เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 2244 วิศิษฏศิลปินศุภมังคลาธิษฐาน โดย ประยอม ซองทอง
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 01 เม.ย. 14, 08:53

2 เมษายน มหามงคล

๒ เมษายน ๒๕๕๗
(วสันตดิลกฉันท์ ๑๔)
สรวมชีพกรรพุมนขประณต                                     ศิรพจน์ทิพางคญาณ
จำเรียงลำนำกวิประสาน                                        ดุริยางคบำบวง
กรองสร้อยฉลองยุคลบาท                                     วรนาฏธิดาสรวง
เทพแห่งไผทศิลปปวง                                         ปฏิสรรพศาสตร์ชาญ
มงคลพระราชสมภพ                                            ปริจบพระปรีชญาณ
สำนองพระราชปณิธาน                                         ทำนุวัฒนธรรม
พ้องกาลสยามอนุรักษ์                                          มรดกพระอุปถัมภ์
เสริมศิลปินนิมิตกรรม                                            กิติก้อง ณ ไกวัล
เพียบพร้อมพระราชจริยวัตร                                     ประดิพัทธ์นวัตกรรม์
วรรณศิลป์กระวีดริยสรรพ์                                       ธ สฤษฏิ์พิสิฐผล
ทวยไทยนิมิตอธิษฐาน                                          ศุภวาระมงคล
อัญเชิญพระไตรรตนดล                                         จตุพรบวรชัย
จุ่งทรงเกษมสิริสวัส-                                            ดิพิพัฒนาดิสัย
ตราบกาลนิรันตรสมัย                                            จิรัฐิติกาลเทอญ

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม

นายประยอม ซองทอง ศิลปินแห่งชาติ ร้อยกรอง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 01 เม.ย. 14, 08:57

" ปาฎิหาริย์แห่งศรัทธา "

ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยร่วมถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระเทพฯ เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ท่าน...และขอเชิญอ่านเรื่องราวน้ำพระทัยของพระองค์ ที่ผมประสบมากับตัวเอง...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

พระองค์ทรงถามว่า ....คืออะไรหรือ ?
ถ้อยคำสั้นๆแต่มีอำนาจและพลังมากๆครับเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดและสุขที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาทั้งชีวิต.........
ผมตอบพระองค์ว่า...."ในซองนี้คือชีวิตทั้งชีวิตของกระผมที่ผมจะทำให้ในหลวงครับ "


ในการทำงานนิทรรศการครั้งนี้ หลายท่านคงทราบว่าไร้ทุกหน่วยงานเหลียวแล บางที่ไปขอความร่วมมือโดนด่ากลับมาอีก บางที่ให้เช่าหอศิลป์ แต่ด้วยเหตุใดก็มิทราบอยู่ๆก็บอกเลิกเรากลางคัน ก่อนงานจะจัดแสดงเพียง 15 วัน !! เท่านั้นเอง เงินที่ลงทุนไปหายหมด....สิ้น....ไม่เหลืออะไรแล้ว

ในวันที่ไร้ที่พึ่งพา โดดเดี่ยว เคว้งคว้าง ไร้กำลังใจ เหมือนฟ้ามาโปรด เช้าวันหนึ่งผมนั่งกินข้าวเช้า ร้านข้างถนนแห่งหนึ่ง ได้ยินแม่ค้าคุยกันว่าสมเด็จพระเทพฯจะเสด็จมาซ้อมดนตรีส่วนพระองค์ ที่ข้างๆนี่ล่ะ ความหวังมันผุดขึ้นมาในความมืดมิด น้ำตามันไหลไม่รู้ตัว ผมเปิดเพจนี้มานานแล้ว และพอได้ทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรมากมายนัก

ผมไม่รอช้ารีบวิ่งหาซื้อกระดาษ ปากกา หวังส่งจะเขียนจดหมายส่งให้กับผู้ติดตามพระองค์ก็ยังดี ถึงสิ่งที่ผมทำอยู่ เพราะผมไม่รู้ว่าจะเปิดงานอย่างไร ? จะถวายงานให้ในหลวงได้ไง ? ในเมื่อหลายๆหน่วยงานทิ้งผมไปหมดแล้ว ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ขอเงินเค้าสักบาท ผมขอแค่เช่าสถานที่ได้ไหม ? มันคงผิดที่ผมไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ฯลฯ

