เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 9300 ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาประเทศพร้อมไทยจริงหรือ
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
 เมื่อ 28 พ.ค. 01, 19:15

หลายท่านคงเคยได้ยินมานานว่า ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาประเทศพร้อมไทย ...
บังเอิญผมได้อ่านบทความใน Scientific American ฉบับเดือน ธันวาคม 1998
เขียนโดยนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกชาวญี่ปุ่นคือ Yoichiro Nambu
เป็นเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของวิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่นเห็นว่าน่าสนใจ
เลยคัดบางส่วนมาฝากกัน ...
คงต้องรบกวนผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับญี่ปุ่น และ ขอเชิญท่านทั้งหลายช่วยแสดงความคิดเห็นว่า
1) ญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาประเทศพร้อมไทยจริงหรือ?
2) และถ้าจริงเหตุใดญี่ปุ่นถึงเจริญก้าวหน้าเร็วกว่าประเทศเอเชียอื่นๆ

ตามประวัติศาสตร์นั้นเราท่านคงทราบกันดีว่า ญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศเมื่อ ค.ศ. 1854
โดยอเมริกันส่งเรือกลไฟที่บังคับบัญชาโดย กัปตัน แมทิว เพอรี่ ( Matthew Perry )
บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ หลังจากที่ปิดประเทศมานานกว่า 200 ปี
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ญี่ปุ่นเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่

ถัดมาในราวปี 1868 กลุ่มซามูไรหัวก้าวหน้าก็บีบบังคับให้ โชกุนลงจากอำนาจ
และสถาปนาระบบจักรพรรดิ์ขึ้นมาใหม่ และเริ่มที่จะส่งคนรุ่นใหม่ไปยัง เยอรมัน
ฝรั่งเศส อังกฤษ  และอเมริกา เพื่อเรียนวิทยาการสมัยใหม่เช่น วิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ และ การแพทย์ รวมทั้งภาษาตะวันตก หลังจากนั้นไม่นาน
ก็เริ่มที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยแบบตะวันตกในกรุงโตเกียว  เกียวโต และ ที่อื่นๆ
( ไม่แน่ใจว่ามหาวิทยาลัยโตเกียวเริ่มก่อตั้งเมื่อใด แต่คิดว่าคงราวๆ 1870 กว่าๆ )


ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อประมาณ 30 ปีให้หลัง ในปี ค.ศ. 1903 นักฟิสิกส์คนแรกๆของญี่ปุ่นคือ
นาโกกะ ( Hantaro Nagaoka ) เสนอทฤษฎีแบบจำลองอะตอม  ที่ว่า อะตอมประกอบด้วย
นิวเคลียสตรงจุดศูนย์กลาง และ มีอิเล็คตรอนโคจรเป็นวงอยู่รอบๆ  นิวเคลียส
ใครที่เรียนแผนวิทย์มาคงจำได้ว่าแบบจำลองอะตอมดังกล่าวเรียกว่า แบบจำลองอะตอม
ของรัทเทอร์ฟอร์ ที่ค้นพบโดย เออร์เนต รัทเทอร์ฟอร์ด ที่ Cavendish Laboratory
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพี่ยงแต่ว่า รัทเทอร์ฟอร์ด ค้นพบในปี ค.ศ. 1911  
นาโกกะมีไอเดียคล้ายๆกันก่อนหน้านั้นเกือบ 10 ปี

ไม่ใช่แต่วิทยาศาสตร์อย่างเดียว ได้ด้านเทคโนโลยีญีปุ่นก็ก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อ
ซึ่งวัดได้จากชัยชนะของญี่ปุ่นในสงครามกับจีน ในปี 1895 และ
ยุทธนาวีระหว่างญี่ปุ่นกับรัสเซียในปี ค.ศ. 1905 ...

ไม่น่าเชื่อว่าภายหลังจากเปิดประเทศ 60 ปี ญี่ปุ่นจะมีกองทัพเรือที่ทันสมัยขนาด
ถล่มกองทัพเรือของรัสเซียซะจมมหาสมุทรได้ ( แม้ว่ากองเรือกลไฟของรัสเซีย
จะต้องเดินทางค่อนโลกมารบก็เถอะ แต่ผมก็ว่าญี่ปุ่นไม่ธรรมดา )

ญี่ปุ่นนั้นสนใจพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมาก เห็นได้จากในปี ค.ศ. 1917
สถาบันวิจัยกึ่งเอกชนกึ่งรัฐบาลคือ The Institute of Physical and Chemical Research
หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า Riken ได้ก่อตั้งขึ้นในโตเกียว

 ย้อนกลับมาดูในประเทศไทยของเราในปี 1917 นั้นผมคิดว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกยังไม่ได้ก่อตั้งเลย...  

