เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
กระทู้นี้มาจากบทความ " ชีวิตจริงเบื้องหลังวรรณกรรมชุด "บ้านเล็ก" เจ้าของสงวนลิขสิทธิ์ มิให้เผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตและในหนังสือโดยมิได้รับอนุญาต
ใครที่เป็นแฟนวรรณกรรมเยาวชนชุด บ้านเล็ก หรือ Little Houses Series ของ Laura Ingalls Wilder เชิญยกเก้าอี้มานั่งล้อมวงกันได้แล้วค่ะ ดิฉันจะเล่า "ชีวิตจริง" ของครอบครัวอิงกัลส์ ที่เป็นภูมิหลังของวรรณกรรมเรื่องนี้ให้ฟัง
ก่อนอื่นขอฉายหนังตัวอย่างด้วยภาพครอบครัวอิงกัลส์ก่อนนะคะ คือพ่อ แม่ และลูกสาวทั้งสี่ เรียงลำดับแถวยืน แครี่ ลอร่า เกรซน้องสาวคนเล็ก แถวนั่ง แม่ พ่อ และแมรี่ ลูกสาวคนโต
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06 ม.ค. 14, 07:42 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 23 ธ.ค. 13, 13:46
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 23 ธ.ค. 13, 19:53
|
|
ก่อนหน้านี้ ลอร่า อิงกัลส์ ไวลเดอร์ ไม่มีความคิดจะเป็นนักเขียน เธอเป็นหญิงวัยหกสิบ ดำเนินชีวิตเรียบง่ายในฐานะเจ้าของฟาร์มเล็กๆแห่งหนึ่งในเมืองแมนส์ฟิลด์ รัฐมิสซูรี่ อยู่กับสามีชื่อแอลแมนโซ เจมส์ ไวล์เดอร์ผู้มีอายุมากถึง ๗๐ เพียงลำพังสองคนตายาย
ลูกสาวคนเดียวชื่อโรสเป็นหญิงวัยกลางคนอายุ ๔๐ ทำงานเป็นนักเขียนบทความอยู่ในเมืองใหญ่ โรสแต่งงานแยกบ้านไปนานหลายสิบปีแล้ว ต่อมาก็หย่าขาดจากสามีโดยไม่มีบุตร ความที่สนิทกับแม่ โรสก็แวะเวียนไปเยี่ยมบ้านเดิมของพ่อแม่เป็นประจำ
ตั้งแต่เด็ก ในฐานะลูกคนเดียว โรสสนิทกับแม่มาก ลอร่าเป็นหญิงที่ช่างจดช่างจำ เล่าเรื่องเก่ง เรื่องที่เธอชอบเล่าให้ลูกสาวฟังคือชีวิตในวัยเด็กเมื่อหลายสิบปีก่อนจะย้ายมาอยู่รัฐมิสซูรี่ ในยุคนั้น ตากับยายอพยพพาลูกๆ โยกย้ายไปหลายรัฐด้วยกัน ทำให้เด็กๆได้พบเห็นประสบการณ์ต่างๆ ที่หาไม่ได้ในฟาร์มแห่งนี้ วันเวลาในวัยเด็กของแม่จะว่าลำบากก็ลำบาก เพราะขาดความสะดวกสบายอย่างไฟฟ้า น้ำประปา รถยนต์ หรือแม้แต่ถนนหนทาง แต่จะว่าเป็นสุขก็สุขมาก เพราะอยู่อย่างอบอุ่นในครอบครัวพร้อมหน้าพ่อแม่พี่น้อง ไม่เคยขาดเสียงเพลงจากไวโอลินของพ่อในยามค่ำคืน ไม่ขาดอาหารรสโอชะจากฝีมือของแม่