ในขณะนั้นใจมันเต้นมากๆครับ บอกไม่ถูกขณะที่พิมอยู่เนี้ย น้ำตายังไหลนองสองแก้มเลย คำราชาศัพย์เขียนไง ? ฉันจบมาแค่ ม.3 ฉันจน ฉันโดนด่ามาตลอดหลายเดือน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนที่ดูถูกและด่าเราทำไม่ได้คือ "การหยุดงานนี้"การหยุดให้ผมบอกรักในหลวง !!
ผมเริ่มคิดว่าถ้าฉันเขียนผิดไปพระองค์จะโกรธไหม เราจะติดคุกไหม ? ร้อยพันคำถามมันผุดขึ้นมาในสมอง สรุปตอนแรกก็ราชาศัพย์ครับสักพักก็ใช้คำชาวบ้านๆนี่ล่ะ มันทำไรไม่ถูก ขอแค่ได้เขียนก็ยังดี พอเขียนเสร็จก็เดินไปแถวๆ หน้าสถานที่หนึ่งที่พระองค์จะเสด็จ โห....ทหารเพียบ !! ทำไงล่ะ แต่งตัวมอซอขนาดนี้คงไม่ได้ยื่นหนังสือหรอก...." ดินคือดินอย่าหวังได้เห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเลย เจียมตัวบ้างไอ้เด็กข้างถนน ไม่มีใครสนใจงานแกหรอกแค่เศษดินไร้ค่า.... แกเป็นดาราหรอ ทุกคนถึงอยากสนใจแก ? " ... ประโยคเดิมๆ ผุดมาทำให้ใจสลาย ประโยคที่โดนหลายๆคนตอกย้ำทุกวัน วันนี้มันมีผลต่อจิตใจผมเหลือเกิน.......

ผมเดินกลับมาที่ป้ายรถเมล์และนั่งเงียบ คิดเจ็บใจตัวเองที่เกิดมาจน ไร้ชื่อเสียง เราทำทุกอย่างแล้วนะที่เค้าบอกว่า "นี่คือการทำเพื่อคนที่เรารัก" แล้วทำไม มันเหนื่อยจัง เงินเก็บมาทั้งชีวิตกว่า 4 ล้านบาทก็กำลังหมด .......
น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว ผู้คนที่นั่นมองอย่างแปลกใจ ผมเช็ดน้ำตาด้วยมือสองข้างนี่ล่ะ ทิชชงทิชชู่ก็ไม่มี รถเมล์คันโตเก่าๆ ฝุ่นจับทั้งคันจอดเบื้องหน้า มันคือรถที่จะพาเรากลับบ้าน

ผมลุกจากที่นั่งและก้าวเท้าขึ้น หาที่นั่งติดกระจกรถ คิดในใจว่า....กลับบ้านเถอะว่ะ หมดแล้วล่ะ หมดหวัง ทำดีมันยากจัง รถก็เคลื่อนตัวช้าๆผ่านสถานที่ ที่เจ้าหญิงสยามจะเสด็จ ผมชะเง้อมองหน้าติดกระจก มองออกไปเห็นพรมสีแดง เห็นทหาร เห็นผู้คนอยู่ภายในรั้วที่แน่นหนา แต่งด้วยชุดสวยๆ ผมคิดว่าถ้าเราได้ยืนตรงนั้นรับเสด็จสักครั้งคงดี เกิดมายังไม่เคยเห็น เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินเลย......