ทำให้สงสัยว่าญี่ปุ่นนั้นเริ่มพัฒนาพร้อมไทยจริงหรือ ผมไม่ทราบว่าในช่วงที่ญี่ปุ่นปิดประเทศอยู่นั้น เปิดจริงหรือเปล่า ? หรือว่าได้รับความรู้จากตะวันตกเขามาบ้าง เพียงแต่ไม่ได้เปิดประเทศติดต่อ
ค้าขายกับต่างชาติอย่างเป็นทางการ...?   ลำพังส่งคนไปเรียนต่างประเทศไม่น่าจะพัฒนาได้เร็วขนาดนั้น
ประชาชนนาจะมีพื้นฐานความคิด และ ความรู้ที่ดี เป็นรากฐานอยู่ก่อน ถึงจะทำได้ ( ตามความคิดผม ) สิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะสร้างได้เร็วเพียงแค่ 60 ปี

หรือว่าญี่ปุ่นมีนโยบายที่ดี?  ถ้าจริงก็น่าสนใจมากครับ
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 25 พ.ค. 01, 03:12

ความมั่นคงทางการเมืองก็มีส่วนสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ
คิดว่าญี่ปุ่นนั้นน่าจะรวมเป็นหนึ่งเดียว มีเสถียรภาพในการเมืองการปกครอง
พอสมควรในช่วงก่อนที่จะเปิดประเทศ ถ้าเทียบกับประเทศใกล้เคียงเช่นจีน
ซึ่งโดนรุมกินโต๊ะจากตะวันตก หรือไทยซึ่งการเมืองในสมัยรัชกาลที่ 5 ยังไม่น่าที่จะ
มั่นคงมากนักทั้งภายในและภายนอก

สมมุติถ้าเริ่มพัฒนาประเทศพร้อมกันจริงๆ ญี่ปุ่นก็น่าจะมีความพร้อมมากกว่า
ถ้ามามองดูประเทศไทยนั้น ต้องพัฒนาแทบจะทุกอย่างในช่วงรัชกาลที่ 5
เกือบจะเรียกได้ว่าเริ่มจากศูนย์ ในความคิดผมคิดว่าญี่ปุ่นเริ่มที่พื้นฐานที่ดีกว่า

อีกอย่างที่สงสัยคือมีตะวันตกเข้าไปรังแกญี่ปุ่นบ้างหรือไม่ในช่วงนั้น
เพราะดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะมีบ้าง ... มีใครพอทราบข้อมูลบ้างครับ
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 25 พ.ค. 01, 08:51

พูดถึงญี่ปุ่นปิดประเทศทำให้นึกถึงเกร็ดประวัติศาสตร์ช่วงก่อนที่ญี่ปุ่นจะปิดประเทศขึนมาได้
เป็นเรื่องของ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ( Toyotomi Hideyoshi ) คิดว่าเป็นโชกุนนะครับ ... ถ้าเข้าใจไม่ผิด
ญี่ปุ่นนั้นเป็นดินแดนของนักรบมักจะมีสงครามกลางเมืองอยู่เสมอๆ
ในช่วงปี 1580 นั้นเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้พอดี ความที่ปราศจากสงครามกลางเมือง
ซามูไรเลยไม่รู้จะรบกับใคร เลยไปรบข้างนอกดีกว่า ( ...อันนี้ผมว่าเอง )
ช่วงนั้นฮิเดโยชิ กำลังมีอำนาจ และคงเห็นตัวอย่างจากเจงกีสข่าน ที่เคยครองโลกเมื่อเกือบ 300 ปีก่อนหน้านั้น
ฮิเดโยชิเลยมีความคิดที่จะขยายอณาจักร โดยการบุกเกาหลีและจีน
นับเป็นครั้งแรกที่กองทัพญี่ปุนมีความคิดที่จะขยายอณาจักรออกนอกเกาะของตัวเอง

ราวๆ ปี 1587 ฮิเดโยชิก็เริ่มว่างแผนบุกเกาหลีก่อนเป็นอันดับแรก
ด้านเกาหลีนั้นอยู่อย่างสงบสุขมาเป็นร้อยปีก่อนหน้านั้น ส่วนมากถ้าไม่ทำไรนาก็จะเอาดีทางปรัชญา
และการศึกษาเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะได้รบทัพจับศึกกับใครมานาน
ฮิเดโยชิคิดในใจว่าหวานหมูละงานนี้ คงกินโสมได้ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก

