เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 06:39
|
|
ส่วนผู้ใหญ่เต้นรำกันแบบนี้ คงสังเกตได้ว่าดนตรีประกอบมีซออย่างเดียว ชาร์ลส์สีซอเป็นเพลงแบบนี้ ย่าของลอร่าที่เต้นรำจังหวะจิ๊กได้เร็วและนานกว่าลูกชาย ก็เต้นคล้ายๆในคลิปนี้ละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 07:00
|
|
กลับมาที่ชาร์ลส์ ต่อ นะคะ ย้อนกลับไปเล่าถึงครอบครัวของชาล็อตต์ ควินเนอร์ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นแค่หญิงชาวนาธรรมดา ก่อนสมรสเธอเคยเป็นครูโรงเรียนมาก่อน หมายความว่าเธอได้รับการศึกษาเล่าเรียนมากกว่าผู้หญิงยุคเดียวกันทั่วไป แต่เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องหยุดอาชีพนี้ เพราะสมัยนั้นครูผู้หญิงมีแต่สาวโสดเท่านั้น ชาล็อตต์ปลูกฝังลูกๆถึงความสำคัญของการเล่าเรียนเขียนอ่าน คนที่ซึมซับมากกว่าใครเพื่อนคือแคโรไลน์ ลูกสาวคนโต เธอหัดอ่านหัดเขียนตั้งแต่เล็ก ชอบเขียนโคลงกลอน และเรียงความ เรียนหนังสือจนอายุ 16 ปีก็สามารถสอบได้รับประกาศนียบัตรครู ไปสอนหนังสือตามโรงเรียนได้ แม้ว่ารายได้ครูนับว่าน้อยมากในสมัยนั้น แค่สัปดาห์ละ 2.50 - 3.00 ดอลล่าร์ แคโรไลน์ก็ภาคภูมิใจในรายได้ที่เธอหามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ทำให้เธอสามารถหาซื้อเสื้อผ้าของตัวเองและแบ่งเงินส่วนหนึ่งจุนเจือพ่อแม่และน้องๆได้
ตามที่ลอร่าจำได้ แคโรไลน์เป็นหญิงสาวสวยผมสีเข้ม พูดน้อย มีบุคลิกสงบเสงี่ยมเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว บอกถึงการอบรมอย่างดีจากแม่ เขียนและอ่านหนังสือเก่ง คุณสมบัติเหล่านี้เป็นที่ต้องตาต้องใจของหนุ่มเพื่อนบ้านชื่อชาร์ลส์ อิงกัลส์อย่างมาก ทั้งคู่มีโอกาสพบกันเมื่อไปโบสถ์วันอาทิตย์ เจอกันในงานเต้นรำของเพื่อนบ้าน ไปเดินเล่นด้วยกันในป่าละเมาะใกล้บ้านฯลฯ จนวันหนึ่งเมื่อแคโรไลน์สอนหนังสือได้ 2 เทอม ชาร์ลส์ก็ขอแต่งงานกับเธอ เธอก็ตอบรับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 10:19
|
|
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเพื่อนบ้านหนุ่มสาวสองตระกูลนำไปสู่การแต่งงานถึง 3 คู่ด้วยกัน
คู่แรกคือเฮนรี่ พี่ชายของแคโรไลน์ พบรักกับพอลลี่น้องสาวของชาร์ลส์ มีลูกด้วยกัน 7 คนคือหลุยซา ชาร์ลส์ (หรือในหนังสือบ้านเล็กในป่าใหญ่ ลอร่าเรียกว่า "พี่ชาร์ลี" อัลเบิร์ต ล็อตตี้ จอร์ช ลิเลียนและรูบี้