น้องๆลงไหน !! ..... ฝันสลายชั่ววูบ กลับสู่ความจริง หันมาจ่ายตังให้พี่กระเป๋ารถเมล์พร้อมน้ำตา พี่แกมองเราคงแล้วคงงง ว่าร้องไห้ทำไม.....แกบอกไม่เก็บนั่งไปเถอะหนู......(ดูเศร้าจังชีวิตเรา .... ขอบคุณพี่ผ่านบทความนี้ด้วยนะครับ )

รถเคลื่อนตัวไปได้สักพัก ผมหยิบแบ๊งค์50 ที่มีภาพในหลวงเตรียมใส่กระเป๋าตัง ผมมอง มองที่ภาพในหลวง น้ำใสๆ มันไหลหยุดตกลงบนธนบัตรใบนั้น......ผมขอโทษครับในหลวงผมมันไม่เอาไหน ผมขอโทษครับ ผมทำไม่ได้ ผมจับแบ๊งค์ 50 กุมในมือแน่นและเอามาวางไว้แนบอก น้ำตาก็ไหล ผมเกลียดตัวเองจัง ทำไมทำไม่ได้ ใจไม่กล้าพอ ในหลวงเหนื่อยมาเยอะแล้วนะ .... ต้องมีสักคนซิที่จะนำผู้คนบอกว่า "รักในหลวงนะครับ รักจริงๆนะจากใจ ".......

พอเลิกดราม่าผมเตรียมเก็บแบ๊ง 50 ใส่กระเป๋าตังและแล้วสิ่งที่สะดุดตาผมคือ "ภาพพระชัยเหนือสมุทรถือบ่วงนาคบาศก์" ผมมอง...นิ่ง...นาน... ผมปาดน้ำตาและคิดว่า เรามีพระชัยนี่น่า มีพระชัยก็มีชัยแล้วแถมยังมาจากมวลสาร 510 ปี จากหลวงพระบางคงไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ไปกว่านี้แล้วหล่ะ และทำไมเราลืมไปว่า "ศรัทธา และความเชื่อ" เท่านั้นจะทำให้เกิดความสำเร็จได้ ผมรักพระเทพฯ รักในหลวง และทำไมผมถึงลืมและไม่เชื่อมั่นในตัวของพระองค์ท่านล่ะ......

พี่ๆ โทษนะครับจอดตรงนี้ได้ไหม ..ผมตะโกนเสียงดังลั่นที่สะอึกสะอื้น !! เสียงไม่เป็นจังหวะ ฟังไม่รู้เรื่องแต่รถก็จอด .....

ประตูเปิด แสงสว่างนอกรถคืออนาคตของผม.... หากผมไม่วิ่งหาอนาคตแล้วจะมีชีวิตไปทำไม ผมก้าวเท้าลงและวิ่งกลับมาที่สมเด็จพระเทพฯจะเสด็จ วิ่ง วิ่ง วิ่ง พร้อมปาดน้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้าง พร้อมพูดกับตัวเองว่า อย่าเพิ่งนะ อย่าเพิ่ง ท่านอย่าเพิ่งถึงนะครับ ได้โปรด ให้ผมได้ส่ง จดหมายก่อน ให้ผมนั่งหน้าประตูเหล็กกราบท่านและยื่นผ่านรั้วก็ได้ ....อย่าเพิ่งนะ ....อย่าเพิ่งถึงนะครับท่าน ... ฮื้อๆ ....รอผมก่อนครับ.....ฮื้อๆ......ผมพร่ำประโยคซ้ำๆ ตลอดทาง...........

ถึงแล้วซินะ หน้าประตูบานใหญ่ ผมจัดการตัวเองให้ดูดีหน่อย หายมอมแมม (แต่ก็ไม่ได้ดูดีอะไรขึ้นมากมายนัก ) หอบแฮ๊กๆ เหนื่อยมากมายเหลือเกิน ผมยกมือขอพรพระชัยเหนือสมุทร บ่วงนาคบาศก์ พระแก้วมรกต พระบาง พระม่าน พระแก้ววังหน้า พระพิฆเนศ ฯลฯ เรียกว่าขอทุกสิ่งอย่าง ขอผมเถอะให้ผมได้ส่งจดหมายได้เถอะนะครับ.....ได้โปรด

คุณเชื่อเรื่องปาฎิหาริย์ไหม ??

