NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 165 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 13:19
|
|
นี่แบบshakeพอได้ไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 166 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 13:41
|
|
นี่ก็สั่นเหมือนกัน น่าจะประมาณ2ริกเตอร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 167 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 13:44
|
|
หลังแผ่นดินไหวที่บ้านท่านนายตั้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 168 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 13:48
|
|
เชิญต่อนะครับ เรื่องสาระหนักๆอย่างนี้นานๆจะมีคนมาให่วิทยาทาน เห็นท่านผู้เขียนเอาไม้จิ้มฟันถ่างตาก็จะพลอยทำให้ผู้อ่านง่วงไปด้วย ลูกคู่ต้องออกมาช่วยเสริมหน้าม่านหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 169 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 16:23
|
|
เชียงรายเจอแผ่นดินไหวที่อ.แม่ลาวขนาด3.8เมื่อตอนตี1และตอนตี4ขนาด2.5รู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหว สำนักเฝ้าระวังแผ่นดินไหวรายงานว่า เช้าวันนี้ (27 มิถุนายน 2557) เมื่อเวลา 01.00 น. ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่....... อ่านต่อได้ที่ : http://bit.ly/1izBIcO
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 170 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 19:12
|
|
ท่าน N.C หาภาพมาประกอบได้เข้าท่าเลยทีเดียวครับ
rock เป็นอาการในลักษณะของการ กระชากไปมา ใกล้เคียงกับอาการคล้ายกับภาพใน คห. 163 แต่จะเป็นการกระชากไปมาที่ช้ากว่ามาก คล้ายกับภาพของพ่อครัวอาหารฝรั่งที่กำลังขยับกระทะเพื่อไม่ให้อาหารคิดกระทะในขณะทอดหรือผัด
ภาพใน คห.164 เป็นลักษณะอาการของการแกว่งไปมา ไปตรงกับคำว่า vibration เป็นการโยกไปโยนมาที่ค่อนข้างจะมีความนุ่มนวลและมีวงรอบ (จะบอกว่าเป็นลักษณะของ sine wave ก็เกรงว่าจะต้องขยายความอีก..แหะๆ) คล้ายกับการแกว่งของลูกตุ้มนาฬิกานั่นแหละ
ภาพใน คห.165 ตรงเผงกับอาการของคำว่า shake คือ กระชากไปมาในหลายทิศทาง
เอาละครับ สอบผ่านสบายๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 171 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 19:16
|
|
ยังขาดภาพของลักษณะ tremor, rattle และ jolt อยู่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 172 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 19:42
|
|
อ้อ ภาพใน คห.168 น่าจะใกล้เคียงกับลักษณะอาการของคำว่า jolt คือ ผลักในทันใดให้โงนเงนไปมา ครับ
ทำให้นึกไปไกล...ถึงความวิลิศมาหราของภาษาไทย โยก ก็มีความหมายนึง พอเพิ่ม ข เข้าไปเป็น โขยก ก็ไปในอีกความหมายนึง เพิ่ม เยก หลังความว่า โยก ก็ให้ในอีกความหมายนึง แล้วก็พอเพิ่ม ข เข้าไปเป็น เขยก ก็เป็นอีกความหมายนึง แถมเอาสองคำมารวมกันเป็น โยกเยก ก็ให้อีกความหมายนึง พอเป็น โขยกเขยก ก็ไปอีกเรื่องนึงไปเลย