เฮนรี่กับพอลลี่ปลูกบ้านอยู่ในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซินด้วยกัน ไม่ห่างจากบ้านของชาร์ลส์และแคโรไลน์นัก ลอร่าเล่าถึงตอนเด็กๆที่พ่อกับลุงเฮนรี่แลกเปลี่ยนแรงงานกัน คือสองชายจะช่วยกันทำงานในไร่ของแต่ละฝ่าย เช่นเกี่ยวข้าว โดยพาครอบครัวของตัวเองไปอยู่ที่บ้านของอีกฝ่ายในช่วงเช้าถึงเย็นที่พวกผู้ชายช่วยกันทำงาน แม่ๆก็ช่วยกันทำกับข้าว และทำงานบ้าน เด็กๆก็ได้เล่นด้วยกัน สนุกไปตามประสาเด็ก
ลอร่าเล่าในตอน "บ้านเล็กในทุ่งกว้าง" (Little House on the Prairie) ว่าพ่อโยกย้ายพาครอบครัวออกจากป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน ไปตั้งถิ่นฐานใหม่อยู่ในดินแดนอินเดียนแดงของรัฐแคนซัส อยู่กันตามลำพังพ่อแม่ลูกได้1 ปีเศษ ก็ได้ข่าวว่ารัฐบาลจะไล่ฝรั่งผิวขาวที่ไปตั้งถิ่นฐานที่นั่นออกให้พ้นจากเขตแดนของอินเดียนแดง จึงอพยพกันใหม่อีกครั้ง ทิ้งบ้านและไร่นาที่ลงทุนลงแรงไว้มากมาย เดินทางไปตั้งบ้านเรือนใหม่ที่เมืองพลัมครี้ก รัฐมินเนโซตา
ในหนังสือ เขียนไว้ว่าพ่อแม่และลอร่าไม่ได้เจอลุงเฮนรี่กับอาพอลลี่อีกเลย เจอแต่ลูกๆคือพี่หลุยซาและพี่ชาร์ลีที่โตเป็นหนุ่มสาวแล้วอีกครั้ง เมื่อพ่อแม่พาลอร่าและพี่น้องอพยพไปอีกหนึ่งที่ทะเลสาบสีเงินในรัฐดาโกต้าใต้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 10:29
|
|
แต่ในเรื่องจริง เมื่อพ่อแม่อพยพโยกย้ายออกจากป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน เขาไม่ได้ไปตามลำพัง มีครอบครัวของลุงเฮนรี่เดินทางไปด้วยในปี 1868, ทั้งสองครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐมิสซูรี่ประมาณ 1 ปี จากนั้น ชาร์ลส์พาครอบครัวเดินไปทางตั้งหลักใหม่ในรัฐแคนซัส ซึ่งยังรกร้างว่างเปล่าเป็นดินแดนของอินเดียนแดง แต่ว่าอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยสัตว์ป่าให้ล่าได้มากมาย ส่วนเฮนรี่และพอลลี่เดินทางกลับไปป่าใหญ่ในวิสคอนซินตามเดิม
หลังจากห่างกันไปหลายปี ลุงเฮนรี่กับครอบครัวก็อพยพออกจากป่าใหญ่ไปตั้งหลักแหล่งใหม่ในรัฐมินเนโซตา ในปี 1872 พบกับครอบครัวของชาร์ลส์ระยะสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายกันไปอีก ลุงเฮนรี่ไปปักหลักอยู่ในเมืองเล็กๆในรัฐดาโกต้าใต้ ซึ่งเป็นคนละเมืองกับชาร์ลส์และแคโรไลน์ใช้ชีวิตบั้นปลาย แต่ว่าอยู่ในรัฐเดียวกัน