ประตูที่เมื่อ 15 นาทีก่อนปิดสนิทได้เปิดออกแล้วและมีรถ มีผู้คนแต่งตัวสวยๆเดินเข้าไป มีทหาร ตำรวจมากมาย ผมยิ้มด้วยความหวังที่เต็มไปทั้งหัวใจ ผมสูดลมหายใจลึกสุดๆและ......เดินเข้าไปในนั้น ใจก็หวั่นหากทหารเรียกก็ฝากจดหมายพี่เค้าแล้วกัน หากจะโดนจับขังคุกก็ยอม ถือว่าเราทำดีสุดแล้ว.....
ผมเดินหลับตานึกถึงพระชัย ฯพระยานาค คิดๆ คิดทุกอย่างขอให้รอด ขอให้รอดนะ .....

ไม่มีใครเรียกเราสักคน มีคนบอกเราว่านั่งรอตรงนี้ ผมก็นั่งรอ สักพัก ประตูถูกปิด ผมอยู่ข้างในแล้ว ผมจะเห็นสมเด็จพระเทพฯหรือนี่....ผมฝันไปหรอ !! สักพักเหล่าทหารบอกให้เราไปยืนรอรับเสด็จเป็นแถวๆ ผมอยู่ด้านหลังครับแถว3เลย ไม่นาน รถคันใหญ่ก็เข้ามาในสถานที่นี้ รถสีครีมขาวหยุดหน้าพรมสีแดง สักพักประตูรถเปิดออก ภาพที่ผมเห็นคือ "สมเด็จพระเทพฯ" ท่านลงจากรถโดยไม่ต้องให้ใครมาเปิดประตูให้....ท่านเปิดเอง ลงมาเอง
อยู่ๆน้ำตามันก็ไหล ผมเข้าใจแล้วในทีวีที่เค้ารับเสด็จและร้องไห้กัน เค้ารู้สึกอย่างไร ผมน้ำตาไหลและคิดในใจว่า......"พระองค์ท่านไม่ต้องมาก็ได้นะครับ ไม่ต้องมาเปิดงาน ไม่ต้องมาช่วยผมหรอกครับ......."

เพราะผู้หญิงที่อยู่ด้านหน้าผมนั้นท่านดูใจดี มีรอยยิ้ม ดูมีอายุ และยื่นมือรับพวงมาลัยพร้อมคุยกับทุกคนเป็นกันเองมากๆ ท่านอายุมากแล้ว แต่งตัวเรียบๆ เครื่องประดับมีเพียงกำไลข้อมือ 1 ชิ้น เส้นผมของท่านมีสีขาวแซม ใบหน้าที่เป็นธรรมชาติไร้การแต่งแต้มจากเครื่องสำอางใดๆ อีกมือถือสมุดไว้แน่นและปากกาด้วยนะครับเหมือนในทีวีเลยล่ะ.....

ภายใต้รอยยิ้มและความใจดีนั้น แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้าเหนื่อยมากๆ แน่นอนล่ะท่านทำงานทุกวัน ผมจะไม่เพิ่มงานให้ท่านอีก.... ผมคิดในใจ ถ้าเรารักท่านอย่าทำให้ท่านเหนื่อยอีก แค่บอกท่านก็พอว่ามีคนธรรมดาๆ ประชาชนของท่านที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จนๆ คนนึงนะที่รักในหลวงและพระองค์ท่านมากๆ และไม่ใช่แค่พูดว่า "ฉันรัก" แต่เรา"กำลังทำ" ด้วยแค่นั้นก็พอ...แค่ได้มาเห็นท่านก็บุญหัวแล้วเรา.....ทุกท่านว่าจริงไหม ?

ท่านกำลังเดินเข้าไปในอาคาร จู่ๆ ท่านก็หันกลับและเดินมาทักทายทุกคน รวมถึงผม ที่อยู่แถวหลังสุด พระองค์เดินตามรอยในหลวงจริงๆ "พระองค์ไม่เคยมองข้ามประชาชนแม้แต่คนเดียว" นี่ล่ะผมถึงรักพระองค์มากและไม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจลงจากรถและวิ่งมาพร้อมน้ำตา........ผมไม่ใช่ดินสำหรับพระองค์ท่าน ผมคือประชาชน ผมคือคนไทยในสายตาพระองค์ ซึ่งผิดกับที่หลายๆหน่วยงานมองและดูถูกเหยีดหยามมนุษย์ด้วยกัน........

