจุบัน บรรดาภาพที่ได้จากข้อมูลในอดีตเพื่อการเปรียบเทียบเหล่านั้น หนีไม่พ้นที่จะต้องรวบรวมเก็บมาทำการประมวลจากเรื่องราวต่างๆในอดีต ซึ่งก็หมายถึงว่า ต้องอ่านเอาความจากเรื่องราวในอดีตในแง่มุมต่างๆ ครับ จะจรรโลงชีวิตให้มีความสุขก็คงหนีไม่พ้นที่จะรู้และเรียนรู้จากประวัติศาสตร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 394 เมื่อ 18 ม.ค. 15, 20:25
|
|
ก็เข้ามาถึงจุดที่ว่า รอยเลื่อนทั้งแบบ active กับรอยเลื่อนแบบ inactive ต่างก็ขยับปรับตัวได้ แล้วจะจำแนกมันอย่างไรกันดี
ที่รู้และจำแนกออกได้ตั้งแต่ต้นเลย แน่ๆก็คือ แบบ active นั้นมันมีร่องรอยของการเคลื่อนที่ต่อเนื่องตลอดกระบวนการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกหรือของผืนดิน
ส่วนแบบ inactive นั้น โดยนัยก็คือ รู้อยู่จากหลักฐานหลายอย่างว่า มันยังไม่ตายสนิท หลายๆปีมันก็จะเคลื่อนหรือขยับตัวครั้งหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 395 เมื่อ 20 ม.ค. 15, 18:38
|
|
ก็เข้ามาถึงจุดที่ว่า รอยเลื่อนต่างๆนั้นมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะในพื้นที่ๆเป็นเทือกเขาและทิวเขา ซึ่งมันก็เป็นพวกที่สร้างให้เกิดภูมิประเทศอันสวยงาม เป็นพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว เป็นแหล่งพื้นที่อยู่อาศัย เป็นภูมิประเทศที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเขื่อน สร้างอ่างเก็บน้ำ ฯลฯ
เมื่อรอยเลื่อนเป็นหนึ่งในต้นตอของแผ่นดินไหว (จากเหตุที่แต่ละผืนดินที่อยู่คนละด้านของรอยเลื่อนมันเคลื่อนที่สวนทางกัน) ซึ่งการไหวของแผ่นดินนั้นก็กระจายออกไปรอบทิศ ใกล้จุดกำเนิดก็แรงหน่อย ไกลจุดกำเนิดก็เบาหน่อย อยู่ในพื้นที่ๆรองรับด้วยหินแข็งก็รู้สึกคล้ายกับถูกเขย่า อยู่ในพื้นทีๆรองรับด้วยดินอ่อนก็รู้สึกคลัายอยู่บนที่นอนยาง ก็เป็นอันว่า โดยนัยแล้ว จะอยู่ที่ใหนก็มีโอกาสต้องสัมผัสกับแผ่นดินไหวได้ทั้งนั้น ยิ่งชอบวิวทิวทัศน์ อากาศบริสุทธิ์ และสิ่งแวดล้อมอันสุนทรีย์ ยังไงๆก็ต้องนอนอยู่กับมันไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่นั้นๆเป็นช่วงเวลาสั้นๆหรือยาว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 396 เมื่อ 20 ม.ค. 15, 20:19
|
|
เมื่อรอยเลื่อนมีเป็นจำนวนมากมาย แต่ละตัวก็มีประวัติการเคลื่อนตัวของตัวเองทั้งในมิติของเวลา และในมิติของปริมาณและคุณภาพ แล้วเราจะมีความสามารถที่จะไปรู้จักตัวตนของแต่ละรอยเลื่อนได้ครบทั้งหมดหรือ ? ไม่ง่ายเลย ก็ทำให้มีวิธีการง่ายๆที่จะพิจารณากรณีโอกาสที่จะต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวใดๆ ใน 2 วิธีการ คือ จากข้อมูลโดยตรงของรอยเลื่อนใดๆที่ วิเคราะห์โดยนักวิชาการเฉพาะด้าน และในมิติทางเวลา โดยพื้นฐานของกิจกรรมทางสังคม