เฮนรี่กับครอบครัวของชาร์ลส์ไม่ได้เจอกันอีก เฮนรี่ตายเมื่ออายุได้เพียง 51 ปี อีกปีหนึ่งต่อมาพอลลี่ก็ถึงแก่กรรม ก่อนหน้านี้ลูก 7 คนก็ตายกันไปถึง 4 คน ไม่มีรายละเอียดว่าตายเพราะอะไร แต่เข้าใจว่าเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะชีวิตในยุคนั้นนอกจากทุรกันดารแล้ว หยูกยาการรักษาโรคก็ยังล้าหลัง ทำให้อัตราการตายสูงมากในแต่ละครอบครัว พี่ชาร์ลีซึ่งลอร่าเอ่ยถึงไว้อย่างรักและเอ็นดู ในตอน "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ก็เป็นหนึ่งในลูกที่ตายจากไปเร็วเหมือนกัน เหลือแต่หลุยซา อัลเบิร์ตและล็อตตี้ซึ่งไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในไวโอมิงในบั้นปลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 10:51
|
|
คู่ที่สองที่แต่งงานกันคือปีเตอร์ อิงกัลส์ พี่ชายของชาร์ลส์ แต่งงานกับอีไลซ่า น้องสาวของแคโรไลน์แม่ของลอร่า มีลูกด้วยกัน 4 คนคืออลิซ เอลลา ปีเตอร์ และน้องสาวคนเล็กชื่ออีดิธ แต่ในหนังสือ ลอร่าเรียกญาติคนเล็กสุดนี้ว่าดอลลี่ วาร์เดน ในนิยายตอน "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ลอร่าเล่าถึงวันคริสต์มาสที่ลุงปีเตอร์และน้าอีไลซ่าพาลูกๆมาฉลองคริสต์มาสด้วยที่บ้านของเธอ เด็กๆก็ได้เล่นด้วยกันอย่างอบอุ่นสนุกสนาน เมื่อครอบครัวของเธอย้ายออกจากป่าใหญ่ ลอร่าเขียนว่าเธอไม่มีโอกาสเจอลุงกับป้าอีก แต่สิบปีต่อมาเมื่อลอร่าโตเป็นสาวรุ่น อลิซ เป็นสาวใหญ่สมรสแล้ว เธอกับสามีแวะมาพักที่บ้านของลอร่าในเมืองเดอสะเม็ต รัฐดาโกต้าใต้ ก่อนจะเดินทางต่อไป ส่วนลุงกับป้ายังอยู่บ้านเดิม เมื่อลอร่าแต่งงานกับแอลแมนโซ ปีเตอร์ญาติของเธอมาพักอยู่ด้วยที่บ้านใหม่ของเธอชั่วระยะหนึ่ง เลี้ยงแกะร่วมกับแอลแมนโซและแบ่งกำไรจากการขายด้วยกัน เธอเล่าไว้ในหนังสือ The First Four Years
แต่ในเรื่องจริง เมื่อชาร์ลส์พาภรรยาและลูกเล็กๆ 3 คนออกจากป่าใหญ่รัฐวิสคอนซิน ลุงปีเตอร์ก็พาครอบครัวเดินทางไปด้วยกัน จนกระทั่งมาถึงรัฐมินเนโซตา ลุงปีเตอร์ตั้งถิ่นฐานอยู่ที่เมืองซัมโบร ฟอลส์ ส่วนชาร์ลส์พาครอบครัวเดินทางต่อไปจนถึงเมืองวอลนัท โกรฟ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 10:53
|
|
