siamese
|
ความคิดเห็นที่ 195 เมื่อ 04 ก.ย. 12, 13:37
|
|
ด้วยความขอบคุณคุณพี่สมชัยฯ ที่ช่วยอนุเคราะห์บอกสถานที่ให้ จึงดั้นด้นไปถ่ายทำไว้เป็นที่ระลึก
เอ้า .. อยู่ถัดบ้านคุณพี่ไปนิดเดียวเอง ... วัดปทุมคงคา เขตสัมพันธวงศ์
หลงคิดว่าเป็นถนนตรีเพชร ด้วยมีเจดีย์เหมือนกันเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 196 เมื่อ 04 ก.ย. 12, 16:59
|
|
เจ้านายน้อยๆพระองค์นี้น่ารักน่าเอ็นดู ไม่รู้ว่าพระองค์ไหน ภาพโดย Wilhelm Birger
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 197 เมื่อ 04 ก.ย. 12, 19:36
|
|
คือชื่อกรมทหารนั้นมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายครั้งครับ กรมทหารราบที่ ๑๑ นั้น เดมเรียกว่า กรมทหารล้อมวัง แล้วเปลี่ยนมาเป็นกรมทหารบกราบที่ ๒ เมื่อจัดระเบียบเป็น ๑๐ กองพลในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อต้นรัชกาลที่ ๖ เปลี่ยนเป็นกรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ พอยุบรวมกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวงกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ ๗ มีการเปลี่ยนชื่อเป็นอะไรจำไม่ได้ครับ ครั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว มีการแปรสภาพกรมทหารอีกครั้งโดยยุบกองพล และกรมทิ้งไปหมด คงเหลือแต่หน่วยระดับกองพัน ตอนนี้ละครับที่ชื่อหน่วยเปลี่ยนเป็นกองพันอะไรต่อมิอะไรวุ่นวายไปหมด กรมทหารรักษาวัง ว.ป.ร. ก็ถูกแปรสภาพมาเป็น ร.พัน ๙ ในคราวนี้
ถึงสงครามอินโดจีนมีปัญหาในการสนธิกำลังเข้าปฏิบัติการสนาม จึงมีการตั้งกองพลและกลับขึ้นมาใหม่ และหน่วยที่ย้ายไปจากท่าพระจันทร์ไปอยู่ที่บางเขนก็กลับได้ชื่อว่า กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์ ตามประวัติศาสตร์ของหน่วยครับ ส่วนกองพันทหารราบที่ ๑ ที่สวนเจ้าเชตุที่เดิมเคยเป็นกองพันที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร. ก็กลับคืนสถานภาพเดิม ส่วน ร.พัน ๙ ก็กลายมาเป็นกองพันที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ จ.ป.ร. ด้วยประการฉะนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 198 เมื่อ 06 ก.ย. 12, 11:50
|
|
เจ้านายน้อยๆพระองค์นี้น่ารักน่าเอ็นดู ไม่รู้ว่าพระองค์ไหน ภาพโดย Wilhelm Birger
พระองค์เจ้านารีรัตนา ครับผม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 199 เมื่อ 06 ก.ย. 12, 12:10
|
|
คำตอบจากคุณหนุ่มจินนี่ ณ ตะเกียงวิเศษทำให้ต้องรีบไปค้นพระประวัติพระองค์เจ้านารีรัตนามาอ่าน
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้านารีรัตนา ประสูติเมื่อวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2404 สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2468 พระชันษา 65 ปี เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาดวงคำ ซึ่งเป็นหลานปู่ของ เจ้าอนุวงศ์ ผู้ครองนครเวียงจันทน์ แต่เป็นหลานตาของ เจ้าอุปราชด้วย เมื่อเจ้าอนุฯ ก่อการวุ่นวายขึ้นในรัชกาลที่ 3 เจ้าอุปราชไม่ได้ร่วมด้วย ได้พาครอบครัวเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เจ้าจอมมารดาดวงคำจึงเกิดที่กรุงเทพฯ พระองค์เจ้านารีรัตนา สิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 6 พ.ศ. 2468 พอดีสิ้นรัชกาล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 200 เมื่อ 06 ก.ย. 12, 12:12
|
|