ในมิติทางวิชาการนั้น ในความเห็นของผม ก็ต้องรับฟัง เก็บเป็นข้อมูลและความรู้ ส่วนจะเชื่อได้หรือไม่นั้น คงจะต้องพิจาณาแหล่งที่มาของข้อมูล และผู้ที่ออกมาแถลง กระบวนการทางธรรมชาตินั้นมันเป็นระบบเปิด (open system) เรียนไม่รู้จบครับ
ในมิติทางเวลานั้น น่าจะเป็นเรื่องที่สร้างให้ตัวเราเกิดความรู้สึกถึงความเชื่อมั่นได้ดีที่สุด ขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจในกรอบเวลาใด เช่น ในรอบ 100 ปี หรือ 500 ปีที่ผ่านมา เกิดแผ่นดินไหวบ้างหรือไม่ ขนาดใหนและรุนแรงมากน้อยเพียงใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 397 เมื่อ 21 ม.ค. 15, 19:01
|
|
กรอบเวลานี้ โครงการงานก่อสร้างทางวิศวกรรมทั้งหลายเขาก็ใช้กัน และก็เป็นเรื่องแรกๆที่เข้ามาในความคิดของผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ในรอบ 500,000 ปีที่ผ่านมา จะต้องไม่มีการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อน หรือแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ เป็นต้น จัดเป็นการอนุมานในเบื้องแรกสุดว่า ในกรอบเวลานั้นๆ โครงการก่อสร้างนั้นๆน่าจะมีความปลอดภัยเพียงพอหรือไม่ สำหรับการศึกษาทางสถิติเกี่ยวกับวงรอบของการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใดๆนั้น (return period) ไปเกี่ยวข้องในเรื่องของความแข็งแรงทนทาน คือ จะออกแบบให้รับแผ่นดินไหวได้ขนาดใหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 398 เมื่อ 21 ม.ค. 15, 19:11
|
|
ดังนั้น เราจึงสามารถกำหนดเงื่อนไขของความเสี่ยงและความรู้สึกปลอดภัยของเราเองได้ในระดับที่ดีเลยทีเดียว
คำพูดในลักษณะเหล่านี้ จะเกิดขึ้นเอง แล้วเราก็ตัดสินใจเองว่าจะเอาแบบใหน อาทิ
- นานๆมันก็เกิดทีนึง - สองสามปี (หรือ ...ปี ครั้งนึง) - มันก็เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ ก็คงจะไม่แรงไปมากกว่านี้เท่าใดหรอก - บ้านเราแข็งแรงพอ รับได้กับขนาดที่ใหญ่กว่านี้ - คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมั๊ง - อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด
ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 399 เมื่อ 22 ม.ค. 15, 17:15
|
|
จะหายหน้าไปสามสี่วันนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 400 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 18:12
|
|
วลีที่ได้ยกตัวอย่างมา นอกจากจะเป็นเรื่องของการปลอบใจตนเองแล้ว ยังเป็นการแสดงถึงการตัดสินใจว่า ตนเองได้ตกลงปลงใจที่จะเลือกสถานที่พักหรืออยู่อาศัย ณ สถานที่นั้นๆเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งก็หมายถึงการยอมรับความเสี่ยงในระดับนั้นๆ จะตัดสินใจอย่างใดก็ตามนะครับ ก็ขอให้เพิ่มเรื่องของการลดความเสี่ยงเฉพาะตนหรือหมู่คณะของตนลงไปอีกให้ได้มากที่สุด เช่น การเลือกตำแหน่งของสถานที่อยู่ การทำความรู้จักกับพื้นที่นั้นๆให้ดีเท่าที่จะทำได้ เป็นต้น หรือง่ายๆก็คือ อย่าลืมพิจารณาเรื่องของทางหนีทีไล่ให้ดีๆด้วย จะถูกว่าๆเป็นการคิดในทางลบก็ได้ หรืออาจจะถูกว่าๆคิดมากหรือประสาทก็ได้ ฯลฯ อย่าสนใจไปเลยครับ ตำราพิชัยสงครามของท่านซุนวูแต่โบราณกาลกล่าวว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 401 เมื่อ 26 ม.ค. 15, 18:25