เรื่องจริงที่ลอร่าตัดออกไปจากหนังสือ ข้ามไปเลยไม่เล่าถึงก็คือเหตุการณ์เศร้าที่สุดชีวิตวัยเยาว์ของเธอ เมื่อพ่อแม่พาลูกๆไปพักอยู่ที่บ้านนาของลุงปีเตอร์ในมินเนโซตา ในตอนนั้น แคโรไลน์คลอดลูกชายคนเดียวชื่อเฟรดดี้ได้ไม่นานนัก แต่หนูน้อยเฟรดดี้ไม่แข็งแรง อายุเพียง 9 เดือน วันหนึ่งก็ป่วยและหมดลมหายใจไปเฉยๆ เรื่องที่ทำให้ครอบครัวของลอร่าเศร้าโศกที่สุดอีกครั้งก็คือ ชาร์ลส์ตัดสินใจเดินทางโยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานใหม่อีกครั้ง จึงจำต้องฝังศพหนูน้อยเฟรดดี้เอาไว้ในสุสานใกล้ๆกันนั้น เหมือนทอดทิ้งให้แกนอนอยู่ตามลำพัง เมื่อพ่อแม่และพี่เดินทางจากไปไม่ได้หันกลับมาอีก การเสียลูกชายไปเป็นเรื่องสะเทือนใจแคโรไลน์มาตลอดชีวิตของเธอ แม้ว่าได้ลูกสาวคนเล็กคือเกรซมาอีกไม่นานหลังจากนั้น ก็ไม่ทำให้เธอลืมลูกชายได้จนแล้วจนรอด ในวัยชรา ลอร่าได้ยินแม่ปรารภว่าถ้าเฟรดดี้ยังมีชีวิตอยู่ เธอก็จะสุขใจกว่านี้ อาจจะด้วยเหตุนี้ เมื่อลอร่าเขียนนิยายชุดบ้านเล็ก เธอจึงข้ามเหตุการณ์ช่วงนี้ไปเลย ไม่เอ่ยถึงน้องชายอีก และทำให้จำต้องตัดลุงปีเตอร์ออกไปจากเรื่องด้วย
ปีเตอร์ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 67 ส่วนอีไลซ่าอายุยืนกว่า อยู่ต่อมาอีกหลายสิบปีจนถึงแก่กรรมก่อนหนังสือ "บ้านเล็ก" ตีพิมพ์ออกมาแค่ปีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 11:04
|
|
อ่านมาถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านเรือนไทยอาจจะเกิดสงสัยขึ้นมาว่า สมัยนั้นชาวบ้านเขาอพยพอะไรกันนักกันหนา ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรก็ว่าลำบากแล้ว การเดินทางก็แสนจะลำบากยากเย็นหนักขึ้นไปอีก ถนนก็ไม่มี รถยนต์ก็ไม่มี เดินทางด้วยเกวียนประทุน วันๆ ม้าลากไปได้ 20 ไมล์ก็ถือว่าเก่งแล้ว ยิ่งเดินทางจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือน กินนอนกันอยู่ในเกวียนนั่นเอง อาหารการกินก็ต้องหาใส่เกวียนกันไปเอง หุงต้มกินกันเองแสนจะทุลักทุเล ไม่เหมือนไปปิคนิคในสมัยนี้สักนิดเดียว จะหนาวจะร้อนก็ต้องทนกันอยู่ในนั้น ทำไมไม่ปักหลักอยู่ในเมืองใดเมืองหนึ่ง ที่สะดวกสบาย มีร้านรวง มีผู้คน มีบ้านอยู่เป็นหลักแหล่งถาวร
คำตอบตรงประเด็นที่สุดคือ อพยพ เพราะอยู่ที่เดิมไม่พอกิน
ชีวิตชาวบ้านโดยเฉพาะชาวไร่ชาวนาในสมัยนั้นต้องพึ่งธรรมชาติอย่างเดียว ในแต่ละรัฐ ไม่มีใครรู้ว่าที่นั่นอุดมสมบูรณ์หรือว่าทุรกันดารขึ้นมาในตอนไหน เพราะปีนี้ อาจปลูกพืชผลได้ดี แต่ปีหน้าเกิดแห้งแล้งขึ้นมา ปลูกอะไรไม่ขึ้นก็เป็นได้ ลมฟ้าอากาศเป็นสิ่งไว้ใจไม่ได้เลยว่าจะตลบหลังเล่นงานชาวไร่ชาวนาขึ้นมาเมื่อไหร่ นอกจากนี้ สมัยนั้นไม่มีการคุมกำเนิด อัตราการตายของทารกสูงมาก