เคยสังเกตอยู่ว่า คำในภาษาไทยที่มีสระ เ เป็นตัวสะกดนำหน้า จะมีความหมายไปในทางไม่ค่อยจะดีอยู่มากคำเลยทีเดียว
อ้าว ไปไกลกว่าเรื่องแผ่นดินไหวเสียหลายลี้แล้ว กลับเข้าเรื่องดีกว่านะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 173 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 22:18
|
|
ติดค้างอยู่ที่ว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคลื่นแผ่นดินไหวที่กำเนิดจากธรรมชาติหรือจากฝีมือของมนุษย์
คำตอบ คือ จุดกำเนิดมันตื้น อยู่ใกล้ผิวดินมาก มันเป็นลักษณะคลื่นความถี่สูง และมันเป็นคลื่นที่กระจายออกไปรอบตัวจากการระเบิดของลูกระเบิด เป็นแรงที่เบ่งออกไปรอบทิศจากจุดระเบิด ในภาพง่ายๆก็คือ เป็นแรงที่ไปดัน (compress) ให้ผิวโลกโป่งขึ้น ทำให้ลักษณะของเส้นกราฟที่ขยับครั้งแรก (first kick หรือ first motion) บนแผ่นกราฟของเครื่องวัดแผ่นดินไหวที่มีสถานีวัดตั้งกระจายอยู่ทั่วโลกนั้น เหมือนกันหมด คือเป็นในลักษณะของการผลัก (push) ให้เครื่องวัดเคลื่อนที่ มิใช่การดึง (dilate) ให้เครื่องวัดเคลื่อนที่
ใจเย็นๆนะครับ รู้ว่ายังงงๆอยู่ แล้วก็จะค่อยๆเข้าใจไปเองเมื่อเรื่องราวต่างๆมันผูกพันกันมากขึ้น
แผ่นดินไหวธรรมชาติที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินและชีวิตนั้น จะเป็นพวกที่มีทั้งแรงที่ดันออกไปจุดกำเนิดและแรงที่ดึงเข้ามาหาจุดกำเนิด พอจะเห็นภาพลางๆใหมครับว่า มันย่อมมีความต่างของผลกระทบ ระหว่างการผลัก กับ การดึง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 174 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 23:03
|
|
ยังขาดภาพของลักษณะ tremor, rattle และ jolt อยู่ครับ เอาtremorไปก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 175 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 23:04
|
|
rattle
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 176 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 23:05
|
|
jolt
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 177 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 23:07
|
|
ภูเขาไฟระเบิดนั้น เกิดจากการที่หินหนืด (magma) เคลื่อนตัวออกจากเบ้าหลอม (magma chamber)ที่อยู่ลึกลงไปใต้ดิน ค่อยๆเคลื่อนสูงขึ้นสู่ผิวโลกด้วยการละลายหินที่อยู่รอบข้าง ทำให้เกิดเป็นช่องทางเดินของ magma ที่ร้อนและเหลว (อุณหภูมิระหว่าง 1300 -1400 องศาเซลเซียส) ส่วนประกอบดั้งเดิมของหินหนืดซึ่งเริ่มต้นละลายที่ระดับลึกมากๆนั้น จะมีองค์ประกอบของธาตุแมกนีเซียมและเหล็กในปริมาณสูง เมื่อค่อยๆเคลื่อนตัวตื้นขึ้นมาด้วยการละลายหิน ก็ทำให้ได้ธาตุอลูมินัมและซิลิกาเพิ่มเข้ามาในมวลหินหนืด ทำให้มีความหนืดน้อยลง ไหลได้ง่ายขึ้น พอถึงระดับใกล้ผิวโลกจริงๆก็ผนวกน้ำเข้าไปอีก เหลวมากขึ้นไปอีก คราวนี้ก็เลยได้โอกาสพ่นพวกของเหลวออกมา มีทั้งไอน้ำ ควัน เศษหิน และในที่สุดก็หินหลอมเหลว (lava) ในหลายกรณีก็ไม่มีการระเบิด มีแต่การไหลออกมาของลาวา
