เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 36012 ช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับ วังลักษมีวิลาศ หน่อยครับ
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 17:23

บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 17:24

บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 17:25

ขออภัยรูปใหญ่ไปหน่อย  ย่อรูปไม่เป็นน่ะค่ะ   อายจัง
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 18:01

บอกได้อย่างหนึ่ง บ้าน หรือคฤหาสน์ของเจ้าจอมมารดาเลื่อนหลังนี้ ใหญ่โตรโหฐารกว่าวังพระองค์เจ้าลักษณมีฯมากอย่างเทียบกันมิได้ ที่เรียกว่าวังนั้น ความจริงคือบ้านสองชั้นที่ดูสมถะ แต่ร่มรื่นน่าอยู่เมื่อมองเข้าไป เหมาะเป็นที่ปลีกวิเวกขององค์ผู้เจ้าของมาก
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 18:27

เจ้าจอมเลื่อน สกุลเดิมพหลโยธิน หรือเปล่าคะ
บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 19:07

ประวัติเจ้าจอมเลื่อน จากวิกิพีเดียค่ะ

เจ้าจอมมารดาเลื่อน ในรัชกาลที่ 5 สกุลเดิม นิยะวานนท์ เกิดเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2418 ที่บ้านบางขุนพรหมในพระนคร เป็นบุตรีของพระนรินทราภรณ์ ( ลอย นิยะวานนท์ ) กับ ปริก โดยปู่ของท่านเป็นน้องชายของเจ้าจอมมารดาอำพา ในรัชกาลที่ 2 ( พระมารดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นภูบาลบริรักษ์ ต้นราชสกุลกปิตถา และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนวรจักรธรานุภาพ ต้นราชสกุลปราโมช )

เมื่อท่านอายุได้ 9 ปี ได้เข้าไปอยู่ในพระบรมมหาราชวัง กับ เจ้าจอมมิ ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นลูกของป้าท่าน แล้วจึงถวายตัวแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินินาถ แล้วได้เป็นละครหลวง ต่อมาทรงพระกรุณาให้เป็นเป็นเจ้าจอม ประสูติพระเจ้าลูกเธอรวม 2 พระองค์ คือ
• พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลวาดวรองค์
• พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช

ในส่วนของเจ้าจอมมารดาเลื่อนนั้น ท่านจะมีหน้าที่ประจำ คือ การอ่านหนังสือถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลาเข้าที่บรรทมเป็นนิจ เพราะพระองค์ทรงพระบรรทมยาก ท่านเจ้าจอมมารดาท่านมีเสียงที่ไพเราะ อ่านได้นานๆ ไม่แหบแห้ง ทั้งเป็นผู้ถูกอัธยาศัย ทรงพระกรุณามาก เมื่อต่อมาพระราชโอรสทรงได้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ก็เป็นเหตุให้ทรงยกย่องเจ้าจอมมารดาเลื่อนยิ่งขึ้น ถึงได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ และเหรียญรัตนาภรณ์ ในรัชกาลที่ 5 ชั้นที่ 2 ครั้นพระองค์เจ้าอุรุพงษ์สิ้นพระชนม์แล้ว ปลายรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมมารดาเลื่อนจึงถวายคืนพระมรดกของพระองค์เจ้าอุรุพงษ์ฯ ทั้งหมด

ถึงรัชกาลที่ 6 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชเงินปีเลี้ยงชีพเป็นพิเศษอีกปีละ 30,000 บาท นอกเหนือไปจากอัตราปกติของเจ้าจอมมารดาพระสนมเอก และได้รับพระราชทานเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 ชั้นที่ 2 อีกด้วย