เรื่องราวทั้งหมด แม่ถ่ายทอดให้ลูกสาวฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่อง "ดีเกินกว่าจะปล่อยให้สูญหายไป" โรสฟังอย่างเพลิดเพลินมาตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยรักการอ่านและเขียน เธอก็ได้จากแม่ แม่ทำงานเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับเล็กๆ เขียนบทความประจำลงในนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 06:02
|
|
ในวัยสี่สิบ โรสประสบความสำเร็จในฐานะนักเขียนมีชื่อเสียงคนหนึ่งแล้ว รายได้ของเธอมากพอจะอุดหนุนจุนเจือพ่อแม่ได้ ฟาร์มเล็กๆของแอลแมนโซและลอร่ามีผลิตผลพออยู่ได้อย่างไม่ลำบากยากแค้นจนเกินไป แต่ก็ห่างไกลจากร่ำรวย โรสสร้างกระท่อมแบบอังกฤษให้พ่อแม่อยู่ใหม่ บนเนื้อที่ติดกับฟาร์มเดิมที่ลอร่าขนานนามว่า "ร็อคกี้ ริดจ์" ส่วนตัวโรสเองก็ตกแต่งบ้านเดิมของพ่อแม่เสียใหม่แล้วย้ายเข้าไปอยู่แทน วันหนึ่ง โรสก็นึกได้ว่าเรื่องชีวิตวัยเยาว์ที่แม่เล่าให้เธอฟังบ่อยๆ เป็นเรื่องสนุกสนานประทับใจ ควรจะเขียนลงเป็นหนังสือสักเล่ม เธอจะช่วยตรวจแก้ให้ ในตอนแรกลอร่าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ลูกสาวคะยั้นคะยอหนักเข้าเธอก็นึกสนุก เขียนในทำนองอัตชีวประวัติขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อว่า Pioneer Girl (สาวน้อยนักบุกเบิก) เอาชีวิตจริงในวัยเด็กและสาวเป็นพื้นฐานหลักในโครงเรื่อง โรสส่งต้นฉบับเรื่องนี้ไปตามสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ผิดหวัง ไม่มีผู้พิมพ์รายไหนสนใจจะพิมพ์จำหน่าย เป็นเพราะเนื้อเรื่องหนักไปทางรายละเอียด แทบว่าจะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์อยู่รอมร่อ ไม่มีรสชาติสนุกสนานอย่างนิยาย ในที่สุดก็ต้องเอาต้นฉบับกลับมาเก็บไว้ในบ้าน
รูปของโรส ไวลเดอร์ เลน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 06:19
|
|
บ้านนา ร็อคกี้ ริดจ์ (Rocky Ridge) ที่แอลแมนโซและลอร่าสร้างกันขึ้นมาเอง โรสได้ตกแต่งใหม่และเข้ามาอยู่แทนในค.ศ. 1928
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 06:24
|
|
กระท่อมสไตล์อังกฤษที่โรสสร้างให้พ่อแม่อยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tita
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 10:33
|
|
ขออนุญาตลงชื่อนั่งฟัง
หนังสือชุดนี้เป็นหนึ่งในบรรดาหนังสือหัวเตียง หยิบมาอ่านได้บ่อยๆ โดยไม่เบื่อเลยค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 10:58
|
|