พระองค์เดินมาอยู่ข้างหน้าผม ใจมันเต้น เต้น เต้นแรงมากๆผมจะทำไงถ้าท่านคุยกับผม ? ผมจะตอบอย่างไร ต้องกราบก่อนไหม ? หรือต้องไหว้ก่อน ? ยืน หรือนั่งพับเพียบ ? ฯลฯ และต้องทำมือพลิกไปมาตอนยื่นหนังสืออย่างไง ผมทำไม่ถูก สมองแทบระเบิด คิด คิด คิด คิดแค่ว่าผมจะยื่นหนังสืออย่างไรดูจากทีวีต้องมีพานรองและต้องแต่งตัวสวยๆ ถึงจะถวายได้ ทำไงดีผมคิดในใจ ? หากยื่นไปแบบนี้ติดคุกล่ะ ?.... ยอมรับว่าตื่นเต้นและเครียด พยามตั้งสติและคืดว่า.....ช่างปะไรในเมื่อรักก็ต้องบอกท่าน ผมต้องบอกท่าน..... ความรักมาจากหัวใจหาใช่สมอง

สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ผมได้เดินก้าวออกไปข้างหน้าจากแถว 3 หลังสุดไป ด้านหน้าสุด ทุกคนในบริเวณนั้นเงียบกริ๊บ ทุกสายตาจ้องมอง ผมเดินมาใกล้ท่านแล้วผมคุกเข่าต่อหน้าพระองค์ท่าน ยกมือไหว้ ท่านหยุดและมองลงมาที่ผมพร้อมรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก ผมยิ้มให้พระองค์ท่าน ผมไม่รู้ว่าผิดหรือถูกที่มองหน้าพระองค์ท่าน แต่ผมเรียนมาน้อย ไม่เคยเห็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนี่น่า....พูดอย่างไม่อายเลย ก็เรารักท่าน อยากเห็นท่านนี่เนอะ จะทำไงได้ฝึกมารยาทอะไรคงไม่ทันแล้ว ผมทำทุกอย่างจากใจหมด จากความรักที่มีต่อพระองค์ท่าน และผมก็ได้ยื่นซองใส่จดหมายส่งให้พระองค์ท่าน......

พระองค์ทรงถามว่า .... "คืออะไรหรือ".....
ถ้อยคำสั้นๆแต่มีอำนาจและพลังมากๆครับเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดและสุขที่สุดเท่าที่ผมได้ยินมาทั้งชีวิต เหมือนเสียงท่านในทีวีแต่ไพเราะกว่า

ผมตอบพระองค์ว่า ... "ในซองนี้คือชีวิตทั้งชีวิตของกระผมที่ผมจะทำให้ในหลวงครับ "

พระองค์ท่านยิ้ม หยุดมองมาที่ผม สายตาของพระองค์ท่านนั้นดูมีความสุขแฝงอยู่ จากนั้นพระองค์ท่านก็ทรงยื่นมือมารับจดหมายจากมือของผมไป อย่างไม่ทรงถือพระองค์เลยพร้อมบอกว่า "ขอบใจมาก...." คำสั้นๆที่เปล่งออกมาพร้อมรอยยิ้ม นี่ซินะที่เค้าเรียกว่าเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ถึงทำให้เรารู้สึกได้แบบนี้

จากนั้นพระองค์ก็ทักทายคนอื่นต่อผมได้ลุกขึ้นเดินกลับไปยืนที่เดิม มองท่านเดินเข้าอาคารไปด้วยน้ำตาที่มันไหลอย่างไม่รู้ตัวและยกมือท่วมหัวบอกว่า......
" ทรงพระเจริญนะครับท่าน "
พร้อมได้ถ่ายภาพพระองค์ไว้

และผมก็สัญญากับตัวเองพร้อมพูดเบาๆกับตัวและหัวใจตัวเอง ว่า พระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ผมจะไม่มีวันลืม ผมจะไม่ท้อ ถึงล้มผมจะรีบลุก ผมจะทำให้สำเร็จ ถึงแม้จะไม่มีใครช่วยผมก็ตาม และที่สำคัญผมขอมอบชีวิตให้พระองค์ได้เลยครับจากนาทีนี้ไป....