ในเวลาต่อมา เจ้าจอมมารดาเลื่อน ได้กราบถวายบังคมทูลลาออกไปอยู่นอกวัง ที่บ้านถนนพระราม 5 ( โรงเรียนนันทนศึกษาในปัจจุบัน ) และดำรงชีพอยู่โดยสัมมาปฏิบัติ ต่อมาท่านได้ย้ายไปสร้างบ้านใหม่ที่ถนนเพชรบุรี ใกล้ประตูน้ำปทุมวัน แต่มีโรคเบียดเบียนในวัยชราอยู่หลายปี จนในที่สุดก็ถึงแก่อสัญกรรมลงที่บ้านถนนเพชรบุรีนี้ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490
บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 19:12

ถ้าเช่นนั้นรูปบ้านที่ดึงมาจากระบบสืบค้นของกรมศิลปากรคงเป็นเรือนของท่าน ถ. พระราม 5  ที่กลายมาเป็น รร. นันทนศึกษา แล้วล่ะค่ะ  เพราะลองไปดูประวัติของโรงเรียนก็เห็นกล่าวถึงพื้นที่ที่ ถ. พระราม 5 อยู่

...ในขณะนั้น โรงเรียนนันทนศึกษา เป็นเพียงโรงเรียนเล็กๆ ที่มีนักเรียนเพียง 76 คน และมีเรือนไม้สองชั้นเพียงหลังเดียวบนที่ดินผืนเล็กๆ หัวมุมถนนสุโขทัยที่ขอเช่าจากคุณพระสุจริตสุดา ด้วยความขยันขันแข็งและวิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนสนุกสนานกับการเรียนและกิจกรรมต่างๆ ของครูเพี้ยน ทำให้โรงเรียนเล็กๆ นี้เป็นที่นิยม จึงมีผู้ส่งบุตรหลานมาเข้าเรียนเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 300 คนใน 2 ปีถัดมา จนทำให้โรงเรียนเดิมนี้คับแคบไป

ในปี 2480 ครูเพี้ยนจึงได้ย้ายโรงเรียนมาตั้งอยู่ในที่ใหม่บนถนนพระราม 5 ในที่ดินของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีตึกสองชั้นหลังหนึ่งในอาณาบริเวณที่กว้างขวาง เหมาะสมแก่การเป็นโรงเรียน สถานที่นี้ได้กลายมาเป็นบ้านของโรงเรียนนันทนศึกษาต่อมานานถึง 70 ปี ตึกสองชั้นอันงามสง่านี้ถูกใช้เป็นตึกอำนวยการของโรงเรียน  มีห้องทำงานของครูใหญ่ ฝ่ายธุรการและการเงิน ห้องสมุด ห้องบรรยายการทดลองวิทยาศาสตร์ที่ใช้ฉายภาพยนตร์ด้วย ชั้นบนใช้เป็นห้องเรียนของชั้นเตรียมอุดม ครูเพี้ยนได้สร้างห้องเรียนเพิ่มเติมเป็นเรือนไม้สองชั้น 1 หลัง และเรือนไม้ชั้นเดียวอีก 3 หลัง เพื่อรองรับนักเรียนที่เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ขณะนั้นโรงเรียนทำการสอนตั้งแต่ชั้นเตรียมประถม ( ชั้นมูล ) จนถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา ( มัธยม 8 )...
บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 24 ก.พ. 14, 19:24

สรุปแล้วรูปบ้านใน คห. 12 - 16 ที่ดึงมาจากระบบสืบค้นของกรมศิลปากรคงไม่น่าจะใช่เรือนเจ้าจอมเลื่อน ที่ถนนเพชรบุรี ใกล้ประตูน้ำปทุมวัน  แล้วล่ะค่ะ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 25 ก.พ. 14, 08:58

พระนางเธอลักษมีลาวัณทรงมีรายได้ปีละ๒๐๐๐บาท จากเงินในฐานะพระราชวงศ์และเงินตามพระราชพินัยกรรมของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงได้รับพระราชมรดกเป็นเครื่องเพชรมูลค่านับล้านตามส่วนที่ทรงจับฉลากได้ บางส่วนทรงขายเพื่อนำเงินมาตกแต่งพระตำหนักลักษมีวิลาส
ในบั้นปลายของพระชนม์ชีพ ทรงดำรงพระชนม์อย่างโดดเดี่ยวตามลำพังปราศจากผู้รับใช้ใกล้ชิด ดังจะเห็นได้จากพระนิพนธ์ที่ทรงเขียนโต้ข่าวลือทั้งหลายว่า


     ตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่เปลี่ยวเปล่า ไม่มีบ่าวโจษจันฉันกริ้วแหว
     ขืนมีบ่าวเข้ามามันตอแย           ยั่วยุแหย่ยุ่งขโมยโอยรำคาญ
     บ้างเข้ามาทำท่าเป็นบ้างั่ง           เรียกจะสั่งทำใดไม่ขอขาน
     สั่งอย่างโง้นทำอย่างงี้เลี่ยงลี้งาน     ใช่ฉันพาลเป็นอย่างนี้ทุกวี่วัน


ดังนั้น ที่พระองค์ทรงเลือกอยู่ตัวคนเดียวนั้น หาใช่ว่าทรงตรอมตรมพระทัยจนเพี้ยนไปไม่ แต่คงจะเป็นเพราะว่าในดวงพระชะตา คงจะเสียเรื่องบริวารเป็นอย่างแรง
วาระสุดท้ายของพระองค์ก็เนื่องมาจากบริวารเป็นพิษนั่นแล คนสวนที่มาใหม่ๆจากบ้านนอกเล่นทีเผลอในเวลาที่พระองค์ประทับนั่งถอนหญ้าพรวนดินแปลงดอกไม้ ใช้เสียมตีพระศอของพระองค์ทางด้านหลัง แล้วจึงขึ้นไปรื้อค้นพระตำหนักเพื่อขโมยเครื่องเพชรและหนีไป มีผู้มาพบพระศพอยู่ข้างพระตำหนักในวันสองวันต่อมา ตัวคนร้ายนั้นตำรวจตามไปสืบจับได้พร้อมของกลางและสารภาพว่า เหตุที่กระทำไปเช่นนั้นเพราะถูกดุด่าจนหน้ามืด บรรลุแก่โทษะถึงกับทำร้ายพระองค์ เมื่อกระทำลงไปแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ขึ้นไปค้นหาเครื่องเพชรที่เขาร่ำลือแล้วก็ขโมยไปเสียเลย แต่เนื่องจากไม่ใช่มืออาชีพ เซอะชะไปขายต่อให้สายของตำรวจเข้า จึงถูกจับอย่างง่ายดาย ผมจำได้อ่านหนังสือพิมพ์เจอว่าสุดท้ายคนร้ายถูกศาลลงโทษจำคุกยาว ไม่ถึงกับประหารชีวิตเพราะไม่ได้เตรียมการจะฆ่ามาก่อน
 
จริงๆแล้วหมอนี่คงไม่ได้ตายในคุก แต่ได้รับพระราชทานอภัยโทษให้หลุดออกมาเมื่อไหร่ ตรงนั้นไม่มีข่าว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 25 ก.พ. 14, 09:34