คอเดียวกันค่ะคุณ tita ดิฉันอ่านชุดแรก จนเก่า ปกขาดหน้าหลุด ต้องซื้อใหม่อีกชุด และซื้อชุดภาษาอังกฤษมาด้วย ยังเก็บไว้อย่างดีจนทุกวันนี้ สัมผัสถึงความรักและความอบอุุ่นของครอบครัวที่ส่งผ่านตัวอักษรมาถึงคนอ่าน เป็นเสน่ห์ประจำตัวของหนังสือชุดนี้ ทำให้มองออกว่าหนังสือที่เขียนด้วยใจรัก มีคุณค่าอย่างนี้เองค่ะ
กลับมาถึงเรื่องลอร่ากับโรสต่อค่ะ
ในค.ศ. 1929 ก็เกิดวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ชาวเรือนไทยคงจำได้ถึงเศรษฐกิจตกต่ำในยุคต้นรัชกาลที่ 7 ที่ส่งผลให้เกิด "ดุลยภาพ" ข้าราชการทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ได้นะคะ วิกฤตเศรษฐกิจที่ว่านี้ก็ต้นเหตุอันเดียวกันละค่ะ ตลาดหุ้นล้มครืน ธนาคารล้มละลาย พันธบัตรรัฐบาลกลายเป็นเศษกระดาษ เงินทองของโรสและพันธบัตรที่เธอแนะนำให้พ่อแม่ซื้อเป็นหลักประกันความมั่นคงของฐานะ ก็ละลายหายสูญไปในวิกฤตครั้งนี้ด้วย ลอรากับแอลแมนโซไม่เหลืออะไรจากเงินทองที่อดออมกันมาตลอดชีวิต
ในตอนนี้เอง ลอร่ากลับไปปัดฝุ่นต้นฉบับหนังสือเรื่อง Pioneer Girl ของเธออีกครั้ง แม้ว่าสำนักพิมพ์ทั้งหลายพากันส่ายหน้า โยนลงตะกร้ากันหมดทุกแห่ง เธอก็หอบมันขึ้นมาจากก้นตะกร้าอย่างไม่ย่อท้อ นักเขียนที่ไม่ยอมแพ้ ก็จะมองจนเห็นแสงสว่างขึ้นมาที่ปลายอุโมงค์จนได้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 11:12
|
|
คราวนี้ลอร่าวางแผนใหม่ เธอไม่เขียนหนังสือชีวิตหนักสมองอย่างคราวแรกอีก แต่ว่าดัดแปลงใหม่ เป็นหนังสือสำหรับเด็ก เจาะลงไปเฉพาะชีวิตในวัยเยาว์ของเธอ โดยเลือกช่วงชีวิตที่เธอมีความสุขที่สุด คือชีวิตวัยต้นอายุไม่เกิน 6 ขวบเมื่อครั้งอาศัยอยู่ในบ้านไม้ซุงในป่าใหญ่ของรัฐวิสคอนซิน พร้อมกับพ่อแม่และพี่สาว เธอย้อนรำลึกถึงการดำเนินชีวิตในสมัยนั้น ยาวนานกว่า 50 ปีก่อน เมื่ออาหารการกินและการดำรงชีวิตจะต้องพึ่งพาตัวเอง ไม่มีอะไรสะดวกอย่างสมัยเธอเข้าสู่วัยชรา ชีวิตแบบนั้นหมดไปจากความรู้ความเข้าใจของเด็กๆในยุค 1930s หมดแล้ว เพราะบ้านเมืองพัฒนาอย่างรวดเร็ว จากแสงเทียนมาเป็นไฟฟ้า จากเกวียนประทุนมาเป็นรถยนต์ ฯลฯ แต่มันยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของเธอ เธอก็ถ่ายทอดความทรงจำเป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ไม่ยาวนักเล่มหนึ่ง เล่าถึงวงจรชีวิต 4 ฤดูในรอบปีที่พ่อแม่และลูกๆอยู่กันอย่างเป็นสุขในป่าใหญ่ เธอเรียกพ่อและแม่กลับมามีชีวิตอีกหนหนึ่ง พร้อมด้วยพี่สาวที่ตัวจริงล่วงลับไปแล้ว กลับมาเป็นเด็กน้อยเล่นกันอยู่ในบ้านไม้ซุงอีกครั้ง เรื่องใหม่นี้ตอนแรกตั้งชื่อว่า When Grandma was a Little Girl โรสช่วยอ่านและตรวจให้ ในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อเป็น Little House in the Big Woods เธอติดต่อสำนักพิมพ์ต่างๆให้แม่อีกครั้ง ด้วยความกว้างขวางและชื่อเสียงของเธอเป็นทุนเดิมอยู่ ในที่สุดสำนักพิมพ์ใหญ่คือ Harper & Brothers ก็ตกลงพิมพ์เรื่องนี้