พ่อแม่จึงต้องมีลูกหลายๆคนเผื่อจะรอดไปได้สักครึ่งตอนโต ครอบครัวเกษตรกรรมต้องการลูกมากๆเพื่อช่วยแรงงานในไร่นา ดังนั้นชาวบ้านจึงมีลูกกันบ้านละมากๆ เมื่อมีหลายปากหลายท้องเข้าก็ไม่พอกิน การอพยพย้ายถิ่นไปอยู่ในดินแดนไกลๆที่มีสัตว์ป่าให้ล่าอุดมสมบูรณ์จึงเป็นแหล่งอาหารได้ง่ายกว่าจะอยู่ในเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tita
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 11:14
|
|
ขออนุญาตส่งสัญญาณว่ายังติดตามอยู่ตลอดนะคะ
ในชุดบ้านเล็กนี้ แต่ละเล่มให้ความประทับใจแตกต่างกันออกไป น่าทึ่งอย่างมากคือผู้เขียนสามารถบรรยายจนผู้อ่านรับรู้ได้ถึงบรรยากาศในช่วงชีวิตนั้นๆ เช่นตอนบ้านเล็กในป่าใหญ่ก็รู้สึกได้ถึงความร่มรื่น เรียบง่าย อบอุ่น ปราศจากปัญหา ซึ่งก็คือการรับรู้ชีวิตของเด็กเล็กๆ อย่างลอร่าในช่วงอายุนั้น เล่มต่อๆ มา ลอร่าเริ่มโต ชีวิตก็จะมีแง่มุมให้เรียนรู้มากขึ้น คนอ่านก็เหมือนจะเห็นมุมมองชีวิตที่ซับซ้อนขึ้นตามลอร่า
ในเล่มฤดูหนาวที่ยาวนาน ช่วงต้นในฤดูร้อนผู้เขียนก็บรรยายหน้าร้อนออกมาได้ระอุดี พอเข้าช่วงหน้าหนาวก็รับรู้ได้ว่าฤดูหนาวนั้นช่างเหน็บหนาวทารุณโหดร้ายเหลือประมาณ หยิบมาอ่านตอนนี้ ช่างเข้ากับบรรยากาศดีแท้ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 11:54
|
|
^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
visitna
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 14:32
|
|
ติดตามอยู่ เป็นหนังสือที่ประทับใจมากชุดหนึ่ง เรื่องราวที่ซึ้งนี้ทำให้เป็นคนรักการอ่าน เคยซื้อไว้ชุดหนึ่ง ตอนนี้อาจจะเหลือไม่ครบทุกเล่ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 15:47
|
|
คู่ที่สาม คือชาร์ลส์กับแคโรไลน์ แต่งงานกันเมื่อค.ศ. 1860 จากนั้นก็เริ่มสร้างครอบครัวกันในกระท่อมไม้ซุงหลังเล็ก ในป่าใหญ่ของวิสคอนซิน ใกล้ๆกับญาติพี่น้อง ไปมาหาสู่และแรกเปลี่ยนแรงงานกันได้ง่าย
ชาร์ลส์มีนิสัยอย่างหนึ่งที่แคโรไลน์ดูออกอย่างดี คือนิสัยที่เขาเรียกว่า "เท้าฉันมันคัน มันก็ชอบเดินทางเรื่อยไป" คือชอบเดินทางอพยพไปหาที่ใหม่ที่ดีกว่า นับเป็นนิสัยของนักบุกเบิกโดยแท้ แคโรไลน์ไม่ชอบเดินทางร่อนเร่ไปตามที่โน่นที่นี่ เธออยากอยู่ในบ้านเมืองที่ตั้งมั่นคงแล้ว เพราะมันหมายถึงความเจริญและโอกาสเล่าเรียนของลูกๆ เมื่อแต่งงาน เธอขอว่าถ้ามีลูกสาว ก็ขอให้ทุกคนที่จะเกิดมาได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน ชาร์ลส์ก็ให้สัญญาตามนั้น และรักษาสัญญาอย่างมั่นคง ลูกสาวสี่คนได้รับการศึกษาอย่างดีเท่าที่พ่อแม่จะให้ได้ แม้แต่แมรี่ ลูกสาวตาบอดก็มีโอกาสเรียนที่วิทยาลัยคนตาบอดในไอโอวาจนจบ แคโรไลน์ตั้งใจให้ลูกสาวคนใดคนหนึ่งเจริญรอยเป็นครูตามแม่ ลอร่าก็ได้เป็นสมใจแม่ และอีกคนหนึ่งก็คือเกรซ น้องสาวคนเล็ก