แต่ด้วยความที่ตัวเองอ่านประสบการณ์ในการเดินทัพทางทะเล ซึ่งความจริงแล้วทะเลที่ขั้นระหว่าง
เกาหลีกับญี่ป่นก็ไม่ได้กว้างมากนักถ้าดูจากแผนที่ แต่ก็กว้างพอที่จะทำให้ฮิเดโยชิปวดหัวได้
ประกอบกับเกาหลีมีอาวุธลับ ที่เรียกว่า เรือเต่า ( Turtle boat  ) ซึ่งลักษณะเป็นเรือใบ 
แต่มีหลังคาที่มุงด้วยเหล็กคล้ายหลังเต่า และมีปืนใหญ่เป็นอาวุธ เปรียบเหมือนรถถังที่วิ่งบนทะเล
ทหารญี่ปุ่นนั้นใช้ปืนยาวเป็นอาวุธ ( คิดว่าเริ่มใช้แพร่หลายตั้งแต่สมัยนักรบอีกคนหนึ่งคือ โนบูนาเงะ
--- อันนี้จำมาจากการ์ตูน แม่ทัพชื่อโนบูนาเงะ ใช้ทหารแม่นปืนเรียงเป็นแถว เอาชนะกองทัพม้าได้ )

แต่บังเอิญว่าปืนสมัยก่อนนั้นไม่มีประสิทธภาพมากนัก และ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเมื่ออยู่ในทะเล
ดังนั้นสงครามทางทะเลระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นที่เริ่มตั้งแต่ปี 1592 เรือเต่าของเกาหลีก็ถล่ม
กองทัพเรือของญี่ปุ่นจมลงก้นทะเลเรียบร้อยโรงเรียนโสม ลำแล้วลำเล่า
สรุปก็คือความฝันที่จะครองโลกของฮิเดโยชิก็เป็นอันพับไป ... จริงๆแล้วก็พับไปพร้อมกับตัวเขานะแหละ
ฮิเดโยชินั้นเสียชีวิตในปี 1598 หลังจากนั้นกองทัพญี่ปุ่นที่บอบช้ำก็หันหลังกลับเขาไปในประเทศของตน
และปิดประเทศไปอีก 200 ปี มาเปิดอีกทีตอนปี 1854 

อีก 60 ปีหลังจากนั้นกองทัพเรือญี่ปุ่นก็ออกมาซ่าอีกครั้ง คราวนี้ไม่กลัวเรือเต่าแล้ว 
เพราะญี่ปุ่นมีทั้งเรือประจันบาญ เรือดำน้ำ และเรือบรรทุกเครื่องบิน
แต่ก็ถูกดับซ่าตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ในยุทธภูมิที่เกาะมิดเวย์ 
และจบสนิทตอนที่เรือประจันบาญยามาโตโดนฝูงบินอเมริกันรุมถล่มจมใต้ทะเล...
บันทึกการเข้า
สมชาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 25 พ.ค. 01, 14:56

เข้าใจว่าพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของญี่ปุ่นคงดีกว่าไทยนั่นเป็นประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งผมว่าเขาฮึดเพื่อกอบกู้ประเทศหลังจากบอบช้ำจากสงครามโลก ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เขาก็มาเป็นอย่างนี้ได้
ถึงแม้สมัย ร5 ของเราเราอาจจะก้าวหน้ากว่า คือมีโน่นมีนี่ที่เขาไม่มี แต่เราไม่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่อง เช่นเรื่องรถไฟที่ ร5 ทรงวางแผนไว้อย่างดี ( บริเวณถนนรัชดาภิเษก เคยถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางรถไฟ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร แล้วเอามาให้เช่าที่ทำตึก ) พูดๆแล้วช้ำใจ
บันทึกการเข้า
tonphai
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 26 พ.ค. 01, 20:48