ฉบับพิมพ์ครั้งแรกค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 11:25
|
|
นิยายชุด "บ้านเล็ก" เล่มแรก ตีพิมพ์วางจำหน่ายในค.ศ. 1932 (ตรงกับพ.ศ. 2475 ของไทย) ในช่วงที่คนอเมริกันทั่วไปตกงาน อดอยาก ลำบากยากแค้น หนังสือเล่มนี้กลายเป็นความชุ่มชื่นใจและจุดประกายความหวังให้คนอ่านจำนวนมาก ที่รู้สึกว่าชีวิตในอดีตก็ลำบากกว่าชีวิตพวกเขามากนัก ตัวละครในเรื่องก็ยังอยู่มาได้อย่างเป็นสุขและอบอุ่น เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจต่อกัน ทำให้คนอ่านค่อยกระปรี้กระเปร่าเกิดความหวังขึ้นมาอีกครั้ง หนังสือเรื่องนี้จึงประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามชั่วข้ามคืน โดยไม่มีใครคาดฝันมาก่อน แม้แต่ตัวลอร่าและโรสเอง
ปัญหาเรื่องเงินทองของลอร่าก็หมดไปเพราะรายได้จากหนังสือที่ตีพิมพ์ใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำก็ตาม เธอไม่ได้คิดว่าจะเขียนหนังสือมากกว่านี้ แค่เล่มแรกก็เล่าถึงชีวิตวัยเยาว์ที่ประทับอยู่ในความทรงจำหมดแล้ว
ในตอนที่ลอร่าเขียนเรื่องนี้ พ่อกับแม่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เช่นเดียวกับแมรี่พี่สาวคนโตของเธอ และเกรซน้องสาวคนเล็ก เหลือแต่แครี่น้องสาวคนรองคนเดียว อยู่ไกลกันคนละรัฐ แต่แครี่ก็ตื่นเต้นกับเรื่องที่พี่สาวคิดจะเขียนนิยายบนพื้นฐานชีวิตครอบครัวในวัยเยาว์มาตั้งแต่แรก เธอช่วยทบทวนจดจำข้อมูลต่างๆส่งให้พี่สาว ความจริงเมื่อลอร่ากับแมรี่เกิดและอยู่ในบ้านไม้ซุงในป่าใหญ่นั้น มีกันแค่สองคนพี่น้อง แครี่ยังไม่ทันเกิด พ่อแม่อพยพไปแคนซัสอยู่พักหนึ่งก่อนจะอพยพกลับมาที่ป่าใหญ่ในรัฐวิสคอนซิน แครี่เพิ่งมาเกิดเมื่อพ่อแม่กลับมาอยู่ที่นี่ แต่ลอร่าไม่อยากจะตัดน้องสาวออกไป เมื่อเธอรวมชีวิต 2 ช่วงในป่าใหญ่เข้าเป็นช่วงเดียวกัน เธอก็เลยให้แครี่เกิดเสียตั้งแต่ตอนนั้น กลายเป็นมีสามคนพี่น้องโตขึ้นมาด้วยกัน
รูปพี่น้องสามสาวตั้งแต่ยังเป็นเด็กหญิงค่ะ ไม่มีรูปถ่ายในวัยเยาว์กว่านี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 24 ธ.ค. 13, 15:27
|
|
