หน้า ๖๐, ๖๑ และ ๖๒
“เสียงประชาคือเสียงเทวดา” ความนิยมของคนโดยมากในสมัยนี้ทั่วไปมีอยู่ว่า การที่มอบอำนาจไว้ในมือบุคคลคนเดียว ให้เปนผู้จัดการปกครองชาติบ้านเมืองคนเดียวนั้น ต้องได้คนที่ ดีจริง เก่งจริง สามารถจริง จึ่งจะควรไว้ใจให้เปนผู้ครอบครองได้ โดยไม่ต้องเกรงว่าบุคคลผู้นั้นจะใช้อำนาจในที่ผิดและไม่เปนประโยชน์ฤๅความศุขแห่งประชาชน
แต่การที่จะหาคนเช่นนี้ก็มิใช่ง่าย และถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่เปนผู้ที่เหมาะแก่น่าที่แล้ว จะเปลี่ยนตัวก็ยาก นอกจากที่เจ้าแผ่นดินนั้นเองจะมีความรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถพอที่จะทำน่าที่ได้ และมีความรักชาติพอ มีใจเด็ดเดี่ยวพอที่จะสละอำนาจ สละลาภยศและราไชสวรรย์จึ่งหลีกไปเสีย เพื่อให้ผู้ที่ประชาชนนิยมมากกว่าได้มีโอกาศทำการเพื่อบังเกิดผลอันใหญ่ยิ่งขึ้นแก่ชาติบ้านเมือง
แต่เจ้าแผ่นดินที่จะรู้สึกตัวว่าตัวนั้นไม่สามารถก็หายาก และถึงแม้ว่าจะมีบ้าง การที่จะออกจากน่าที่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไปได้โดยง่าย อาจจะมีเครื่องขัดขวางอยู่หลายประการ
เมื่อเปนเช่นนี้แล้ว มหาชนจึ่งได้พากันค้นหาทางแก้ไขความไม่แน่นอนแห่งลักษณปกครองโดยมีเจ้าแผ่นดินถืออำนาจสิทธิ์ขาดนั้นโดยวิธีใดวิธี ๑ บางเมืองก็แก้ไปทางมี “คอนสติตูชั่น” ขึ้น และตัดอำนาจพระเจ้าแผ่นดินเสียทั้งหมด คงเหลือให้ไว้แต่อำนาจที่จะห้ามกฎหมาย (วีโต้) บางครั้งบางคราว กับการทำสงครามและเลิกสงคราม แต่ถึงแม้อำนาจทั้ง ๓ นี้ ก็ไม่ได้ใช้โดยลำพังคงต้องใช้ได้ด้วยความแนะนำของคณะเสนาบดีโดยมาก
แต่ถึงแม้ตัดอำนาจเจ้าแผ่นดินลงไปปานนี้แล้ว บางชาติก็เหนไม่พอ จึ่งเลยเปลี่ยนเปนริปับลิคไปอีกชั้น ๑ จึ่งเห็นได้ว่าความนิยมของมหาชนเวลานี้เดินไปหาทางประชาธิปตัย คือทางให้อำนาจอยู่ในมือของประชาชนเอง ต้องการที่จะมีเสียงฤๅมีส่วนในการปกครองชาติบ้านเมืองของตนเองให้มากที่สุดที่จะเปนไปได้ และเมื่อความเห็นของคนมาก ๆ ตรงกันเข้าแล้ว ก็ยากที่จะทัดทานฤาคัดค้านไว้ได้ คงจะต้องเปนไปตามความเห็นอันนั้นคราว ๑ จะผิดกันก็แต่เวลาจะช้าฤๅเร็วเท่านั้น
นักปราชญ์โรมันจึ่งได้แสดงเปนภาษิตไว้ว่า “Vox populi vox dei” แปลว่า “เสียงประชาคือเสียงเทวดา” ขยายความว่าเทวดาเปนผู้ที่นิยมกันว่ามีอานุภาพใหญ่สามารถจะบันดาลให้สิ่งทั้งปวงเปนไปตามปรารถนาทุกประการ อันประชาชนซึ่งมีความประสงค์ตรงกันอยู่แล้วโดยมาก และได้แสดงความประสงค์อันนั้นให้ปรากฏชัดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะสามารถทัดทานได้ จึ่งนับว่ามีอานุภาพเปรียบด้วยเทวดาฉะนี้
เมื่อปรากฏอยู่เช่นนี้แล้ว ก็ไม่มีข้อควรสงไสยเลยว่า เมื่อไทยเรานี้คงจะต้องเปนไปอย่างประเทศอื่น ๆ ได้เปนมาแล้ว คงจะต้องมี “คอนสติตูชั่น” อัน ๑ เปนแน่แท้ ถึงแม้การมี “คอนสติตูชั่น” จะมีโทษเช่นที่กล่าวมาแล้วก็ตาม
แต่ลักษณะปกครองโดยมอบอำนาจไว้ในมือพระเจ้าแผ่นดินผู้เดียวก็มีโทษอยู่เหมือนกัน (ซึ่งในเวลาบัดนี้มีผู้แลเห็นและรู้สึกอยู่หลายคน) จึ่งตกอยู่ในปัญหาว่าจะเลือกเอาอย่างไหน และคำตอบปัญหาอันนี้ ก็มีอยู่ว่าแล้วแต่ประชาชนจะเห็นชอบและประสงค์ทั่วกันเถิด
ส่วนตัวเราเองนั้นย่อมรู้สึกอยู่ดีว่า การเปนเจ้าแผ่นดินมีความลำบากปานใด คับใจเพียงใด ที่ยังคงอุส่าห์ทำการไปโดยหวังใจให้บังเกิดผลอันดีที่สุดแก่ชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้น การใด ๆ ที่เราจะทำไปให้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จได้ ก็ด้วยอาไศรยความพร้อมใจแห่งข้าราชการ อันเปนผู้รับน่าที่ทำการงานของรัฐบาล ตั้งแต่เสนาบดีลงไปจนถึงผู้มีตำแหน่งน่าที่น้อยๆ อาไศรยความไว้ใจแห่งท่านเหล่านี้อันอยู่ในตัวเรา ไว้ใจว่ามีความมุ่งดีและมีความ สามารถพอที่จะเปนหัวน่าเปนนายเหนือเขาทั้งหลายได้
ถ้าเมื่อได้ความไว้ใจอันนี้เสื่อมถอยลงไป ฤๅสิ้นไปแล้ว ตัวเราก็เท่ากับท่อนไม้อัน ๑ ซึ่งบุคคลได้ทำขึ้นไว้เปนเตว็ดตั้งไว้ในศาล จะมีผู้เคารพนับถือก็แต่ผู้ที่มีปัญญาถ่อย ปราศจากความคิดเท่านั้น.