คุณ V_Mee เคยให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้ว่า

"คนร้ายในคดีนี้มีสองคน ชื่อ นายแสง หรือ เสงี่ยม หอมจันทร์ ที่ 1 และ นายวิรัช หรือ เจริญ กาญจนาภัย ที่ 2
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2504 พร้อมของกลาง คือ ตราจักรีประดับเพชร์ 1 องค์ ราคา 13,000 บาท พระสังวาลย์จักรี 1 สาย ราคา 15,000 บาท เหรียญบรมราชาภิเษกทองคำ 1 เหรียญ ราคา 5,000 บาท
จำเลยที่ 2 ถูกจับที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2504 พร้อมของกลางคือ ดวงตรามหาจักรีประดับเพชร 1 องค์ ราคา 17,000 บาท ดาราปฐมจุลจอมเกล้าประดับเพชร 1 องค์ ราคา 7,000 บาท ดวงตราปฐมจุลจอมเกล้าประดับเพชร 1 องค์ ราคา 900 บาท เหรียญเฉลิมพระนคร 150 ปี กาไหล่เงิน ราคา 40 บาท ตราวัลลภาภรณ์ ราคา 80 บาท และพระแสงปืนออโตเมติค ขนาด 6.35 พร้อมกระสุน 6 นัด ราคา 1,030 บาท
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จำเลยที่ 1 และ 2 รับว่า ได้ใช้สันขวานและชะแลงทุบที่พระเศียรจน พนะนลาฎเหนือพระขนงมีบาดแผลฉกรรจ์ พระกรรณข้างขวาส่วนบนฉีกขาด
อัยการศาลทหารฯ ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลทหารกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2504 ใช้เวลาสืบพยานอยู่เกือบ 3 เดือน จึงมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2505 ว่า "ศาลได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเลย คงมีแต่พยานแวดล้อมกรณี ซึ่งถ้าไม่ได้อาศัยคำรับสารภาพของจำเลยมาก่อนแล้ว จะทำให้คดีนี้ยุ่งยากมาก ส่วนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำการลอบปลงพระชนม์พระนางเธอฯ โดยไตรตรองไว้ก่อนนั้น โจทก็ก็นำสืบไม่ได้ แต่การที่จำเลยทั้งสองใช้ชะแลงเหล็ก และสันขวานทุบตีพระนางเธอฯ โดยพระนางเธอฯ ทรงเป็นหญิงไม่มีโอกาสต่อสู้ป้องกันตัวได้ ทั้งทรงกำลังเผลออยู่ ข้อนี้ศาลเห็นว่า เป็นการกระทำที่ทารุณโหดร้ายเป็นอันมาก และการฆ่าก็จะเป็นความสะดวกในการที่ลักทรัพย์ของพระนางเธอฯ เป็นการกระทำของ "ผู้ร้ายอำมหิตหินชาติ" และการกระทำต่อพระนางเธอฯ ซึ่งเป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ชั้นพระองค์เจ้า สมควรที่สองจำเลยต้องได้รับโทษอุกฤษฏ์ เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสอง... แต่โดยที่คำสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์ในการพิจารณาตลอดมาเป็นอย่างมาก จึงลดโทษให้หนึ่งในสาม คงให้จำคุกสองจำเลยไว้ตลอดชีวิต คดีนี้ถึงที่สุดแล้ว"
เนื่องจากช่วงเวลานั้นอยู่ในระหว่างประกาศกฎอัยการศึก คดีจึงเป็นที่สุดไม่มีการอุทธรณ์ หรือ ฎีกาต่อไป และไม่ปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งสองต้องรับโทษอยู่กี่ปี แต่คาดว่าคงไม่ถึงตลอดชีวิต "
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 25 ก.พ. 14, 09:40

 ยังจำข่าวที่ลงครึกโครมในตอนนั้นได้ว่า  คนร้ายสารภาพว่า แยกไม่ออกระหว่างเครื่องเพชรกับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ คิดว่าเครื่องราชฯประดับเพชรเป็นของมีราคา  จึงขโมยเอาไปขาย ก็เลยถูกจับได้      สาเหตุคือเห็นเจ้านายเป็นหญิงชราอยู่ตามลำพัง  จึงคิดฆ่าเพื่อหวังชิงทรัพย์   อาวุธก็ไม่มี  ใช้ชะแลงเอาง่ายๆนั่นเอง

พระนางเธอฯเองก็ทรงระวังพระองค์    ทรงมีปืนพกประจำพระองค์   ในวันที่ทำสวน ทรงมีปืนใส่หีบเล็กๆวางอยู่ด้วย  แต่คนสวนย่องเข้าไปข้างหลังแล้วใช้ชะแลงตีจนสิ้นพระชนม์      ขโมยเอาปืนไปด้วยนอกเหนือจากเครื่องราชฯ จึงปรากฏว่ามีปืนออโตเมติคอยู่เป็นของกลาง