ลอร่าบรรยายถึงพ่อว่า เป็นคนเก่ง ทั้งในด้านล่าสัตว์ พ่อสามารถฆ่าหมีหรือหมูป่าได้ด้วยกระสุนนัดเดียว (ปืนสมัยนั้นยิงได้ทีละนัด ถ้านัดแรกเอาสัตว์ป่าไม่อยู่ ก็แปลว่านายพรานจะเป็นฝ่ายเสร็จเสียเอง) พ่อทำไร่ไถนาได้ดี เป็นคนขี้เล่น อารมณ์ดี รักลูกเมียเป็นแก้วตา ไม่เคยดุไม่เคยว่าลูกๆ ให้เกียรติภรรยาอย่างสม่ำเสมอ ที่ดูออกในเรื่องแม้ว่าลอร่าไม่เคยพูดมาตรงๆ คือเธอเป็นลูกคนโปรดของพ่อ นอกจากนี้ พ่อยังมีคุณสมบัติอื่นๆที่หายากในชายสมัยนั้นคือมีความรู้ดี สามารถเขียนอ่าน สะกดศัพท์ยากๆได้เกินหน้าคนอื่น และที่สำคัญคือพ่อเล่นไวโอลินเก่งมาก ทุกค่ำคืนในฤดูหนาว หนูน้อยอย่างลอร่าและแมรี่พี่สาวจะหลับไปพร้อมด้วยเสียงขับกล่อมจากไวโอลินของพ่อ เป็นความสุขที่ลอร่าไม่อาจหาได้จากที่ไหนอีกตลอดชีวิตยาวนานถึง 90 ปี
เรามาดูประวัติของพ่อผู้เป็นฮีโร่กันดีกว่านะคะ ในเรื่อง ลอร่าเรียกพ่อว่า Pa หรือแปลเป็นไทยตรงๆว่า "พ่อ" ง่ายๆนี่เอง ชื่อเต็มของพ่อคือ ชาร์ลส์ ฟิลลิป อิงกัลส์ เป็นบุตรคนที่สามในจำนวน 10 คนของปู่และย่าผู้มีนามจริงว่าแลนสฟอร์ด ไวติ้ง อิงกัลส์ และลอร่า หลุยส์ คอลบี้ ตัวปู่เองเกิดในแคนาดาแต่ว่าอพยพมาอยู่ที่นิวยอร์ค เชื้อสายทางแม่ของเขาสืบย้อนขึ้นไปได้ถึงพวกพิลกริมรุ่นแรกที่โดยสารเรือ เมย์ฟลาวเออร์ มาตั้งถิ่นฐานในอเมริกา ข้อนี้ทำให้ลอร่าภูมิใจในประวัติตระกูลของเธอมาก ครอบครัวของแลนสฟอร์ดตั้งถิ่นฐานอยู่ในนิวยอร์คในตอนแรกๆ ต่อมาก็อพยพจากนิวยอร์คมาอยู่ในอิลลินอยส์ ตอนนั้นชาร์ลส์ยังเล็กอยู่ พ่อแม่มาตั้งฟาร์มอยู่ที่นั่น เลี้ยงลูกทั้ง 10 คน(ตายแต่ยังเล็กเสีย 1 เหลือลูกชายอีกหก และลูกสาวอีกสี่) ด้วยการฝึกงานลูกชายลูกสาวอย่างแข็งขัน ชาร์ลส์และพี่น้องผู้ชายถูกใช้ให้ทำงานเป็นทุกอย่างตั้งแต่เลี้ยงสัตว์ ทำไร่ไถนา ดักสัตว์ งานช่างไม้ ฯลฯ ถ้ายังพอมีเวลาว่างก็ไปรับจ้างเพื่อนบ้านทำงาน ไม่ถูกปล่อยให้เที่ยวเล่นอยู่เปล่าๆ ชาร์ลส์ผิดจากพี่น้องอื่นๆตรงที่เป็นคนชอบอ่านหนังสือ สมกับมีแม่ที่เคยเป็นครูโรงเรียนมาก่อน แม้ไม่มีประวัติว่าเขาเล่าเรียนสูงกว่าคนอื่น เขาก็อ่านหนังสือได้แตกฉาน โรงเรียนตามชนบทในสมัยนั้นเป็นแค่ห้องเรียนเล็กๆ สอนนักเรียนทุกชั้นรวมกันในห้องเดียว เด็กๆเรียนพอให้อ่านออก เขียนได้ บวกลบเลขเป็น เท่านั้นก็พอแล้ว เด็กผู้ชายส่วนใหญ่ก็เรียนกันแค่นี้ เพราะพ่อแม่เห็นประโยชน์ในด้านช่วยแรงงานทางบ้านมากกว่าจะมาเสียเวลาในห้องเรียนนานๆหลายปี