ข้างล่างนี้คือบ้านจำลองของบ้านไม้ซุงในป่าใหญ่ที่ลอร่าเกิดและเขียนถึงในนิยายเล่มแรก "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 15:57
|
|
ดิฉันเคยเข้าไปดูบ้านไม้ซุงแบบนี้ ที่เขาจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง ที่ไหนสักแห่งจำไม่ได้แล้ว โผล่เข้าไปข้างในรู้สึกว่ามันมืดและอับทึบเหลือเกิน แต่เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน ในฤดูหนาวบ้านแบบนี้อบอุ่นได้ง่ายกว่าบ้านกว้างๆซึ่งเปลืองฟืนในเตาผิงมาก นอกจากนี้ แม่ของลอร่าเป็นแม่บ้านที่สะอาดเรียบร้อย จัดบ้านช่องได้น่าอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านเล็กขนาดไหนก็ตาม ในบ้านอบอวลไปด้วยความรัก เสียงหัวเราะของพ่อและเสียงซอในยามค่ำคืน มันก็ย่อมเป็นบ้านที่น่าอยู่ยิ่งกว่าบ้านใหญ่ๆที่เงียบเหงา
เรื่อง "บ้านเล็กในป่าใหญ่" เล่าถึงวงจรชีวิตของชาวบ้านในแต่ละฤดูกาล เริ่มต้นด้วยช่วงเวลาปลายฤดูใบไม้ร่วงต่อกับต้นฤดูหนาว ที่พ่อแม่จะต้องสะสมอาหารไว้กินตลอดเวลาหลายเดือนที่หิมะตก ปลูกพืชผลไม่ได้ ล่าสัตว์ก็ยาก ลอร่าเล่าไว้ในชีวิตจริงว่าเธอยังจำได้ถึงกวางที่พ่อยิงได้ แขวนอยู่รอบบ้าน รอเวลาถลกหนัง และหั่นเนื้อออกมารมควัน เล่าถึงแม่ที่เก็บผักผลไม้มาไว้ในห้องใต้หลังคาซึ่งเย็นเฉียบในหน้าหนาว เคี่ยวน้ำมันหมู หั่นเนื้อหมูแช่เกลือ ปั่นเนย มีลูกเล็กๆคอยช่วยเท่าที่จะช่วยได้
สำหรับเด็กน้อยไร้เดียงสา งานที่คนอื่นมองว่าเหน็ดเหนื่อยเหล่านี้ล้วนเป็นของสนุก เพราะพ่อแม่ไม่ได้ทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องยากลำบากตรากตรำ งานเป็นส่วนสำคัญของชีวิต การนั่งอยู่เฉยๆในวันอาทิตย์เสียอีก เป็นความน่าเบื่อสุดจะทน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
sirinawadee
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 17:27
|
|
โอย เกือบพลาด
มาลงชื่อรายงานตัวค่ะ เดี๋ยวจะมาไล่อ่านให้หมดเลย ขอไปทำงานก่อนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 27 ธ.ค. 13, 07:36
|
|