จากวันนั้นผมเริ่มออกเดินทางไปหลวงพระบาง ไปเรียนลงรักปิดทองจากช่างหลวงคนสุดท้าย ทั้งๆที่ไม่มีความรู้อะไรเลยและทำทุกพิธีที่เสริมสิริมงคลให้ราชวงศ์ได้ เริ่มทำงานศิลปะ เริ่มทำทุกอย่าง ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ถึงจะไม่เคยทำ ผมทนยืนตากฝน 2-3 ชม. เพื่อขอนำขันเทพไปถวายหอพระบางเพื่อขอพรให้ในหลวงหายป่วย ผมยืนหนาวสั่นกับอากาศ 5 องศา จนเลือดกำเดาไหล ทางเจ้าหน้าที่ถึงเห็นใจและยอมให้ผมนำขันเทพไปขอพรให้ในหลวงและนำกลับมาทำมวลสารพระชัยเหนือสมุทรและผสมงานปั้น ส่วนนึงนำมาผสมทำน้ำปรุงโบราณ "มหารัญจวน" ผมถึงบอกว่า "รักษาสิ่งที่ผมทำให้ดี " พระชัยเหนือสมุทร และบ่วงนาคบาศก์ หรือแม้แต่น้ำปรุง เพราะสิ่งเหล่่านี้สร้างจากหัวใจแลกด้วยชีวิตของผม ผมจะทำ ทำ ทำไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะยังไม่มีที่จัดแสดงก็ตาม......

ตอนนี้สื่งที่ผมทำได้คงได้แค่รอสถานที่จัดงาน ระหว่างรอผมก็ตอบแทนน้ำใจชาวหลวงพระบางด้วยการซ่อมฐานพระ และหาผู้ร่วมบุญบริจาคแผ่นทองคำเปลว ด้วยเดินทางไปกลับ แทบทุกเดือน ไปสร้างพระชัยเหนือสมุทร และบ่วงนาคบาศก์ เพื่อนำเงินไปทำบุญตอบแทนบารมีพระชัยเหนือสมุทรและชาวหลวงพระบาง คงไว้ซึ่งศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป ผมจะทำงานนี้ 3 ครั้ง เพื่อประกาศก้องให้โลกรู้ว่า " มีศรัทธา มีความหวัง มีความรัก ปลายทางแห่งความสำเร็จรออยู่ข้างหน้าแน่นอน "

และที่สำคัญ เป็นการแสดงออกถึงคำว่า " ฉันรักในหลวง " ด้วยการลงมือทำ ไม่ใช่แค่พูด หรือติดป้ายไว้หน้าหน่วยงาน นั่นไม่ใช่ความรักหากแต่เป็นหน้าที่ ที่ทำเพื่อหน้าเพื่อตาให้สังคมรู้ มิใช่เพื่อให้ในหลวง แต่เพื่อตัวเอง

"ความรักมาจากหัวใจ หาใช่จากวัตถุ"

"เมื่อพระเทพสถิตใน.......
ขอให้ปวงภัย จงหลบเลี่ยงไปให้พ้น
ด้วยแรงบุญญา ด้วยพรจากฟ้าเบื้องบน
โปรดบันดาลดล ให้พระองค์ทรงพระเจริญ "



ขอพระองค์ทรงพระเจริญ
"ข้าพเจ้า จักยอมตาย เพื่อดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า"

จากหัวใจ : สิริเดชะกุลและคนไทยทั่วโลก
fb: นิทรรศการพลังแผ่นดิน
อัศจรรย์งานศิลป์ แผ่นดินสยาม
(เพจเล็กๆ บอกรักพ่อผ่านงานศิลป์ที่ไร้การสนับสนุนจากทุกหน่วยงานแต่ได้"พลังใจจากประชาชนด้วยกันเอง ..... "
ร่วมบอกรักพ่อผ่านงานศิลป์ และตำนานความเป็นไทยด้วยกันครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.047 วินาที กับ 19 คำสั่ง