รูปปู่กับย่าของลอร่า ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 25 ธ.ค. 13, 05:38
|
|
ปีเตอร์ เป็นลูกชายคนโต รองลงมาคือชาร์ลส์ (พี่อีกคนหนึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่เล็ก) ถัดไปก็คือลิเดีย พอลลี่, แลนสฟอร์ด เจมส์, ลอร่า ลาดอเซีย( หรือลอร่าเรียกว่า อาดอเซีย) ไฮแรม,จอร์ช และรูบี้ เมื่อชาร์ลส์อายุ 17 พ่อแม่ก็พาลูกๆโยกย้ายถิ่นฐานจากอิลลินอยส์มาปักหลักอยู่ที่วิสคอนซิน ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเป็นรัฐไกลปืนเที่ยง เมื่อเทียบกับนิวยอร์ค พ่อแม่ทำมาหากินด้วยการทำไร่ทำนา แบบเดียวกับเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงที่ล้วนแต่อพยพมาตั้งฟาร์มแบบเดียวกัน ครอบครัวใหญ่ลูกเก้าคนตั้งถิ่นฐานอยู่ในวิสคอนซินต่อมาเป็นเวลานาน จนเด็กๆเติบโตเป็นหนุ่มสาว เพื่อนบ้านใกล้เคียงที่เป็นเจ้าของที่นาชื่อเฟรดเดอริค โฮลบรุ๊ค เขาแต่งงานกับแม่ม่ายลูกติดชื่อชาล็อตต์ ควินเนอร์ สามีเก่าของเธอเป็นพ่อค้าซื้อขายแลกเปลี่ยนขนสัตว์กับพวกอินเดียนแดง แต่เขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเรือโดยสารล่มเมื่อเจอพายุ เมื่อแคโรไลน์ลูกสาวคนโตอายุได้ 5 ขวบเท่านั้นเอง ทิ้งชาล็อตต์ไว้กับลูกเด็กเล็กแดง ด้วยความลำบากยากแค้นที่ไม่มีหัวหน้าครอบครัว ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจย้ายจากบ้านเดิมในเมืองไปอยู่ในชนบท ลงหลักปักฐานสร้างบ้านนาอยู่ที่นั่น เลี้ยงสัตว์เพื่อจะได้มีรายได้และมีกินสำหรับเด็กๆ ชาล็อตต์แต่งงานใหม่กับเจ้าของฟาร์มเพื่อนบ้านกัน มีลูกอีก 1 คนชื่อล็อตตี้
บ้านนาของพ่อเลี้ยงของแคโรไลน์อยู่ติดกับบ้านนาของพวกอิงกัลส์ เด็กๆสองบ้านนี้โตเป็นหนุ่มสาวขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ยกัน ทั้งสองฝ่ายต่างรู้จักมักคุ้นกันดี ชาร์ลส์เป็นหนุ่มที่ใครๆก็นิยมเชิญไปร่วมงานปาร์ตี้ งานเต้นรำสังสรรค์กัน เพราะเขามีคุณสมบัติพิเศษอีกอย่างคือเล่นซอไวโอลินเก่งมาก สามารถเล่นเพลงให้ครึกครื้นกันได้ทุกงาน ซ้ำยังเล่นได้ยาวนานจนเต้นรำกันได้ทั้งคืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 25 ธ.ค. 13, 05:46
|
|
จนบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าซอของชาร์ลส์นั้นเจ้าตัวได้มาจากไหน ได้แต่เดากันว่าเขาอาจจะซื้อมาจากพ่อค้าเร่ หรือซื้อมือสองมาจากเพื่อนบ้านคนใดคนหนึ่งที่ต้องการขาย นอกจากนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าชาร์ลส์ไปเรียนวิชาเล่นซอไวโอลินมาจากไหน เพราะเขาไม่มีเวลาและไม่มีโอกาสจะไปเรียนในร.ร.แห่งไหนได้ ก็ได้แต่สรุปกันว่าชาร์ลส์คงหัดเล่นด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ชาร์ลส์เป็นคนมีพรสวรรค์ในการเล่นซอ เขาไม่ได้เล่นเพลงยากๆ อย่างเพลงของโมสาร์ทหรือบีโธเฟ่นอะไรแบบนั้น แต่เป็นเพลงกล่อมเด็ก เพลงพื้นเมืองจากสก๊อตแลนด์และอังกฤษ เพลงพื้นบ้านง่ายๆสำหรับเต้นรำกัน ซอคู่ใจของเขาเดินทางไปกับเจ้าตัวทุกหนทุกแห่ง โดยชาร์ลส์ทะนุถนอมรักษาไว้อย่างดีไม่ให้เสียหาย ลอร่าโตขึ้นมากับเสียงเพลงของพ่อ ตั้งแต่เล็กจนกระทั่งเธอเป็นสาว แยกบ้านแต่งงานไป เสียงเพลงของพ่อขับกล่อมเธอให้นอนหลับตั้งแต่เล็ก โตขึ้นเธอก็ร้องเพลงคู่กับเสียงซอของพ่อในยามสุขและทุกข์ ในวันรื่นเริงอย่างคริสต์มาส และในวันยากแค้นเมื่อตกระกำลำบาก เมื่อเธอเขียนนิยายเรื่องบ้านเล็ก ซอก็มามีบทบาทสำคัญจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นตัวละครตัวหนึ่งในเรื่องก็ว่าได้ เพราะมันจะเคียงคู่เป็นเพื่อนแท้ของครอบครัวอิงกัลส์ไปทุกหนทุกแห่ง ให้กำลังใจในทุกโอกาส ไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 25 ธ.ค. 13, 05:47
|
|
พ่อยกซอให้ลอร่าเมื่อพ่อถึงแก่กรรม ทุกวันนี้ซอคู่ใจของพ่อก็ยังเก็บรักษาไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์ที่สร้างขึ้นเป็นเกียรติแก่เธอ ให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ ทุกปีเมื่อครบรอบปี จะมีคนนำออกมาเล่นเพลงเก่าๆที่พ่อเคยเล่น เป็นการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงนิยายชุด "บ้านเล็ก"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33421
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 26 ธ.ค. 13, 06:37
|
|
ซอของชาร์ลส์ทำให้เขา "ป๊อป" มากในหมู่เพื่อนบ้าน เพราะสมัยนั้นงานเต้นรำตามชนบท อาศัยเครื่องดนตรีคือซอไวโอลินอย่างเดียวก็พอ ไม่ต้องมีเปียโน กลอง ฯลฯ ครบชุด เพราะเต้นรำที่ว่านี้คือ folk dance ไม่ใช่ลีลาศแบบบอลรูมของเหล่าผู้ลากมากดีอย่างเราเห็นในหนังย้อนยุคของอังกฤษ เต้นรำแบบโฟคแดนซ์ ไม่จำเป็นต้องมีแต่หนุ่มสาว เด็กๆหรือคนชราก็จับคู่กันเต้นรำได้อย่างสนุกสนาน ลอร่าเล่าว่าอาจอร์ชน้องชายของพ่อเห็นลอร่าเต้นรำอยู่คนเดียว ก็หัวเราะแล้วจูงไปเต้นรำคู่กันที่มุมห้อง(จะได้ไม่เกะกะคู่เต้นรำอื่นๆ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|