คดีนี้คนร้ายถูกจำคุกอยู่นานมาก ประมาณ 20 ปี  มีข่าวลงหนังสือพิมพ์เช่นกันว่าในที่สุดเมื่อครบกำหนดโทษแล้วก็ได้รับการปล่อยตัวออกมา  แต่ก็ไม่มีใครไปตามข่าวว่าป่านนี้นายสองคนนี่แก่ตายไปแล้วหรือยัง  น่าจะเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 27 ก.พ. 14, 15:19

              บ้านอีกหลังหนึ่งในความเห็นที่ 5 - 9 นั้น

          หากเป็นบ้านที่สี่แยกราชเทวี อยู่หลังตึกแถวที่เรียงรายจากโรงหนังฮอลลีวู้ดจนถึงสี่แยก
แล้วหักมุมฉากเรียงไปต่อตามถนนพญาไท เวลาเดินออกจากโรงหนังจะผ่านช่องว่างระหว่าง
ตึกแถวเป็นทางเข้าออกบ้าน สามารถมองเข้าไปเห็นตัวบ้านและสนามได้ นั้น คือ
          บ้านราชเทวี ของ พระยาเทวาธิราช (ม.ร.ว.เทวาธิราช ป.มาลากุล) อดีตสมุหพระราชพิธี
และที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง

          บ้านนี้ได้เป็นที่จัดพิธีหมั้นระหว่างคุณเลิศ ประสมทรัพย์ กับ ม.ล.ปราลี มาลากุล ธิดาพระยาเทวาธิราช

จากแนวหน้า 5 มกราคม 2557


บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 28 ก.พ. 14, 16:24

บ้านราชเทวี  รูปค้นมาจากในเรือนไทยนี่แหละค่ะ  เป็นรูปเก่าที่คุณ Sila ลงเอาไว้

บันทึกการเข้า
tita
พาลี
****
ตอบ: 253


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 28 ก.พ. 14, 16:37

พอไปเจอรูปบ้านราชเทวีที่กระทู้ "ของเก่าแก่ในภูเก็ตที่โดนทำลาย"  ก็เลยเห็น คห. ที่คุณเทาชมพูเคยพูดถึงบ้านหลังหนึ่งบนถนนเพชรบุรี 

"ยังมีบ้านงามเหลืออยู่หลังหนึ่งที่ถนนเพชรบุรี  ถ้ามาจากยมราช  จะอยู่ทางขวาก่อนถึงแยกพงศ์เพชร  มีต้นไม้ขึ้นครึ้มเต็มไปหมด
เป็นตัวตึกสองชั้นทาสีส้ม  สภาพยังแข็งแรง  เคยอ่านพบในหนังสือว่าเป็นบ้านของใคร แต่ลืมชื่อเจ้าของไปแล้วค่ะ  ต้องไปค้นดูอีกที"

ดิฉันคลับคล้ายจะเคยเห็นบ้านหลังสีส้มหลังนั้น  อยู่ริมถนนย่านกิ่งเพชรใช่ไหมคะ  ไม่แน่ใจว่าบ้านหลังนี้เคยทำหอพักสตรีหรือเปล่าคะ  คือตอนเด็กๆ จำได้ว่าเคยตามผู้ใหญ่ไปเยี่ยมเพื่อนท่านที่พักหอพักเป็นตึกอยู่ริมถนน  เป็นตึกทรงโบราณข้างในมีต้นไม้ร่มรื่น  ลมพัดเย็นสบาย 

ย่านถนนเพชรบุรีมีบ้านโบราณสวยๆ เยอะ  เข้าไปในซอยก็มีอีกมาก  เสียดายที่ล้วนแต่ถูกละทิ้งทรุดโทรมหรือถูกรื้อไปหมด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 28 ก.พ. 14, 20:18

บ้านหลังงามที่ว่านั้นกลายเป็นอดีตไปแล้วค่ะ   ถูกรื้อไปหมดแล้ว กลายเป็นคอนโดศุภาลัยแทน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 19 คำสั่ง