การเคลื่อนที่ของหินหนืดใต้ดินลึกๆนี้ ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนได้ หากคนรับรู้การสั่นนั้นได้ ก็เรียกว่า tremor แต่ส่วนมากจะรับรู้ได้ด้วยเครื่องวัดแผ่นดินไหว เลยเรียกว่า seismic activity
นักธรณีฯสายวิชาการแผ่นดินไหว เขาจะวิเคราะห์คลื่นแผ่นดินไหวจากเครื่องที่เอาไปตั้งไว้ในพื้นที่ภูเขาไฟเหล่านั้น เพื่อทราบว่ามวลหินหนืดได้เดินทางจากไหนไปไหน อยู่ลึกหรือตื้นเพียงใด อยู่ใกล้ปากกล่องภูเขาไฟเพียงใดแล้ว เมื่อผนวกกับข้อมูลที่มันปลดปล่อยกาซบางชนิดออกมา ก็ทำให้สามารถคาดได้ว่าควรจะอพยพหนีหรือยัง ความเสียหายต่อชีวิตอันเนื่องมาจากภูเขาไฟระเบิดจึงมีค่อนข้างจะน้อยมาก ทั้งๆที่เป็นประเภทภัยพิบัติธรรมชาติที่รุนแรง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 178 เมื่อ 27 มิ.ย. 14, 23:16
|
|
tremor น่าจะตรงกับคำว่า กระเทือน แบบบ้านกระเทือนเมื่อรถสิบล้อวิ่งผ่าน
ภาพลักษณะของ jolt เข้าท่าแฮะ
แต่ rattle นั้น อืม์...ก็ใช่อยู่นะ เพราะเสียงจาก rattle นี้ ส่วนมากก็ทำให้ตื่นกลัวจนขนหัวลุกได้
ครับผม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 179 เมื่อ 29 มิ.ย. 14, 21:48
|
|
ผ่านต้นเหตุของแผ่นดินไหวมาแล้ว 2 อย่าง คราวนี้ก็มาถึงต้นเหตุสำคัญที่มักสร้างให้เกิดความเสียหายอย่างจริงจัง แต่ก่อนจะเข้าไปสู่เรื่องที่ค่อนข้างจะมีความโยงใยถึงกันและกันไปหมดนี้ จะขอนำพาออกไปให้เห็นภาพพอสังเขป (ภาพหยาบๆจริงๆ) ของโลกที่ไม่เคยอยู่นิ่ง เพื่อปูทางและเป็นองค์ประกอบไปสู่ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ดังนี้ครับ
เปลือกโลกส่วนที่เป็นผิวโลก (earth crust) ของเราในบริเวณที่เป็นแผ่นดินของทวีปต่างๆนั้น มีความหนาประมาณ 30 กม. สำหรับในบริเวณที่เป็นมหาสมุทร มีความหนาประมาณ 8 กม.(ลึกจากพื้นหินท้องมหาสมุทรลงไป) หินที่ประกอบกันเป็นผิวโลกในส่วนที่เป็นแผ่นดินจะมีมวลที่เบามากกว่าหินที่วางตัวรองเป็นพื้นอยู่ก้นมหาสมุทร เปลือกโลกส่วนที่เป็นผิวโลกนี้มีสภาพทางกายภาพเป็นของแข็ง แต่เมื่อพ้นขีดความลึกที่ประมาณ 30 กม.ลงไป วัสดุจะมีสภาพออกไปทางของนิ่ม (plastic หรือ ductile materials) ซึ่งพอเทียบเคียงได้กับชิ้นพลาสติกที่เราสามารถดัดไปมาได้ แต่บางบริเวณก็มีสภาพเป็นของไหล (fluid) ซึ่งพอจะเทียบได้กับลักษณะของลาวาจากภูเขาไฟ หรือดินโคลน ชั้นหินไหลได้นี้มีความหนาประมาณ 400 กม. (upper mantle หรือ asthenosphere) เมื่อลึกลงไปกว่าชั้นนี้ ก็จะกลายเป็นชั้นหินแข็งอีกจนถึงที่ความลึกประมาณ 2,900 กม. (lower mantle) เราเรียกรวมทั้งสองชั้นนี้ว่าชั้น mantle
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|