คิดว่าน่าจะมาจากเรื่องงบประมาณส่วนหนึ่งนะครับ  เพราะช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นญี่ปุ่นไม่ต้องทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนากองทัพของตนเอง  เพราะตามสนธิสัญญาที่ทำกับท่านแม่ทัพแมคอาเธอร์แห่งสหรัฐ  โดยสหรัฐจะให้ความคุ้มครองทางทหารแก่ญี่ปุ่นเอง   ทำให้ญี่ปุ่นสามารถนำงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ไปพัฒนาและฟื้นฟูประเทศในด้านอื่นๆได้  (คิดดูนะครับว่าสมัยก่อนญี่ป่นต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลแค่ไหนกับการบำรุงและพัฒนากองทัพของตัวเอง)และจากการทำสนธิสัญญากับสหรัฐหลังพ่ายแพ้สงคราม  สหรัฐก็ได้ให้ความร่วมมือในการพัฒนาและประบปรุงเศรษฐกิจแก่ญี่ป่น  (พูดง่ายๆก็คือมีพี่เลี้ยงที่ดีว่างั้นเหอะ)
และขอเพ่มเติมนะครับว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก่อตั้งเมื่อ 1899 ครับแต่ตอนนั้นมีสภาพเป็นโรงเรียนมหาดเล็กครับและต่อมาก็ค่อยพัฒนามาเป็นโรงเรียนข้าราชการและพลเรือน
บันทึกการเข้า
tonphai
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 26 พ.ค. 01, 20:53

ขอเล่าต่อนะครับการที่ญี่ป่นสามารถพัฒนาประเทศได้ล้ำหน้าประเทศไทยอย่างมากอีกเหตุผลหนึ่งน่าจะมาจากลักษณธและความสามารถทางด้านเชื้อชาติด้วยมั้งครับ  เพราะชาวญี่ป่นสามารถพัฒนาวัตถุจากต้นฉบับมาเป็นเอกลักษณ์ที่มีคุณภาพทัดเทียมและอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ(copy)ตัวอย่างเช่น  ในสมัยโนบุนากะ  ช่วงแรกต้องสั่งซื้อปืนยาวจากต่างประเทศมาใช้ในสงครามแต่ต่อมาไม่นานก็สามารถพัฒนาจนสามารถผลิตปืนยาวเองได้ก่อนปี1592 เสียอีก  สมัยนั้นประเทศไทยยังอยู่ในสมัยกรุงศรีอยู่เลยครับ
บันทึกการเข้า
สมชาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 26 พ.ค. 01, 23:55

อาจจะอยู่ที่ระบบการปกครองและสิ่งแวดล้อม คงจะไม่ใช่ลักษณะของเชื้อชาติเสียทีเดียว คนญี่ปุ่นสามารถ apply สิ่งที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์ และมีความมุมานะพยายามมาก ที่ผมเห็นใน tv champion ก็น่าทึ่ง ของเล่นที่ผมเห็นอย่างเช่น กระดาษตัดต่อเป็น ไดโนเสาร์ ( ที่ชมรมเด็กได้ลิขสิทธิืมา )ก็เป็นตัวอย่างนึง
บันทึกการเข้า
Momb
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 27 พ.ค. 01, 19:09

Quoted from "Surely You're Joking, Mr. Feynman!" by Richard P. Feynman



A conversation between Feynman and a Japanese ambassador in

a Nobel-prize-winner dinner:



     I told the ambassador that there was one thing that

always seemed to me to be a remarkable phenomenon:

how Japan had developed itself so rapidly to become

such a modern and important contry in the world.

"What is the ASPECT AND CHARACTER OF THE JAPANESE PEOPLE

that made it possible for the Japanese to do that?" I asked



     The ambassador answered in a way I like to hear:

"I don't know," he said. "I might suppose something, but

I don't know if it's true. The people of Japan believed they had

ONLY ONE WAY OF MOVING UP: to have THEIR CHILDREN EDUCATED

THAN THEY WERE; that it was very important for them to move out

of their peasantry to become educated. So there has been a great

energy in the family to encourage the children to do well in school,

and to be pushed forward. Because of this TENDENCY TO LEARN THING

ALL THE TIME, new ideas from the outside would SPREAD THROUGH THE

EDUCATIONAL SYSTEM VERY EASILY. Perhaps this is ONE OF THE REASONS

WHY JAPAN HAD ADVANCED SO RAPIDLY."
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 28 พ.ค. 01, 19:56

ขอโทษที่ครับสองสามวันนี้เข้าเน็ตไม่ได้ ... ฮี่ๆๆๆๆ



เอารูปเรือเต่าของเกาหลีมาฝาก ... ไปแอบสแกนมาได้ครับ
http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW611x008.jpg'>
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 28 พ.ค. 01, 20:03

อันนี้เป็นรูปปั้นของ ฮิเดโยชิ ...

สแกนมาจากหนังสือของ บีบีซี
http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW611x009.jpg'>
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.071 วินาที กับ 19 คำสั่ง