|
|
ครับ ก็คือการรอบรู้สถานะการณ์ หรือสิ่งแวดล้อม หรือสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งที่เป็นธรรมชาติ ที่เป็นการสรรสร้างขึ้นมาโดยฝีมือมนุษย์ และที่ความเป็นตัวตนของมนุษย์ (ความคิด จิตใจ หลักคิด หลักนิยม ...)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 402 เมื่อ 31 ม.ค. 15, 18:55
|
|
ก็มีอยู่อีก 2 ประโยคที่จะต้องกล่าวถึง คือ earthquake susceptible area กับ earthquake hazard area ซึ่งทั้งสองเรื่องดังกล่าวนี้ มีความหมายต่างกันแทบจะโดยสิ้นเชิง แต่ข่าวสารที่ปรากฎอยู่ในสื่อ (ไม่ว่าจะมีต้นทางจากกลุ่มคนทางวิชาการหรือจากกลุ่มคนทางสื่อ) มักจะมีเนื้อหาหรือความมายสื่อไปในทางของเรื่อง hazard (ภัยพิบัติ)
ในกรณีเรื่องของ susceptible area นั้น เป็นเรื่องของการที่พื้นที่นั้นๆสามารถรับรู้ และเกิดการไหวเมื่อมีคลื่นแผ่นดินไหวผ่านมา (ขนาดใดขนาดหนึ่งและจากต้นตอจุดใดจุดหนึ่ง) ตัวผมเองจัดให้พื้นที่ภาคอีสาน พื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง และพื้นที่ภาคตะวันออกของไทยเราเป็นพื้นที่ๆเกือบจะไม่สามารถรับรู้การไหวของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ณ ที่ใดๆในโลก แม้กระทั่งที่เกิดในพื้นที่รอบๆประเทศของเรา ต่างกับพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ ที่เป็นพื้นที่ๆที่สามารถรับรู้และเกิดการไหวของแผ่นดินได้ ซึ่งก็ยังพอจะจำแนกย่อยลงไปได้อีก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 403 เมื่อ 31 ม.ค. 15, 19:32
|
|
จะขออธิบายหลักง่ายๆ ก่อนที่จะแยกย่อยลงไปครับ คือ คลื่นใดๆก็ตาม เมื่อเดินทางผ่านตัวกลางที่วางตัวคล้ายระนาบซ้อนกัน คลื่นที่มีทิศทางของการเดินทางต้องทะลุผ่านแต่ละตัวกลาง พลังและความเข้มข้นของคลื่นนั้นๆจะลดลงเป็นลำดับอย่างรวดเร็วเมื่อได้วิ่งทะลุผ่านแต่ละชั้นไป ต่างกับคลื่นที่เดินทางอยู่ในระหว่างชั้นของตัวกลางแต่ละระนาบ ที่คลื่นนั้นๆจะคงรักษาระดับพลังและความเข้มข้นและเดินทางไปได้เป็นระยะทางไกล แต่ก็จะค่อยๆลดลง มากน้อยตามคุณสบัติของตัวกลางนั้นๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 404 เมื่อ 02 ก.พ. 15, 19:02
|
|
ตามหลักดังกล่าวนี้
พื้นที่บริเวณกลางๆภาคอีสาน ก็จะจัดได้ว่า คงจะไม่รับรู้แผ่นดินไหวจากต้นกำเนิดใดๆ ยกเว้นเฉพาะพื้นที่ด้านมุมตะวันออกเฉียงเหนือ (แถบบึงกาฬ นครพนม สกลนคร มุกดาหาร) ซึ่งมีโอกาสจะได้รับคลื่นแผ่นดินไหวจากกลุ่มรอยเลื่อนที่พบอยู่ในเวียดนามตอนบนและลาว (รวมทั้งรอยเลื่อนตามแม่น้ำศรีสงคราม) ที่มีแนวและมีความยาวต่อเนื่องเข้าไปในพื้นที่ของจีนตอนใต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|