ขออีกภาพเถอะค่ะ คุณหนุ่มสยาม พระรูปนี้ มีคำอธิบายว่าเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ใช่ท่านไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 201 เมื่อ 06 ก.ย. 12, 13:33
|
|
ขออีกภาพเถอะค่ะ คุณหนุ่มสยาม พระรูปนี้ มีคำอธิบายว่าเป็นพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ใช่ท่านไหมคะ
ถูกต้องครับเป็นภาพพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33584
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 202 เมื่อ 07 ก.ย. 12, 14:18
|
|
ขอบคุณค่ะ ตอนทรงพระเยาว์ น่ารักมาก ดูฉลาดเฉลียว พระบุคลิกภาพมีสง่าราศีผิดกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน
มีอีกรูปมาถามค่ะ อยากทราบว่าวัดพระเชตุพนหรือเปล่าคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 203 เมื่อ 07 ก.ย. 12, 16:16
|
|
มีอีกรูปมาถามค่ะ อยากทราบว่าวัดพระเชตุพนหรือเปล่าคะ
ภาพถ่ายจากวัดอรุณราชวรารามไปยังท่าเตียน เห็นวัดพระเชตุพนฯ และชุมชนท่าเตียน ใน่วนของวัดจะเห็นการก่อสร้างพระเจดีย์ประจำรัชกาลที่ ๔ ยังคงก่อสร้างไม่เสร็จ ด้านหน้าเห็นประตูเมืองสามเหลี่ยมสีขาวสะอาดตา ซึ่งเป็นการดัดแปลงประตูเมืองจากประตูไม้ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นประตูเมืองแบบมีหอรบในสมัยรัชกาลที่ ๓ ถัดกำแพงเมืองไปทางขวามือเราจะเห็นหลังคาป้อมพระนคร "ภูผาสุทัศน์" ด้านหน้าเป็นย่านชุมชนท่าเตียนซึ่งพัฒนาเป็นตลาดท่าเตียนในปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
konkao
|
ความคิดเห็นที่ 204 เมื่อ 28 ก.ย. 12, 21:40
|
|
ภาพนี้ใช่ ขุนฉายาสาทิศกร หรือเปล่าครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
art47
|
ความคิดเห็นที่ 205 เมื่อ 28 ก.ย. 12, 21:47
|
|
คงไม่ใช่ สวมชุดครุย น่าจะเป็นผู้พิพากษามากกว่า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
konkao
|
ความคิดเห็นที่ 206 เมื่อ 28 ก.ย. 12, 21:53
|
|
คงไม่ใช่ สวมชุดครุย น่าจะเป็นผู้พิพากษามากกว่า ขอบคุณครับพี่หน้าแตกเลยเรา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 207 เมื่อ 29 ก.ย. 12, 20:52
|
|
น่าจะเป็น ๑ ใน ๒๘ ตุลาการที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ โปรดให้จำหลักชื่อไว้ปลายพระแท่นในคราวคดีพญาระกา ซึ่งในชั้นนี้พอจะตัดออกไปได้ ๑ รายคือ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) คงเหลืออีก ๒๗ รายที่จะต้องลองค้นกันดู ที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น ๑ ใน ๒๗ ตุลาการที่ไม่รวมเจ้าพระยามหิธรนั้น เพราะเสื้อครุยที่ท่านสวมเป็นเสื้อครุยดำแบบ ตะวันตกที่เสด็จในกรมราชบุรีฯ ทรงนำมาให้ศิษย์ในพระองค์ที่สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยามตามหลักสูตรที่ทรงจัดแล้ว เมื่อทรงพ้นจากตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมพระองค์ใหม่ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริแบบ เสื้อครุยเนติบัณฑิตให้ใหม่ จากนั้นจึงได้ทรงพระราชดำริเสื้อครุยเนติบัณฑิตให้ใหม่เป็นเสื้อครุยแบบไทย ซึ่งต่อมาได้ เป็นต้นแบบของเสื้อครุยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งใช้กันมาถึงปัจจุบัน ส่วนเสื้อครุยดำนั้นก็เลิกใช้ไป
จนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วท่านว่ากันว่า (ไม่ทราบว่าท่านไหน) เสื้อครุยอย่างแบบไทยนั้นไม่ทน เพราะเป็นผ้าโปร่ง การที่สวมบ่อยๆ ทำให้ขาดง่าย ท่านเลยเปลี่ยนมาเป็นครุยดำแบบฝรั่งเศส แล้วเอาแถบสำรดที่ขอบเสื้อครุยแบบไทยนั้น ไปทำเป็นผ้าพาดบ่าแทน แต่เหตุผลจริงๆ น่าจะเป็นเพราะเสื้อครุยแบบไทยนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นของพระราชทาน พอถึงรัชกาลที่ ๗ ผู้ที่สอบไล่ได้ต้องตัดเอง แล้วแถบทองที่สำรดริมขอบเสื้อครุยนั้นเป็นแถบดิ้นทองแท้ ราคาเสื้อครุย ต่อตัวจึงค่อนข้างสูง กอปรกับเวลานั้นมีการตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมาแล้ว และธรรมศาสตร์บัณฑิต จาก มธฏ.นั้นท่านให้ใช้เสื้อครุยดำแบบฝรั่งเศส เมื่อสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตก็เพียงแต่เปลี่ยนผ้าพาดบ่าอันทำให้ประหยัด ไปได้หลายเงินทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
konkao
|
ความคิดเห็นที่ 208 เมื่อ 30 ก.ย. 12, 07:15
|
|
น่าจะเป็น ๑ ใน ๒๘ ตุลาการที่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ โปรดให้จำหลักชื่อไว้ปลายพระแท่นในคราวคดีพญาระกา ซึ่งในชั้นนี้พอจะตัดออกไปได้ ๑ รายคือ เจ้าพระยามหิธร (ลออ ไกรฤกษ์) คงเหลืออีก ๒๗ รายที่จะต้องลองค้นกันดู ที่สามารถยืนยันได้ว่าเป็น ๑ ใน ๒๗ ตุลาการที่ไม่รวมเจ้าพระยามหิธรนั้น เพราะเสื้อครุยที่ท่านสวมเป็นเสื้อครุยดำแบบ ตะวันตกที่เสด็จในกรมราชบุรีฯ ทรงนำมาให้ศิษย์ในพระองค์ที่สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตสยามตามหลักสูตรที่ทรงจัดแล้ว เมื่อทรงพ้นจากตำแหน่งเสนาบดียุติธรรมในตอนปลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร เสนาบดีกระทรวงยุติธรรมพระองค์ใหม่ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานให้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชดำริแบบ เสื้อครุยเนติบัณฑิตให้ใหม่ จากนั้นจึงได้ทรงพระราชดำริเสื้อครุยเนติบัณฑิตให้ใหม่เป็นเสื้อครุยแบบไทย ซึ่งต่อมาได้ เป็นต้นแบบของเสื้อครุยจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งใช้กันมาถึงปัจจุบัน ส่วนเสื้อครุยดำนั้นก็เลิกใช้ไป
จนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วท่านว่ากันว่า (ไม่ทราบว่าท่านไหน) เสื้อครุยอย่างแบบไทยนั้นไม่ทน เพราะเป็นผ้าโปร่ง การที่สวมบ่อยๆ ทำให้ขาดง่าย ท่านเลยเปลี่ยนมาเป็นครุยดำแบบฝรั่งเศส แล้วเอาแถบสำรดที่ขอบเสื้อครุยแบบไทยนั้น ไปทำเป็นผ้าพาดบ่าแทน แต่เหตุผลจริงๆ น่าจะเป็นเพราะเสื้อครุยแบบไทยนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นของพระราชทาน พอถึงรัชกาลที่ ๗ ผู้ที่สอบไล่ได้ต้องตัดเอง แล้วแถบทองที่สำรดริมขอบเสื้อครุยนั้นเป็นแถบดิ้นทองแท้ ราคาเสื้อครุย ต่อตัวจึงค่อนข้างสูง กอปรกับเวลานั้นมีการตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นมาแล้ว และธรรมศาสตร์บัณฑิต จาก มธฏ.นั้นท่านให้ใช้เสื้อครุยดำแบบฝรั่งเศส เมื่อสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตก็เพียงแต่เปลี่ยนผ้าพาดบ่าอันทำให้ประหยัด ไปได้หลายเงินทีเดียว
ขอบคุณครับพี่สุดยอดจริงๆ มีอีกสองสามภาพถามต่อเลยนะพี่และพี่ๆทุกคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
konkao
|
ความคิดเห็นที่ 209 เมื่อ 30 ก.ย. 12, 07:20
|
|
เขาเป็นใครกัน ---------------------------------------------------------------------------------------------- ด้านหลังรูปเป็นทรงชาติช้างภาพด้านหน้าโดนน้ำเสียไปล้วครึ่งเสียดายมากครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|