บ้านแรกที่ชาร์ลส์และแคโรไลน์มีเนื้อที่แปดสิบเอเคอร์ แบ่งสองกับเฮนรี่ ปลูกบ้านอยู่ใกล้กัน แต่ในนิยาย "บ้านเล็กในป่าใหญ่" ลอร่าตัดฉากที่บ้านลุงเฮนรี่ออกไป เหลือแต่เพียงบ้านของเธอโดดเดี่ยวอยู่ในป่าใหญ่ บ้านสองหลังนี้อยู่ห่างจากทะเลสาบเปปินไป 7 ไมล์ เมืองเปปินริมทะเลสาบเป็นแหล่งรับซื้อขนสัตว์ที่ชาร์ลส์วางกับดักและยิงได้ในป่า เอากลับบ้านมาถลกหนัง รวบรวมได้ทีหนึ่งก็แบกไปที่ร้านค้าในเมือง ขายขนสัตว์ซื้อของใช้จำเป็นและของสวยๆเช่นผ้าตัดเสื้อมาให้ลูกเมีย
ชาร์ลส์กับแคโรไลน์แต่งงานกัน 5 ปีถึงมีลูกสาวคนแรก ผมสีทอง ตาสีฟ้า พ่อแม่ตั้งชื่อว่าแมรี่ อะมีเลีย สองปีต่อมาลูกสาวคนที่สองก็ตามมา คนนี้ผมสีน้ำตาลและตาสีฟ้า ได้รับชื่อว่าลอร่า เอลิซาเบธ
ความทรงจำเริ่มแรกของหนูน้อยลอร่า คือพ่อ แม่ พี่สาวตัวเล็กๆโตกว่าเธอไม่เท่าไร อาศัยอยู่รวมกันในกระท่อมหลังเล็กที่แสนจะเป็นสุขและอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตากัน ภาพชีวิตเหล่านี้ เมื่อลอร่าเข้าวัยชรา เธอเรียกมันว่า "ภาพที่แขวนอยู่ในความทรงจำของฉัน"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 27 ธ.ค. 13, 07:43
|
|
ภาพที่ลอร่าจำแม่นยำไม่ลบเลือนคือค่ำคืนที่หนาวเย็นภายนอก แต่ในบ้านสว่างและอบอุ่นด้วยแสงไฟจากฟืนท่อนใหญ่ๆในเตาผิง มีพ่อ แม่ และแมรี่อยู่ในภาพนั้น ภาพแรกเมื่อลอร่าจำความได้ คือพ่อ สิ่งแรกในตัวพ่อที่เธอจำได้คือดวงตาสีฟ้าสดของพ่อ แจ่มกระจ่าง และคมกริบ เป็นดวงตาที่เล็งเป้าอย่างแม่นยำ ยามประทับปืนไรเฟิลบนบ่า พ่อสามารถฆ่าหมี หรือหมูป่าตัวใหญ่ด้วยกระสุนนัดเดียว แต่ดวงตาคมกล้าของพ่อ ก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนยามพ่อมองแม่ หรือลูกสาวตัวน้อยๆในยามเธอป่วยไข้ พ่อมีผมดกหนาและละเอียด สีน้ำตาลเข้ม พ่อไว้เครายาวสีน้ำตาลอมแดง ตลอดชีวิตตั้งแต่หนุ่มจนชรา
เท่าที่ลอร่าจำความได้ พ่อเป็นคนแข็งแรง แคล่วคล่องว่องไวที่สุด พ่อเล่นสเก๊ตได้เก่งกว่าใครๆ ว่ายน้ำก็เร็ว พ่อสามารถเดินได้วันละหลายไมล์ท่ามกลางหิมะในป่า เพื่อไปล่าสัตว์ หรือเดินทางเข้าเมืองเอาขนสัตว์ไปขาย เธอยังจำได้ถึงฝีเท้าสม่ำเสมอของพ่อที่เดินไปเดินมาทั้งคืน แบกลูกสาวตัวน้อยที่ป่วยไข้งอแงจนเธอหลับไปกับบ่าพ่อ เธอยังจำได้ถึงเสียงพ่อปลอบประโลมลูกสาวให้นิ่งไม่ร้องไห้ และเสียงพ่อพูดกับแม่ว่า " เธอพักเสียเถอะ แคโรไลน์ ฉันจะดูแลลูกเอง"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|